กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-12-2024, 19:37
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๗

เเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 16-12-2024, 22:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ ตั้งใจจะเปลี่ยนเวลามาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนตอน ๖ โมงเย็น แต่ปรากฏว่าวันนี้ทำไม่ได้ เนื่องเพราะว่ากลับมาเจออากาศที่ต่างกัน ๔ - ๕ องศาเซลเซียส ร่างกายรับไม่ไหว หมดสภาพไปเสียก่อน ถ้าหากว่าไม่มีเสียงระฆังเรียกทำวัตรค่ำก็คงจะยาวไปเลย..!

สำหรับวันนี้ได้ไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจแก่นิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งปฏิบัติธรรมประจำปีอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ดร.อุไรศรี คะนึงสุขเกษม วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ส่วนหนึ่งซึ่งได้ตักเตือนบรรดาพระภิกษุสามเณรและผู้เข้าปฏิบัติธรรมไป ก็คือ ทุกคนปฏิบัติธรรมเหมือนกับแก้บน ไม่ได้มาปฏิบัติธรรมโดยที่ตั้งใจ แต่ทุกคนรู้สึกว่ามาเพราะโดนหลักสูตรบังคับ พูดง่าย ๆ ว่า
ทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต ซึ่งมนุษย์คนหนึ่งจะพึงมีพึงได้ เพราะว่าการที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้วน้อมนำมาปฏิบัตินั้น เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คือ ต้องช่วงชิงกับผู้อื่นนับ ๑๐ ล้านเพื่อที่จะเป็น ๑ ในหลาย ๑๐ ล้านนั้นมาเกิด

แต่ถ้าว่ากันตามที่อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเทียบเอาไว้ ก็เหมือนกับเอาเต่าตาบอดตัวหนึ่ง โยนไว้ในทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลม แล้วมีแอกเล็ก ๆ ขนาดพอสวมคอเต่านั้นได้ ทิ้งเอาไว้ในทะเลนั้นด้วย ระยะเวลา ๑๐๐ ปีให้เต่าตัวนั้นโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ถ้าศีรษะสามารถสวมกับแอกได้พอดี นั่นคือโอกาสที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้เกิดมา แล้วท่านคิดว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไร ? กว่าที่ศีรษะเต่าซึ่งร้อยปีโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่งจะสวมกับแอกได้พอดี

ประการที่สอง กิจฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ การดำรงชีวิตอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าชีวิตคนอยู่ที่ลมหายใจเดียวเท่านั้น หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน กว่าจะมาถึงปัจจุบัน เรามีโอกาสตายมากจนนับไม่ถ้วน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2024 เมื่อ 02:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-12-2024, 22:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการที่สาม กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ การที่จะได้ฟังธรรมนั้นเป็นเรื่องที่แสนยาก เพราะว่ากว่าจะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมานั้น อย่างน้อยต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป

ถ้าเราจะนับอายุมหากัปก็ต้องเริ่มจาก ๑ รอบอันตรกัป ก็คือระยะเวลาที่เราตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วต่อด้วยเลข ๐ จำนวน ๑๔๐ ตัว ระยะเวลาที่ยาวนานไป บุคคลมีความชั่วแทรกเข้ามาทีละเล็กทีละน้อย อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงไปเรื่อย ผ่านไป ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี ผ่านไป ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี

จากเลข ๑๔๑ หลักลดลงมาถึงเลข ๒ หลัก คือ ๑๐ ปีโดยประมาณ แล้วเกิดมิคสัญญีฆ่าฟันกัน ชนิดที่จดจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นพ่อแม่พี่น้อง บุคคลที่เกิดความสลดใจก็หันไปรักษาศีล เจริญภาวนา เมื่อความดีเกิดขึ้นก็ลักษณะเดียวกันว่า ระยะเวลาผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี ผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุก็เพิ่มขึ้น ๑ ปี จนกระทั่งอายุขัยมนุษย์กลับไปยั่งยืนด้วยตัวเลข ๑๔๑ หลักเท่าเดิม จากสูงสุดลงมาต่ำสุด จนย้อนกลับไปสูงสุด เรียกว่า ๑ รอบอันตรกัป เป็นเวลาที่ยาวนานจนนับไม่ได้..!

อรรถกถาจารย์เปรียบไว้ว่าเหมือนมีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ก็คือด้านละ ๑๖ กิโลเมตร เพราะว่าโยชน์หนึ่งมี ๔๐๐ เส้น หนึ่งเส้นมี ๒๐ วา เท่ากับด้านหนึ่ง ๘,๐๐๐ วา เทียบเท่า ๑๖,๐๐๐ เมตร คือ ๑๖ กิโลเมตร..! ระยะเวลา ๑๐๐ ปี เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดที่ละเอียดเหมือนทรายละเอียดที่กรองดีแล้วหย่อนลงไปเมล็ดหนี่ง ๑๐๐ ปีผ่านไปหย่อนลงไปเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผักกาดเต็มถังนั้นแล้วยังไม่ได้ ๑ รอบอันตรกัปดี แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าจะมีโอกาสหย่อนเมล็ดแรกไหม ?

แล้วจากนั้น ๑ รอบอันตรกัปที่ยาวนานขนาดนั้น ๖๔ รอบอันตรกัปจึงเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัปจึงเท่ากับ ๑ มหากัป เท่ากับว่า ๑ มหากัปท่านจะต้องหย่อนเมล็ดพันธุ์ผักกาดให้เต็มถังมหายักษ์นั้น ๒๕๖ ถัง..! แค่เศษของการปฏิบัติเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแสนมหากัป เราก็ไม่ทราบว่ายาวนานเท่าไร แล้วนี่ยังเป็นอสงไขยของแสนมหากัปอีก..!

คำว่า อสงไขย หรือ อสังขยา ที่แปลว่านับประมาณไม่ได้ เป็นเพราะว่าเราใช้ชีวิตมนุษย์ แม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดแรกเราก็อยู่ไม่ถึงที่จะหย่อนลงไป เราจึงนับไม่ได้ แต่พรหมเทวดาท่านอายุขัยยืนยาวมาก โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นพรหมชั้นท้าย ๆ ท่านสามารถนับได้ หรือผู้ที่ทรงอภิญญาสมาบัติ ใช้ความเป็นทิพย์สามารถคำนวณได้ ระยะเวลาที่ยาวนานปานนั้นกว่าจะมีพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมาพระองค์หนึ่ง

จึงเข้ากับข้อสุดท้ายที่ว่า กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท การเกิดของพระพุทธเจ้านั้นยากเป็นที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2024 เมื่อ 02:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 16-12-2024, 22:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้เราได้หลายได้ชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมแล้ว เราจะละทิ้งโอกาสที่น้อมนำมาปฏิบัติอย่างนั้นหรือ ? ถ้ายิ่งเป็นการบังคับ ยิ่งเท่ากับเขาบังคับให้เราดี การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้แต่ละชาติ ประกอบไปด้วยความทุกข์เหลือที่จะทน กระผม/อาตมภาพเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด มาลาเรียกำเริบแต่ละครั้ง เหมือนกับมีอาวุธเสียบแทงอยู่ทั่วร่างกาย แม้แต่นาทีเดียวก็ไม่อยากที่จะได้ร่างกายนี้ เพราะว่ามีแต่ความทุกข์สาหัสขนาดนั้น..!

แล้วถ้าเราเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์ที่ไม่รู้จบแบบนี้ เรายังต้องการอีกหรือ ? ทำไมเราไม่เร่งปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อที่จะฝ่าทะเลทุกข์นี้ไปให้ได้ไกลที่สุด ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะขึ้นสู่ฝั่งในชาตินี้ ก็ขอให้เหลือระยะทางที่เราจะต้องทนทุกข์ให้น้อยที่สุด ไม่ใช่โอกาสดีที่สุดที่เราจะทำให้ความทุกข์นี้ลดน้อยถอยลง กลายเป็นว่าเราทำแบบเสียไม่ได้..!

แม้กระทั่งพวกเราที่เป็นพระภิกษุสามเณรกันเอง กว่าที่จะมาทำวัตรได้ เยื้องย่างมาถึงพรรคพวกเขาเริ่มไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? หรือกว่าจะมาเจริญพระกรรมฐานได้ บางทีเขาเลิกกรรมฐานจนทำวัตรเช้าจะเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่คิดว่าสิ่งที่เราทำนี้สำคัญขนาดไหน ก็ขอให้คิดได้แล้ว เพราะว่าเป็นการทำเพื่อตัวเราเองล้วน ๆ

อานิสงส์ที่จะพึงได้รับ ถ้าหากว่าอยู่ต่อไปก็จะได้เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนา ประกาศคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างไร ประกาศคุณงามความดีของพระธรรมว่าเป็นอย่างไร ประกาศคุณงามความดีของพระสงฆ์ว่าเป็นอย่างไร โดยที่มีตัวเองเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดว่าทำแล้วได้ผลดีอย่างไร

ไม่ใช่ฉันเช้าแล้วเอน ฉันเพลแล้วนอน ตอนบ่ายพักผ่อน ตอนค่ำจำวัด ปล่อยให้กิเลสฟัดอยู่ทุกวันโดยไม่คิดที่จะต่อสู้อะไรเลย แถมยังเป็นตัวอย่างที่เลวให้คนอื่นที่เขาตามมาดูว่า หลวงพี่ท่านนั้นยังทำแบบนั้น หลวงพ่อท่านนี้ยังทำแบบนี้ แล้วกูก็กลายเป็นตัวอย่างที่เลว บ่อนเซาะพระพุทธศาสนาไปอยู่ทุกวัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2024 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 16-12-2024, 22:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องของจิตสำนึกล้วน ๆ ต่อให้เราไม่คิดที่จะอยู่ต่อ แต่ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำความดี การกระทำความดีที่เราลงทุนด้วยศีลพระ ๒๒๗ ข้อ หรือว่าศีลเณร ๑๐ ข้อ ถ้าเปรียบการลงทุนของญาติโยมเขาที่มีศีลแค่ ๕ ข้อ สิ่งที่ผู้คนลงทุนด้วยเงิน ๕ ล้านบาท กับ ๑๐ ล้านบาท และ ๒๒๗ ล้านบาท ถ้าได้กำไรเหมือนกันใครจะได้กำไรมากกว่า ? ก็พระภิกษุสามเณรได้กำไรมากกว่า

กุศลทั้งหลายเหล่านี้ถ้าท่านสึกหาลาเพศไป ก็ย่อมทำให้ทางชีวิตของตนเองสะดวกคล่องตัว เนื่องเพราะว่าการมีบุญก็เหมือนกับการมีเงิน คนมีเงินทำอะไรคล่องตัวไปหมด คนมีบุญก็ทำอะไรคล่องตัวไปหมด แต่เราก็ไม่คิดที่จะทำ ได้แต่อยู่อาศัยพระพุทธศาสนาไปวัน ๆ ไม่ได้หวังที่จะอยู่ให้ศาสนาได้อาศัย แล้วลักษณะแบบนั้น ท่านจะหน้าด้านหน้าทนอยู่ต่อไปทำไม ? เพราะมีแต่สร้างความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนา

เพียงแต่ว่าการทำความดีนั้นไม่ได้สำคัญที่เวลาน้อยหรือมาก สำคัญที่ว่าทำดีทำถูกหรือเปล่า ? ถ้าทำดี ทำถูก ตามหลักมรรคมีองค์ ๘ หรือว่าย่อลงมาตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราก็สามารถที่จะได้รับผลดีซึ่งตนเองกระทำไว้ได้ในเวลาอันไม่นาน

จึงเป็นเรื่องที่อยากจะฝากเอาไว้สำหรับทุกท่านว่า ในเมื่อชั่วก็ชั่วมาเต็มที่แล้ว ถึงเวลาจะทำดีก็ทำให้เต็มที่บ้าง ไม่ใช่ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ เหมือนคนมีเวลามาก ตายลงไปเมื่อไร บางทีสิ่งที่เราทำมายังไม่เพียงพอ เนื่องเพราะว่าอยู่ในฐานะปูชนียบุคคล มีโอกาสขาดทุนมากกว่าญาติโยมหลายเท่าเช่นกัน ถ้าลงทุน ๒๒๗ ล้านแล้วเจ๊งหมดตัว ก็ถือว่าไร้ฝีมือโดยสิ้นเชิง..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2024 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว