กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-03-2025, 17:28
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-03-2025, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพพาพระออกบิณฑบาตตามปกติ แต่เมื่อกลับมาและฉันเช้าเสร็จแล้ว ได้เดินทางไปยังศูนย์ปฏิบัติธรรมคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐมแห่งที่ ๒ หมู่ที่ ๑ ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ไปถึงก็ได้เวลาเพลพอดี จึงเข้าไปร่วมถวายภัตตาหารให้กับพระวิปัสสนาจารย์ ประจำสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งปฏิบัติธรรมประจำปีอยู่ที่นั่น

แล้วก็ได้ข่าวที่น่าสลดใจก็คือว่า เมื่อวานนี้มีพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งมรณภาพในระหว่างที่ปฏิบัติธรรม ต้องบอกว่าทั้งที่สุขภาพของท่านไม่ดี ก็ยังอุตส่าห์รับอาสามาเพื่อปฏิบัติธรรมเป็นตัวแทนของสำนักในจังหวัดสุพรรณบุรี ต้องขอแสดงความเสียใจกับญาติโยมและผู้อันเป็นที่รักของท่าน ซึ่งท่านได้จากไปด้วยดีแล้ว ถ้าหากว่าเป็นข้าราชการก็ประมาณว่า "ตายในหน้าที่"

หลังจากที่ฉันเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) เพื่อร่วมพิธีแต่งตั้งรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ รูปที่ ๒ ก็คือหลวงพ่อพระครูอุทัย (พระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์) อดีตเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ เจ้าอาวาสวัดพุทโธภาวนา ซึ่งท่านเองก็จัดเต็มด้วยการนำเอาทั้งพระภิกษุและญาติโยม โดยเฉพาะพ่อมังกร (นายจำลอง คนซื่อ) อดีตหลวงพ่อพุทโธภาวนา ผู้เป็นครูบาอาจารย์มาด้วย พระภิกษุจากสำนักสาขาต่าง ๆ ของวัดสามพราน ซึ่งใช้ชื่อวัดสาขาว่าวัดพุทโธภาวนาแล้วต่อด้วยสถานที่ อย่างเช่นของหลวงพ่อพระครูอุทัย วัดของท่านก็คือวัดพุทโธภาวนา(พุเย) เป็นต้น

เมื่อพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ทำการมอบตราตั้ง พัดยศ ตลอดจนกระทั่งผ้าไตร และสิ่งของให้กับรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปใหม่ ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งเดิมของกระผม/อาตมภาพแล้ว ก็ได้ทำการถ่ายรูปหมู่ร่วมกัน ถวายปัจจัยไทยธรรม และกรวดน้ำรับพร

จากนั้น กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวเดินทางกลับที่พัก มาเจอญาติโยมส่งข้อมูลมาให้ว่า มีบุคคลหนึ่งได้ให้คำแนะนำเอาไว้ในเฟซบุ๊ก ซึ่งกระผม/อาตมภาพอ่านแล้วก็คิดว่า "ไอ้นี่เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว..!" ซึ่งจะว่าไปแล้ว สิ่งที่ท่านแนะนำมานั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เป็นการแนะนำแบบหลับหูหลับตา โดยที่คิดว่าดี ไม่ได้ดูบริบทของสังคม หรือสิ่งที่เป็นอยู่เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2025 เมื่อ 00:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-03-2025, 00:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างเช่นท่านให้คำแนะนำว่า "มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้พิจารณาทบทวนมีคำสั่งห้ามภิกษุเป็นหมอดู ห้ามดูฤกษ์ยาม ห้ามเสก ห้ามเจิม ห้ามลงเลขลงยันต์ ห้ามรดน้ำมนต์ ห้ามสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ห้ามทำพิธีกรรมนอกรีต ห้ามบวงสรวง ห้ามทำไสยศาสตร์ ห้ามปลุกเสก ห้ามจำหน่ายวัตถุมงคล ห้ามสร้างหรือนำวัตถุนอกศาสนามาในวัด" นี่แค่เป็นคำแนะนำเบื้องต้นของท่านเท่านั้น

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ห้ามพระภิกษุของเราเลี้ยงอาชีพด้วยการเป็นหมอดู หรือว่าการดูฤกษ์ดูยาม
คำว่าเลี้ยงอาชีพก็คือทำมาหากินเป็นปกติทุกวัน เนื่องเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้กำหนดไว้ว่า ให้ภิกษุบิณฑบาตเป็นการเลี้ยงชีพ

แต่ว่าการที่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายต่อหลายท่าน ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อญาติโยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการดูฤกษ์ดูยาม หรือว่ารดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์อะไรก็ตาม นั่นเป็นการกระทำด้วยความเมตตา สงเคราะห์ญาติโยมผู้ที่เลี้ยงดูตนเองมาด้วยปัจจัย ๔ อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นที่พึ่งให้แก่ญาติโยมได้


กระผม/อาตมภาพขอยกตัวอย่างหลวงปู่จง พุทฺธสโร วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้เป็นครูบาอาจารย์ร่วมสมัยกับหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ภรรยาของกำนันเถา กำนันตำบลบางนมโค ร้อนใจมาก เนื่องจากว่ากำนันเถาลงไปเมืองกรุง ก็คือกรุงเทพฯ นานเกือบเดือนแล้ว จึงมากราบเรียนหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอกว่า "ให้ช่วยดูหมอให้หน่อยว่า ตอนนี้กำนันเถาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ?"

หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตอนนั้นท่านถวายการรับใช้อยู่ข้าง ๆ หลวงปู่จง ก็เห็นหลวงปู่จงเปิดหนังสือตำราพรหมชาติ แล้วก็อ่านว่า "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดที่หน้าบ้านแล้ว" ภรรยากำนันเถาก็ดีอกดีใจ กราบลากลับบ้านไป ปรากฏว่ากำนันเถามาถึงบ้านจริง ๆ..!

พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านก็สงสัยว่า "ตำราอะไรมีระบุชื่อคนแบบนี้ด้วย ?" จึงเปิดดูหน้าที่หลวงปู่จงท่านเอากระดาษคั่นเอาไว้ ปรากฏว่าเป็นตำรานาคสมพงษ์ในการดูเนื้อคู่ หลวงพ่อท่านถึงกับหัวเราะ แสดงว่าการดูหมอของหลวงปู่จง เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมผู้เดือดร้อนนั้น ท่านไม่ได้ใช้ตำราพรหมชาติ แต่เป็นการดูด้วยทิพจักขุญาณ นี่ก็คือการอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ผู้เดือดร้อนซึ่งมาพึ่งเย็น โดยมีหลวงปู่หลวงพ่อทั้งหลายเหล่านั้นเป็นที่พึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2025 เมื่อ 00:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 25-03-2025, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่งการรดน้ำมนต์ หรือว่าพรมน้ำมนต์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มอบรตนสูตรให้กับพระอานนท์เถระ ทำน้ำมนต์พรมให้กับชาวเมืองเวสาลี ที่โดนโรคระบาดคุกคามอย่างหนัก จนกระทั่งเหล่าอมนุษย์ซึ่งนำมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เกรงบารมีพระรัตนตรัย แย่งกันหนีออกจากเมืองเวสาลีเพราะว่ากลัวอำนาจน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งกำแพงเมืองพังไปทั้งแถบ..! แล้วท่านทั้งหลายจะห้ามภิกษุทำน้ำมนต์หรือ ?

โดยเฉพาะการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ก็มีอายุวัฒนกุมารที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สั่งให้ตั้งปรัมพิธี แล้วนำพระสงฆ์มาเจริญพระปริตรตลอด ๗ วัน จนกระทั่งบุคคที่จะต้องสิ้นชีวิตลง อายุยืนยาวต่อมาได้ถึง ๑๒๐ ปี จึงได้ชื่อว่าอายุวัฒนะ (ผู้เจริญด้วยอายุ)

ดังนั้น..สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นก็แปลว่า ท่านไม่ได้ศึกษาในเรื่องของพระไตรปิฎกหรือพระพุทธศาสนาเลย คิดว่าอะไรไม่ดีไม่งาม เพราะมีบุคคลนอกรีต กูก็ห้ามไปเสียหมด อย่างเช่นการห้ามปลุกเสก ห้ามจำหน่ายวัตถุมงคล ห้ามสร้างหรือว่านำวัตถุนอกศาสนามาไว้ในวัด กระผม/อาตมภาพเห็นด้วยอยู่อย่างเดียวคือ
ห้ามนำวัตถุนอกศาสนามาไว้ในวัด

เนื่องเพราะว่าถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้สังเกตดูก็จะเห็น อย่างเช่นว่าการสร้างสมเด็จมฤคทายวัน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงเป็นองค์ประธานในการสร้าง นิมนต์พระเถระในยุคนั้นมารวมตัวกันปลุกเสกเพื่ออนุเคราะห์สงเคราะห์ เนื่องเพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งบรรดาทหารหาญต้องการวัตถุมงคล เพื่อเป็นกำลังใจการออกไปป้องกันประเทศชาติ หรือว่าออกไปสู้รบตามนโยบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการให้ประเทศไทยปรากฏต่อนานาชาติ

หรือแม้กระทั่งพระฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ ก็ทรงเป็นประธานในการสร้าง เพื่อที่จะซื้อที่ดินและสร้างพระประธานพุทธมณฑล

ก็แปลว่าสิ่งที่ท่านตั้งใจหลับหูหลับตาห้ามนั้น ไม่ได้ดูวัตถุประสงค์ ถ้าจะห้ามก็ห้ามเฉพาะวัดที่ทำเพื่อการค้าขายในลักษณะที่บางคนเรียกว่า "พุทธพาณิชย์" ไม่ใช่วัดที่ท่านทำเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อหาทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ญาติโยมไม่ยอมควักกระเป๋าช่วยพระในการบูรณปฏิสังขรณ์ แล้วก็ยังมาห้ามโน่นห้ามนี่ กระผม/อาตมภาพขอถามว่า "นั่นใช่หรือไม่ ?"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2025 เมื่อ 00:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 25-03-2025, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อต่อไปคือท่านห้ามจัดงานรื่นเริงภายในวัด ท่านต้องเข้าใจว่าพระภิกษุสงฆ์ของเรานั้น อยู่ด้วยพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง อยู่ด้วยกฎหมายบ้านเมืองอย่างหนึ่ง และอยู่ด้วยจารีตประเพณีอย่างหนึ่ง จารีตประเพณีที่ชาวบ้านร่วมกันทำขึ้นมา อย่างเช่นว่างานประจำปีของวัด งานทำบุญถวายบูรพาจารย์ เหล่านี้เป็นต้น ก็จะมีงานจัดงานต่าง ๆ ซึ่งทางมหาเถรสมาคมก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า งานประเภทใดบ้างที่ห้ามจัด ต่อให้ท่านไม่พูดถึงตรงนี้ เขาก็มีการห้ามอยู่แล้ว โปรดลืมตาดูโลกเสียบ้างว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มหาเถรสมาคมดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุมอยู่แล้ว

ข้อต่อไปคือ "การแต่งตั้งเจ้าอาวาส ควรกระจายพระมหาที่มีทั้งภูมิรู้และภูมิธรรม ตั้งแต่เปรียญธรรม ๓ ประโยค มีอายุและพรรษาที่เหมาะสม ออกไปเป็นเจ้าอาวาส หรือที่ปรึกษาเจ้าอาวาส จะได้มีความรู้ด้านพระธรรมวินัยให้พระภิกษุทุกวัดศึกษาธรรมะจบอย่างน้อยนักธรรมเอก ให้พระภิกษุในวัดปฏิบัติธรรมทุกวัน ทั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา"

เรื่องนี้ก็เช่นกัน กระผม/อาตมภาพเมื่อครู่กล่าวไปแล้ว การแต่งตั้งเจ้าอาวาสนั้นแม้เป็นอำนาจของเจ้าคณะปกครอง แต่ก็ต้องอนุเคราะห์อนุโลมตามไปด้วยว่า ชาวบ้านสนับสนุนพระรูปไหน ? ไม่ใช่ส่งพระมหาประโยค ๙ เข้าไป แล้วก็อยู่ได้แค่ ๓ วัน อย่างวัดที่กระผม/อาตมภาพกำลังนั่งบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่นี่..!

ดังนั้น..ท่านหลับหูหลับตาพูดโดยที่ไม่ได้ศึกษาบริบทของชาวบ้านเลย อยู่ในลักษณะ "ตีหัวเข้าบ้าน" ก็คือคิดว่ากูตำหนิ กูแนะนำแล้วว่าสิ่งที่ดีเป็นอย่างนี้ โดยที่เป็นความดีในด้านเดียวของท่าน ไม่ใช่ความดีของสังคมรอบด้าน

พระภิกษุทุกวัดต้องปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ท่านได้ศึกษาหรือไม่ว่าเขามีวัดอรัญวาสี คือสายวัดป่า และมีวัดคามวาสี คือสายวัดบ้าน แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงการศึกษาคันถธุระ ก็คือการศึกษาเล่าเรียนพระบาลี พระไตรปิฎก หรือว่าเรียนนักธรรมนั่นเอง และวิปัสสนาธุระ ก็คือการปฏิบัติธรรม เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2025 เมื่อ 01:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 25-03-2025, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีการแบ่งออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ก็คือท่านใดนิยมการปฏิบัติธรรม ก็ไปอยู่วัดสายปฏิบัติ ใครที่นิยมการศึกษาก็ไปอยู่วัดที่เป็นสายปริยัติ ไม่ใช่หลับหูหลับตายัดให้ทุกวัดทำเหมือน ๆ กัน อันดับแรกเลย ท่านจะเอาพระที่ไหนมาปฏิบัติเหมือนกันแบบนั้น ? ไม่ใช่ว่าเรากินแกงเผ็ดแล้วบอกว่าอร่อยมาก บังคับให้ทุกคนกินเหมือนเรา คนที่เขาไม่ชอบแกงเผ็ด แต่ว่าชอบแกงจืด หรือว่าชอบต้มยำ ชอบผัด เขาก็ไปกับเราไม่ได้ จะแนะนำอะไรโปรดพินิจพิจารณาให้รอบด้านด้วย

ข้อต่อไป ท่านแนะนำว่า "ให้วัดทุกวัดแบ่งพื้นที่วัดครึ่งหนึ่งปลูกต้นไม้เป็นป่า เพื่อใช้ปฏิบัติธรรม และเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้มีความสงบ สงัด ร่มรื่น ร่มเย็น เป็นธรรมชาติ ไม่ควรให้วัดสร้างสิ่งปลูกสร้างเกินความจำเป็น" กระผม/อาตมภาพอยากจะถามว่า "ท่านเดินดูวัดในกรุงเทพฯ ครบทุกวัดหรือไม่ ? มีวัดใดบ้างที่ยังเหลือที่ดินให้ท่านแบ่งไปครึ่งหนึ่งเพื่อปลูกป่าบ้าง ?" ก่อนจะแนะนำอะไรให้ออกไปถ่างตาให้กว้าง ๆ แล้วก็ดูให้รอบด้านด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าแนะนำไปเรื่อย..!

สิ่งที่ท่านแนะนำเอาไว้ยังมีมากมายกว่านี้อีก กระผม/อาตมภาพนำมากล่าวไม่ถึงครึ่ง ถึงได้บอกว่า "ไอ้นี่เพ้อเจ้อ..!" เนื่องเพราะว่าสิ่งที่กล่าวมาเข้ากับบริบทสังคมไม่ได้ หลายต่อหลายอย่างมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็มีกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนแล้ว หลายต่อหลายอย่างสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็เกิดจากจารีตประเพณี หรือว่าแนวทางที่ครูบาอาจารย์ท่านได้วางเอาไว้แล้ว

ถ้าหากว่าท่านอยู่เฉย ๆ ไม่พูด ก็คงไม่มีใครว่าท่านเป็นใบ้ เอ่ยปากออกมาเมื่อไรก็ส่อให้รู้เลยว่าท่านสักแต่หลับหูหลับตาแนะนำ โดยที่ปราศจากความรู้ที่แท้จริง คิดว่าอะไรดีก็แนะนำไป ไม่ได้ดูบริบทของสังคม ไม่ได้ดูสภาพวัดในปัจจุบัน โดยเฉพาะไม่ได้ดูว่าพระเณรในปัจจุบันนี้ทำอะไรกันบ้าง

ดังนั้น..สิ่งที่ท่านแนะนำมา กระผม/อาตมภาพขอเจริญพรขอบคุณ แต่ขอบอกว่าเป็นความเพ้อเจ้ออย่างมาก ขอให้พยายามกลับไปพินิจพิจารณาให้รอบด้าน แล้วเรียบเรียงคำแนะนำของท่านขึ้นมาใหม่ เผื่อว่ามหาเถรสมาคมเห็นว่าสิ่งไหนที่ขาดจะได้กระทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ อานิสงส์จะได้เกิดขึ้นกับท่าน ไปชาติใหม่เผื่อว่าจะได้มีปัญญามากกว่านี้..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2025 เมื่อ 01:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว