#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๘
|
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่โรงแรม DEL Style Osaka - Shin Umeda ในเขตฟูกุชิมะ เมืองโอซากา อยู่ที่ ๓ องศาเซลเซียส ห้องอาหารยังคงเปิดตรงเวลาเป๊ะเหมือนเดิม แม้ว่าข้าวปลาอาหารของเขาจะมีให้เลือกมากเป็นพิเศษ แต่ด้วยความเคยชิน กระผม/อาตมภาพก็ตักแต่ของซ้ำ ๆ กันกับวันก่อน ฉันแล้วก็ไปนั่งส่งงานรอเวลา
จนกระทั่งทุกคนพร้อม เวลา ๗ โมงครึ่ง พวกเราก็ออกเดินไปยังสถานีรถไฟกลางโอซากา วันนี้พวกเราต้องไปนั่งรถไฟสายชินโอซากา แต่ว่าดวงของพวกเราทำอะไรช้าไม่ได้เพราะว่าที่นี่คือประเทศญี่ปุ่น ไปถึงรถเขาจอดรออยู่บนรางแล้ว วิ่งขึ้นไปยังไม่ทันจะหาที่นั่งได้ รถก็ออกตัวทันที ต้องบอกว่าชีวิตคนญี่ปุ่นค่อนข้างจะเร่งรีบ ต่อให้เป็นผู้สูงอายุ ถ้าขึ้นรถไม่ทันก็แปลว่าจงรอเที่ยวต่อไป..! พวกเรามาต่อรถไฟด่วนพิเศษที่เรียกกันว่าชินคังเซน หรือที่สมัยแรก ๆ เรียกกันว่ารถไฟหัวกระสุน เพื่อตรงไปยังเมืองฮิเมจิ โดยที่เรานั่งรถเที่ยว ๘ โมงเช้า ใช้เวลา ๒๘ นาทีก็มาถึงเมืองฮิเมจิ ถ้าหากว่าขับรถมาก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง นับว่าประหยัดเวลาได้มาก และที่ประหยัดอย่างที่สุดก็คือตั๋วรถไฟเจอาร์พาส ซึ่งเราซื้อเพื่อใช้ในระยะเวลา ๕ วัน ราคา ๑๔,๐๐๐ เยน ถ้าหากว่ามานั่งชินคังเซนแบบนี้ เจอไปเที่ยวละ ๗,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ เยน ก็ล่มจมแล้ว แต่เจอาร์พาสเมื่อซื้อแล้วคุณจะนั่งกี่เที่ยว นั่งกี่รอบ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร..! เมื่อลงที่สถานีฮิเมจิแล้ว กระผม/อาตมภาพถามถึงระเบียงที่พวกเราจะขึ้นไปถ่ายรูปปราสาทฮิเมจิจากสถานีรถไฟได้ ปรากฏว่าผู้เชี่ยวชาญกลายเป็นกิ้งกือตกท่อ เนื่องเพราะคุณเผือกน้อย (นายเฉลิมเดช รุจิราวรรณ) บอกว่าไม่รู้ว่ามี กระผม/อาตมภาพจึงต้องเป็นคนพาไปเอง ทำให้รู้สึกภูมิใจอยู่นิดหน่อยว่า บางทีผู้เชี่ยวชาญก็ไม่รู้ไปทุกเรื่องเหมือนกัน มุมนี้จะสามารถมองตรง ๆ จากสถานีรถไฟฮิเมจิไปยังปราสาทฮิเมจิเลย ตอนแรกพวกเราตั้งใจกันว่าถ่ายรูปเสร็จแล้วก็จะไปนั่งรถเมล์ อุตส่าห์ข้ามถนน ๒ รอบ ๓ รอบ เพื่อไปยังท่ารถเมล์ที่ ๖ แต่พอไปถึงแล้ว ดูเวลาปรากฏว่ายังอีกตั้ง ๑๒ นาทีกว่าที่จะรถเมล์จะมา ท้ายสุดกระผม/อาตมภาพก็เลยพาทุกคนเดินดุ่ย ๆ ไปยังปราสาทฮิเมจิเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-03-2025 เมื่อ 01:21 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
คำว่า ปราสาทฮิเมจิ ในที่นี้ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า อันดับแรกเลยก็คือเป็นปราสาทของโชกุน ถ้าเป็นสมัยนี้ก็น่าจะประมาณเจ้าผู้ครองนคร และเป็นปราสาทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องเพราะว่ามีความสมบูรณ์กว่าปราสาททุกหลังในประเทศญี่ปุ่น เนื่องเพราะว่าปราสาทอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่ปราสาทหลักเท่านั้น แต่ว่าปราสาทฮิเมจินี้ยังเหลืออาคารบริวารอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และได้รับการบูรณะดูแลเป็นอย่างดี
เมื่อพวกเราเดินไปถึงก็ถ่ายรูปกันที่บริเวณลานด้านหน้าก่อน จากนั้นก็ซื้อตั๋วเข้าไปด้านใน เขามีโบรชัวร์ภาษาต่าง ๆ โดยเฉพาะภาษาไทยให้เลือกด้วย เมื่อเดินเข้าไปทางด้านในจะเห็นว่ามีประตูแล้วประตูเล่า สลับซับซ้อนไปหมด โดยเฉพาะเมื่อถึงเวลาจะขึ้นบนตัวปราสาทหลัก ต้องถอดรองเท้าใส่ถุง แล้วหิ้วไปด้วย ตัวปราสาทนั้นด้านล่างก่ออิฐถือปูน แต่ว่าพื้นทุกอย่างและต้นเสาเป็นไม้ทั้งหมด โดยเฉพาะน่าจะเป็นไม้สน ยิ่งเดินก็ยิ่งเย็น ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะถอดรองเท้า หรือว่าอากาศภายในเย็นกันแน่ โดยเฉพาะถ้าหากว่าบุคคลที่อายุมาก แข้งเข่าไม่ดี ไม่แนะนำให้เดินขึ้นข้างบน เนื่องจากว่าต้องขึ้นบันไดกันชั้นแล้วชั้นเล่า และเป็นบันไดที่ค่อนข้างจะชันเสียด้วย..! เราจะได้เห็นว่าภายในปราสาทนั้นแบ่งสันปันส่วนอย่างไร ส่วนไหนเป็นที่สำหรับประชุม ส่วนไหนเป็นศาลาว่าการ ส่วนไหนเป็นห้องเก็บอาวุธ ตลอดจนกระทั่งที่พักของบรรดาโชกุนและขุนนางต่าง ๆ โดยเฉพาะบนยอดสุด คือชั้นที่ ๖ นั้น มีศาลเจ้าให้เข้าไปกราบไหว้ทำบุญกันอีกด้วย พวกเราสามารถที่จะเดินถ่ายรูปได้ทุกซอกทุกมุมโดยไม่มีการหวงห้าม แม้แต่โครงสร้างปราสาทหน้าตาเป็นอย่างไร ลักษณะของบรรดากระเบื้อง ตลอดจนกระทั่งตราประทับต่าง ๆ เป็นอย่างไร เขาก็แสดงเอาไว้ให้ดูทั้งหมด เดินกันจนขาอ่อนดีแล้ว ก็ต้องย้อนลงด้วยความระมัดระวัง เนื่องเพราะว่าบันไดค่อนข้างจะชันมาก ลงมาถึงข้างล่างแล้ว พวกเรายังวนออกทางขวามือไปอีก ทางด้านนี้มีชุดแสดงต่าง ๆ ที่เป็นของโชกุนและขุนนาง ตลอดจนกระทั่งบ่งบอกถึงพิธีกรรมพิธีการในการครองราชย์และข้อห้ามต่าง ๆ เมื่อวนดูกันเสร็จแล้วก็ยังมีมุมสวยให้ถ่ายรูปด้านนี้เพิ่มเติมอีกด้วย พวกเราออกมาเข้าห้องน้ำกันแล้วก็ไปยังจุดถ่ายรูปที่เขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ ไม่ว่าจะมาหมู่มาเดี่ยวอย่างไร ท่านก็ถ่ายรูปตัวเองได้ ถ้ามาคนเดียว เขาก็มีแท่นตั้งกล้องหรือว่าแท่นตั้งโทรศัพท์ ซึ่งเราสามารถตั้งเวลาแล้ววิ่งไปเต๊ะท่าถ่ายรูปตัวเองได้ด้วย เรียกว่าเอื้อเฟื้อกันสุด ๆ ครั้นรับรองเท้าคืนแล้ว พวกเราก็เดินออกมาทางด้านนอก ซึ่งยังมีรูปชายหญิงสวมกิโมโนให้เราเป็นพร็อพถ่ายรูปอีกด้วย เพียงแต่ยื่นหน้าเข้าไปในช่องว่างที่เขาคว้านเอาไว้ก็กลายเป็นตัวเราไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-03-2025 เมื่อ 01:26 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
จากนั้นพวกเราก็เดินย้อนกลับมาทางเดิมมายังร้านอาหาร ซึ่งเปิดตอน ๑๐ โมงเช้า ถือว่าเหมาะสมมาก เนื่องเพราะว่าอีกร้านหนึ่งที่หน้าตาดูดีนั้นเปิดตอนเที่ยงตรง เข้าไปแล้วก็ต้องสั่งรายการอาหารกับตู้อัตโนมัติ แล้วก็มี "อาม่า" ท่านหนึ่งมีหน้าที่ทำอาหารไว้ให้ นอกจาก "อาม่า" จะทำอาหารได้รวดเร็วผิดคนแก่แล้ว ยังอร่อยอีกต่างหาก..! เพียงแต่กระผม/อาตมภาพเจอไป ๓ ชามใหญ่ ๆ ก็เลยต้องคืนบะหมี่ไก่เท็มปุระไป ๑ ชาม แล้วก็ข้าวหน้าเนื้อแบ่งมาแค่ครึ่งเดียว พร้อมกับบะหมี่ไก่เท็มปุระของตนเอง แค่นี้ก็แทบจะไม่มีปัญญาฉันลงไปแล้ว ครั้นอิ่มออกจากร้านค้ามา พวกเราก็เดินทางกันต่อไป
การเดินทางครั้งนี้นั้นเป็นอะไรที่สนุกสนานมาก เนื่องเพราะว่านอกจากรถไฟ รถเมล์แล้ว ก็ยังเน้นการเดินเท้าอีกต่างหาก เมื่อเดินกลับมาสถานีรถไฟฮิเมจิแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถไฟเพื่อไปยังสถานีโกเบ เป็นการขึ้นแบบทันท่วงทีหวุดหวิดอยู่เหมือนเดิม แต่ขอโทษเถอะ..เพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่งก็ต้องลงรถแล้ว..! ถึงสถานีโกเบ สิ่งแรกที่พวกเราทำก็คือไปเติมเงินใส่บัตรกันก่อน ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะเข้าใจคำว่า Charge ภาษาอังกฤษที่นี่ โดยปกติแปลว่า "จ่าย" แต่ที่นี่แปลว่า "จ่ายมาซะดี ๆ" ก็คือจะเติมเงินเท่าไรก็จงใส่เข้าไป เล่นเอาตอนแรกนึกว่าเครื่องพังเสียอีก..! เมื่อพวกเราเข้าไปภายในสถานีกันแล้ว นั่งรถไฟเพื่อประหยัดเวลานิดเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเราสามารถที่จะเดินไปได้เอง ลงจากรถไฟแล้ว พวกเราก็เดินตรงไปตามกูเกิ้ลแม็พบอก เพื่อที่จะไปยังกราบหลวงพ่อโตไดบุทสึของเมืองโกเบ ซึ่งคนส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักแต่หลวงพ่อโตวัดโทไดจิองค์หนึ่ง และหลวงพ่อโตที่คามากุระอีกองค์หนึ่ง ส่วนที่เหลือท่านจะสร้างองค์ใหญ่องค์เล็กอย่างไรก็ตาม ข้อมูลคร่าว ๆ ของทางญี่ปุ่นจะบอกว่ามีพระใหญ่อยู่ ๓ องค์ พูดง่าย ๆ ก็คือองค์ที่ ๓ ใครมีอยู่ก็สามารถมั่วได้เลยว่าของตนเองคือลำดับที่ ๓..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-03-2025 เมื่อ 01:30 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
หลวงพ่อโตองค์นี้สูง ๑๑ เมตร น้ำหนัก ๖๐ ตัน พวกเราเข้าไปกราบไหว้อธิษฐานทำบุญกัน โดยที่กระผม/อาตมภาพหยอดไป ๑,๐๐๐ เยนตามเดิม รู้สึกเสียดายเหมือนกัน เพราะว่าหยอดแบงค์ลงไปแล้วไม่มีเสียงเหมือนกับคนอื่น คนอื่นเขาหยอดเหรียญลงไปกราว ๆ แล้วก็พนมมืออธิษฐานกันอย่างสนุกสนาน ของตัวเองลงไปแบบเงียบกริบ รู้สึกว่าเทวดารักษาพระน่าจะไม่ได้ยิน..!
ตอนที่ถ่ายรูปหมู่ก็มี "อากง" คนหนึ่งอาสาถ่ายให้ กระผม/อาตมภาพก็ลุ้นขาดใจเลยว่า "เศียรพระจะขาดหรือเปล่า ?" แต่ปรากฏว่างานนี้รอดไปได้ โดยที่ว่าเกือบ ๆ จะขาดเท่านั้น..! โดยที่เหลือพื้นข้างล่างรูปไว้มากทีเดียว เมื่อกราบทำบุญและเสี่ยงเซียมซีกันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินมายังป้ายรถเมล์สาย ๙๖ เพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟโกเบ เนื่องจากว่ามีเวลาตั้ง ๘ นาที และบริเวณนั้นก็ยังมีศาลเจ้าอยู่ด้วย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นศาลอยู่ในลักษณะ "สมรม" หรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าเห็นมีทั้งรูปวัวและจิ้งจอกอยู่ด้วย ก็อาจจะเป็นศาลเจ้าจิ้งจอกที่กระผม/อาตมภาพรู้จัก หรือว่าเป็นศาลทั่วไปก็ไม่ทราบ ? พวกเรานั่งรถเมล์กลับมายังสถานีโกเบ จุดที่เดินเข้าไปนั้นเป็นตลาดขายสารพัดสิ่งของ ลักษณะคล้าย ๆ ตลาดโบ๊เบ๊บ้านเรา พวกเราต้องอ้อมซ้ายมือเดินขึ้นฟ้าไปอีก ตอนแรกที่เห็นบันไดขาออกก่อนที่จะเดินไปวัดหลวงพ่อโต พวกเราก็ร้อง "โอ้โฮ" ไปตาม ๆ กัน ตอนนี้เมื่อรู้ตัวว่าต้องขึ้นลงสูงขนาดไหนก็ชักจะเคยชินและไม่ร้องกันอีก มาประเทศญี่ปุ่น ต้องทำตัวรวดเร็วตามแบบเขา เนื่องเพราะว่ารถไฟจ่ออยู่สถานีตามเคย ขึ้นไปถึง หาที่นั่งยังไม่ทันจะครบรถก็ออก พวกเราขึ้นรถไฟที่เรียกว่า Special Rapid Train ก็คือมีความเร็วกว่าปกติ นอกจากนั้นแล้วก็จอดแค่บางสถานีเท่านั้น ใช้เวลาแค่ ๒๕ นาทีพวกเราก็กลับจากเมืองโกเบมาถึงสถานีกลางโอซากา กระผม/อาตมภาพเดินทางกลับที่พักก่อน ส่วนท่านใดที่ยังเรี่ยวแรงเหลือ พร้อมที่จะสู้ตายกับการช็อปปิ้ง ก็ต้องปล่อยตามใจเขาไป สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-03-2025 เมื่อ 01:34 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|