กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 09-11-2024, 17:58
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,996 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 10-11-2024, 00:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,220 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงวันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพได้รับคำถามจำนวนมาก จากผู้ที่จะเดินทางไปร่วมฉลองหลวงพ่อโต วัดศรีธรรโมทยะ เมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา ขอสรุปลงมาเป็น ๒ ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรกก็คือ "กระผม/อาตมภาพจะเดินทางไปในงานของปีหน้านี้ด้วยหรือไม่ ?" ขอตอบอย่างชัดเจนตรงนี้ว่า
ไม่คิดที่จะเดินทางไปเลยแม้แต่นิดเดียว เหตุเพราะว่างานที่ตั้งใจทำนั้นสำเร็จเรียบร้อยลงแล้ว และประการต่อไปก็คือ เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย รู้สึกว่าสังขารเหมือนจะหลุดเป็นชิ้น ๆ

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าประการแรก
กระผม/อาตมภาพอายุกาลผ่านวัยมา ๖๕ ปีเต็ม ย่างเข้าสู่ ๖๖ ปีมาหลายเดือนแล้ว ร่างกายย่อมชำรุดทรุดโทรมไปตามสภาพของชายชราอายุเลยวัยเกษียณแบบนี้เป็นปกติ แม้ว่าญาติโยมจะเห็นว่าหลวงพ่อแข็งแรงมาก หลวงพ่อเดินขึ้นสีหคีรีไปชมพระราชวังลอยฟ้าแบบ "ชิล ๆ" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ยิ้มในใจ เพราะว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอก ที่ร่างกายโดนบังคับไปด้วยกำลังใจเท่านั้น พอเลิกบังคับ ร่างกายก็ทำท่าจะพับลงไปแล้ว..!

ขนาดลูกอ้วน (นางสาวภัทรวรรณ จะหวะ) ซึ่งเดินทางไปด้วยกันและเป็นคนที่แข็งแรงมาก เมื่อกลับถึงทองผาภูมิ กระทบอากาศที่ต่างกันแบบสุดขั้ว เนื่องเพราะว่าทองผาภูมินั้นเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ลูกอ้วนก็ยังมาลาเรียกำเริบ ร่วงไปสองวัน..! กระผม/อาตมภาพกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ซึ่งฝ่ายหลังอายุก็ใกล้เกษียณเต็มทีแล้ว ย่อมที่จะต้องร่วงตามไปด้วย คนที่คิดว่าแข็งแรงที่สุดยังไม่ไหว แล้วยังจะให้กระผม/อาตมภาพลากสังขารชราโทรม ๆ นี้ไปอีกหรือ ?

ประเด็นที่สองก็คือ "ถ้าไปศรีลังกาแล้ว จะทำบุญทำกุศลอะไรถึงจะได้บุญมากที่สุด ?" ถ้าหากว่าท่านมีโอกาสเข้าไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว เมืองแคนดี้ก็ดี ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่วัดพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระก็ตาม ให้ไปนั่งภาวนาหรือว่าสวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชาที่นั่น ให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เนื่องเพราะว่าต่อให้ท่านขนทองคำไปถวายเป็นพุทธบูชาสักเท่าใดก็ตาม นั่นยังเป็นแค่ทานเท่านั้น ส่วนที่อานิสงส์สูงกว่านั้นก็คือการที่เรารักษาศีลตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเอาไว้ และภาวนาจนกระทั่งปัญญาเกิด เห็นทุกข์เห็นโทษในการมีร่างกายหรือว่าในการเกิดมาในโลกนี้แล้วสภาพจิตเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปราศจากความคิดที่จะเกิดมาทุกข์ยากแบบนี้อีก ถอนกำลังใจจากการยึดเกาะในร่างกายนี้ก็ดี จากการยึดเกาะในโลกนี้ก็ดี เมื่อถอนขึ้นมาได้มาก เราก็เหลือเวลาในการเกิดมาทุกข์น้อยลงไปมากเท่านั้น ถ้าสามารถถอนออกมาได้จนหมด เราก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่พระนิพพาน

ดังนั้น..ถ้าจะสร้างบุญสร้างกุศลในศรีลังกา กระผม/อาตมภาพก็ขอถวายคำแนะนำต่อพระภิกษุสามเณรของเรา และแนะนำญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2024 เมื่อ 04:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 10-11-2024, 00:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,220 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับวันนี้ ภารกิจสำคัญไม่ใช่งาน "วันเสาร์ใส่บาตรตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน" เนื่องเพราะว่านั่นเป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น แต่กระนั้นก็ต้องใช้คำพูดแบบค่อนข้างจะดุ เพื่อตักเตือนให้บรรดา "มเหสักโข" ทั้งหลาย ที่ยิ่งใหญ่จนเคยตัว ให้กรุณาถอดรองเท้าก่อนที่จะใส่บาตรด้วย

ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยากจะทำบุญกับพระสงฆ์ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย แต่ตนเองกลับไม่มีความเคร่งครัดในการประพฤติปฏิบัติต่อพระสงฆ์เอาเสียเลย ขนาดเตือนครั้งแรกแล้วก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่งมีการเตือนในครั้งที่สอง ต้องบอกว่าท่านให้ลูกน้องทำการถ่ายรูปเอาไว้ ก็เท่ากับว่าท่านกำลังประจานตัวเอง..!

กระทั่งวัฒนธรรมในการถอดรองเท้าใส่บาตร ที่โบราณเขาแนะนำต่อ ๆ กันมา แสดงให้เห็นซึ่งกำลังใจที่ละเอียด ไม่ต้องการที่จะปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ต้องการที่จะรับโทษเช่นเดียวกับพระเจ้าพิมพิสาร ท่านเองทั้ง ๆ ที่อายุมากขนาดนั้นกลับไม่รู้ หรือว่ารู้ก็ทำเป็นไม่ทราบ เป็นความมักง่ายอย่างเห็นได้ชัด..! เมื่อเขาถ่ายวีดีโอหรือว่าถ่ายรูปไปก็กลายเป็นหลักฐานประจานตนอย่างชัดเจน เมื่อกล่าวถึงขนาดนั้น ท่านทั้งหลายจึงถอดรองเท้าแบบเสียไม่ได้..!

กระผม/อาตมภาพไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพุทธศาสนิกชนก็ดี ประชาชนคนไทยก็ดี ตั้งข้อเรียกร้องกับพระภิกษุสามเณรเอาไว้สูงมาก แต่ว่าตนเองกลับประพฤติปฏิบัติไปในทางตรงกันข้าม ถ้าหากว่าท่านเข้ามาอุปถัมภ์ค้ำจุน ทนุบำรุงพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคอย่างเต็มที่ ถ้าแบบนี้ ท่านถึงจะมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องว่า พระภิกษุสามเณรต้องปฏิบัติแบบนั้น ต้องปฏิบัติแบบนี้

แต่นี่ท่านเองเข้ามาทำแบบเสียไม่ได้ แค่การใส่บาตรเพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีอาหารไว้ขบฉัน ท่านก็ยังกระทำไปในสภาพที่จิตหยาบถึงขนาดนั้น แล้วคิดว่าลูกของท่าน หลานของท่าน จะมิหยาบหนักขึ้นไปหลายเท่าหรือ ? เนื่องเพราะว่ามีตัวอย่างก็คือพ่อแม่ ปู่ย่าตายายทำให้เห็นแบบนั้น

หลังจากที่ฉันเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเข้าเยี่ยมห้องอบรมนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกก่อนสอบ ของจังหวัดกาญจนบุรี สนามที่ ๑ ซึ่งเป็นภารกิจหลักของวันนี้ เมื่อไปถึงก็ได้ช่วยบรรยายถวายความรู้ให้กับท่านที่เข้ารับการอบรมเป็นพิเศษ

ส่วนนี้บางท่านคิดว่า "ทำไมกระผม/อาตมภาพต้องเดินทางมาด้วย ในเมื่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาก็คือ การเป็นเจ้าภาพถวายภัตตาหารเพลแก่ผู้เข้ารับการอบรม ซึ่งผ่านไปเมื่อวานนี้แล้ว ?" ในส่วนนี้ต้องบอกว่าเป็นความคิดและแนวทางปฏิบัติส่วนตัว ก็คือพระวิทยากรก็ดี พระผู้เป็นกองตรวจข้อสอบก็ดี ตลอดจนกระทั่งพระผู้เข้ารับการอบรมนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกก็ดี ย่อมต้องการความใส่ใจจากผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด โดยเฉพาะเจ้าอาวาสของตน

เนื่องเพราะว่าในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุงนั้น เมื่อรุ่นพี่ท่านถามว่า "จะเรียนนักธรรมหรือไม่ ? จะได้ส่งชื่อให้" กระผม/อาตมภาพก็ไม่คิดที่จะเรียน เนื่องเพราะทราบมาแต่แรกว่า การเรียนนักธรรมนั้น แค่นักธรรมชั้นตรีก็ปฏิเสธการมีของพรหมของเทวดาแล้ว..!

ตัวอย่างก็คือคำถามที่ว่า "ฆฏิการพรหมเป็นใคร ?" ถ้าเราไปตอบว่า "เป็นท้าวมหาพรหมผู้เลื่อมใสการออกมหาภิเนษกรมณ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงได้นำบริขาร ๘ มาถวาย" ถ้าอย่างนี้เข้าให้ท่านตกเลย..! หากแต่เขาให้ตอบในลักษณะที่ว่า "พรหมเป็นคุณสมบัติของบุคคลผู้ทรงฌานสมาบัติ อาจจะมีศาสดาเจ้าลัทธิใดเจ้าลัทธิหนึ่ง ที่สามารถทรงฌานสมาบัติได้ รู้ถึงการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงได้นำบริขารมาถวาย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2024 เมื่อ 04:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 10-11-2024, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,220 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพจึงไม่คิดที่จะเรียน เพราะมั่นอกมั่นใจว่า ผีหรือ พรหม เทวดา นั้นมีจริง พระนิพพานนั้นมีจริง เนื่องเพราะว่าได้รับการฝึกฝนมโนมยิทธิมาตั้งแต่ก่อนอายุจะครบ ๒๐ ปี กว่าที่จะไปบวชตอนอายุ ๒๗ ปีก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก เมื่อมั่นใจขนาดนั้นแล้ว ตอบไปแบบที่ถูกต้องกลายเป็นสอบตก กระผม/อาตมภาพจึงไม่คิดจะสอบ

แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เมตตาบอกว่า "แกไปสอบเสียหน่อย เพราะว่านักปริยัติเขามักจะมองว่าพระนักปฏิบัตินั้นโง่ เรียนมาน้อย แกไปเรียนให้พวกเขารู้ว่าแกเก่งกว่า..!" กระผม/อาตมภาพจึงต้องไปสอบถามรุ่นพี่ ๆ ที่เรียนผ่านไปแล้วว่า "การเรียนนักธรรมชั้นตรีนั้นต้องใช้หนังสือเล่มไหนบ้าง ? และที่ไหนมีหนังสือให้ขอยืมได้บ้าง ?"

เมื่อได้รับการแนะนำว่ามีการเรียนวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรม ๑ วิชาธรรมวิภาค ๑ วิชาพุทธประวัติและศาสนพิธี ๑ และวิชาพระวินัยบัญญัติ ๑ ก็ไปค้นหนังสือหรือว่าตำราที่ตึกกองทุนชั้นล่าง ซึ่งรุ่นเก่า ๆ ท่านเคยซื้อหาเอาไว้ เอามาอ่านเอง ทำความเข้าใจด้วยตนเอง แล้วแจ้งทางคณะกรรมการสงฆ์ว่า ช่วยส่งรายชื่อเข้าสอบให้ด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าสอบ ครั้นถึงเวลาก็ต้องนั่งรถสองแถวเข้าไปสอบเอง ต้องไปแจ้งเขาว่าอยู่วัดไหน ? ชื่อฉายาว่าอะไร ? ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยุ่งยาก เพราะว่าไม่ได้รับคำแนะนำอะไรเลย นอกจากเปะปะไต่ถามเขาไปเรื่อย

เมื่อขึ้นมาเป็นรุ่นพี่ จึงได้อาสานำรุ่นน้องไปสอบ อาสาให้คำแนะนำรุ่นน้องว่า การสอบนั้นแนวทางการออกข้อสอบมีอย่างไรบ้าง ด้วยความที่ตนเองไม่ได้รับคำแนะนำมา เนื่องเพราะว่าทางวัดท่าซุงนั้นเป็นวัดสายปฏิบัติจริง ๆ ไม่สนใจเรื่องการเรียนเลย แม้แต่หลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ในยุคนั้น ท่านก็เรียนจบแค่นักธรรมชั้นโทเท่านั้น..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพที่มีความสงสารรุ่นน้อง ๆ จึงได้นำเขาทั้งหลายเหล่านั้นไปสอบ ให้คำแนะนำว่าจะต้องประพฤติปฏิบัติอย่างไร มีแนวทางในการทำข้อสอบอย่างไรบ้าง เมื่อมาเป็นเจ้าอาวาส จึงได้ประพฤติปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ด้วยการไปสนับสนุนให้กำลังใจ ถวายเบี้ยเลี้ยงให้ท่านไว้มีค่าใช้จ่ายในช่วงเข้ารับการอบรม ๑๐ วัน โดยที่ไม่ต้องควักกระเป๋าของตนเอง

กระผม/อาตมภาพคิดว่า การที่ตนเองกระทำเช่นนี้ อย่างน้อย ๆ พระลูกวัดก็จะได้มีกำลังใจในการสอบ เนื่องเพราะว่าสำนักศาสนศึกษาวัดท่าขนุนแผนกธรรมนั้น ตลอดระยะเวลา ๑๖ ปีที่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาสมา แทบจะไม่มีพระภิกษุสามเณรรูปใดสอบตกเลย ยกเว้นบางท่านที่เก่งเกินไปจึงมีการเรียนซ้ำชั้นบ้าง..!

ส่วนสำนักศาสนศึกษาวัดท่าขนุนแผนกบาลีนั้นก็สร้างชื่อเสียงขึ้นมาเคียงคู่กับสำนักเก่า ๆ อย่างที่เขาเรียกกันติดปากว่า "บาลีต้องวัดเหนือ วัดใต้ วัดทุ่งมะสัง วัดพังตรุ" เหล่านี้เป็นต้น ในเมื่อไม่กี่ปี เราสามารถสร้างชื่อเสียงขึ้นมาเทียบเคียงกับวัดใหญ่ ๆ เขาได้ ท่านทั้งหลายก็ต้องเข้าใจว่า นอกจากความรู้ความสามารถเฉพาะตนของผู้เข้าเรียนแล้ว ผู้เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษาก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ตาม ยังต้องมีแนวทางการประพฤติปฏิบัติ ที่เป็นการส่งเสริมกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย หลายอย่างนี้ต้องมารวมกัน ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2024 เมื่อ 04:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว