กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 22-09-2024, 18:09
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-09-2024, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน หมู่ที่ ๓ ตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ตั้งแต่เวลาตี ๕ เศษ เพื่อไปนำครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ประธานที่พักสงฆ์ปรียนันท์ธรรมสถาน ออกจากการเข้านิโรธกรรมจำนวน ๙ วัน ๙ คืน ซึ่งกระผม/อาตมภาพรับหน้าที่เป็นประธานในงานให้ทุกปี

ท่านทั้งหลายถ้าสังเกตจะเห็นว่า ในงานออกนิโรธกรรม ไม่ว่าจะเป็นครูบาเหนือชัย โฆสิโตก็ดี ครูบาวิฑูรย์ ชินวโรก็ตาม มักจะให้กระผม/อาตมภาพเป็นประธานในการนำท่านออกจากงานเสมอ

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจเสียก่อนว่า นิโรธกรรมนั้นไม่ใช่นิโรธสมาบัติอย่างที่หลายท่านเข้าใจกัน นิโรธกรรมเป็นการปฏิบัติกรรมฐานแนวหนึ่ง ซึ่งแพร่หลายอยู่ในดินแดนล้านนาของเรา บางท่านก็บอกว่ามีต้นกำเนิดมาจากหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย ก็คือพระสงฆ์ที่จะเข้านิโรธกรรมนั้น จะเก็บตัวเข้าสมาธิอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ซึ่งมีการกั้นเขตเป็นการส่วนตัว ส่วนใหญ่ก็จะล้อมรั้ว ๙ ชั้น เข้าสมาธิอยู่ในสถานที่นั้น โดยมีน้ำเพียงบาตรเดียวที่ใช้ดำรงชีวิตอยู่ในระหว่าง ๗ วัน หรือว่า ๙ วัน

การเข้าสมาธิในลักษณะอย่างนั้นเป็นการซักซ้อมเรื่องของฌานสมาบัติ ตลอดจนกระทั่งความอดกลั้นอดทนต่าง ๆ ซึ่งทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็งขึ้น มีความคล่องตัวในการเข้าฌานสมาบัติได้มากขึ้น เนื่องเพราะว่าต้องซักซ้อมต่อเนื่องกันอยู่ตลอด ๗ หรือ ๙ วัน การที่ทำเช่นนั้น สิ่งที่ได้รับอันดับแรกเลยก็คือ มีความคล่องตัวในฌานสมาบัติมากขึ้น

อันดับที่สองก็คือสามารถที่จะปล่อยวางกายสังขารนี้ได้มากขึ้น ถ้าไม่สามารถที่จะปล่อยวางถึงขนาดมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะเอาชีวิตของตนเองไปเสี่ยงแบบนั้น

และประการสุดท้าย เมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้ว อย่างน้อย ๆ ญาติโยมที่ร่วมบุญร่วมกุศลก็จะได้อานิสงส์มากเป็นพิเศษ เพราะว่าได้ทำบุญกับพระที่ออกจากสมาบัติ ในการที่เข้าฌานสมาบัติอย่างน้อยถึง ๗ วันหรือว่า ๙ วันด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2024 เมื่อ 02:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-09-2024, 00:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ถ้ามีบุคคลที่ท่านได้มรรคผลถึงระดับอนาคามีขึ้นไป และทนงสมาบัติ ๘ ได้ ถ้าปฏิบัติตามแนวทางนี้ ท่านก็จะเข้านิโรธสมาบัติ ซึ่งนิโรธสมาบัตินั้นเป็นการดับซึ่งสัญญาและเวทนาทั้งปวง โดยปกติแล้วก็จะเข้ากันอยู่ในอิริยาบถเดียว ก็คือนั่งหรือว่านอนเป็นส่วนใหญ่ อิริยาบถยืนนั้นมีน้อยมาก

เท่าที่ทราบมา บุคคลที่เข้าอิริยาบถยืนก็คือหลวงปู่คำคะนิง วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ซึ่งหลวงปู่คำคะนิง จุลมณีนั้น ท่านเข้านิโรธสมาบัติจนกระทั่งปลวกทำรังขึ้นมาถึงหัวเข่า เพราะว่าท่านยืนนิ่ง ๆ เฉย ๆ ปลวกน่าจะคิดว่าเป็นตอไม้ จึงได้ทำการสร้างรังล้อมบริเวณนั้นเอาไว้เลย..!

ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านยังมีเรื่องของเวรกรรมสัมพันธ์อยู่กับโลกมนุษย์ ทำให้มีบุคคลไปพบเห็นเข้า แล้วไปขุดเอารังปลวกออก นำท่านมาช่วยพยาบาล จนกระทั่งท่านต้องคลายออกจากสมาธิ น่าจะเกิดจากรำคาญที่ญาติโยมไปรบกวนไม่แล้วไม่เลิก ในเมื่อเป็นเช่นนั้นท่านจึงต้องออกมาผจญกรรมในโลกมนุษย์ต่อไป หาไม่แล้วก็คงจะเข้านิโรธสมาบัติไปจนกระทั่งมรณภาพไปเลย..!

หรือถ้าหากว่าเข้าในอิริยาบถนั่งก็อย่างหลวงพ่อขี้ค้างคาว ที่สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงออกธุดงค์แล้วไปพบเข้า ท่านนั่งเข้าสมาบัติอยู่ในถ้ำ จนกระทั่งค้างคาวซึ่งบินเข้าบินออกขี้ไว้วันละเล็กวันละน้อย จนกระทั่งขี้ค้างคาวท่วมมาถึงเอว หลวงพ่อฤๅษีฯ ไปสะกิด ท่านก็ "อือ..อือ" ให้รู้ว่าท่านกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็อาจจะเข้าไป จนกระทั่งค้างคาวขี้ท่วมหัวมองไม่เห็นองค์ท่านไปเลย แล้วก็มรณภาพไปอย่างนั้น..!

ผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติลักษณะแบบนั้น ส่วนใหญ่ก็เกิดจากการที่ท่านไม่มีบุญกรรมสัมพันธ์กับทางโลกมากไปกว่านั้น เมื่อถึงเวลาก็ใช้วิธีเข้าสมาบัติ เพื่อที่จะไม่ต้องรับรู้เรื่องความทุกข์ทางโลกอีก รอจนกระทั่งหมดบุญสัมพันธ์ หมดกรรมสัมพันธ์ หมดอายุขัยของร่างกายนั้น ท่านก็จะมรณภาพและไปตามหนทางของตน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2024 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-09-2024, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนการเข้านิโรธสมาบัตินั้นไม่ขอกล่าวถึง เนื่องเพราะว่าในชีวิตนี้ กระผม/อาตมภาพก็ได้รับการบอกเล่าจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์เท่านั้น โดยเฉพาะพระเดชพระคุณครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย วัดเก่าที่ครูบาวิฑูรย์ท่านบวชเป็นสามเณรอยู่ที่นั่น หลวงปู่ชุ่มท่านสามารถเข้านิโรธสมาบัติในอิริยาบถทั้ง ๔ ได้ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านปรารภว่า "ในชีวิตของข้าก็พบเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น"

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็อาจจะสงสัยว่า การเข้านิโรธสมาบัติคือการดับสัญญา ได้แก่ ความรู้ได้หมายจำ และเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ หรือว่าไม่สุขไม่ทุกข์เสียทั้งหมด แล้วท่านจะไปบังคับร่างกายให้เข้านิโรธสมาบัติในลักษณะการเดินได้อย่างไร ? แรก ๆ กระผม/อาตมภาพก็งมหาคำตอบอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ได้คำตอบว่า ท่านอธิษฐานจิตบังคับร่างกายให้เดินในลักษณะแบบนั้นก่อน แล้วค่อยถอดจิตทิ้งขันธ์ไป

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการเข้านิโรธสมาบัติมีอยู่ ๒ อาการ อาการหนึ่งก็คือการที่จิตดำรงอยู่ภายในร่างกาย แต่ว่าไม่เกาะเกี่ยวกับร่างกายเลย อาจจะนอนนิ่ง ๆ หรือว่านั่งนิ่ง ๆ ไปอย่างเดียว ตลอดจนกระทั่งยืนนิ่งแบบหลวงปู่คำคะนิง หรือว่าเดินได้แบบหลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย

อาการที่สองก็คือการที่บังคับจิตให้ทำสิ่งหนึ่งประการใด แต่ว่าสภาพจิตก็ไม่ได้เกาะเกี่ยวกับร่างกายเช่นกัน จิตของท่านอาจจะไปพักผ่อนอยู่บนพระนิพพาน หรือว่าไปกราบพระ ไปสนทนาธรรมกับบรรดาพระอรหันต์ ตลอดจนกระทั่งผู้ที่มีความข้องเกี่ยวซึ่งเข้ามาในช่วงนั้น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่เกินกำลังที่พวกเราทั้งหลายจะรู้ได้ แต่ขอให้ทราบว่า ต้องเป็นบุคคลที่ทรงความเป็นพระอนาคามีและได้สมาบัติ ๘ ขึ้นไปเท่านั้น ท่านจึงจะสามารถเข้านิโรธสมาบัติตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกได้ ส่วนใหญ่ที่เข้าอยู่ในปัจจุบันก็คือนิโรธกรรม ตามแนวปฏิบัติสายล้านนาเท่านั้น

ในส่วนที่จะต้องโดนอย่างแน่นอนก็คือ ในช่วงที่เข้านิโรธกรรมอยู่นั้นก็มักจะโดน "ลองของ" อยู่เสมอ จากบรรดาบุคคลที่เรียนในไสยศาสตร์ แล้วต้องการทดสอบวิชาของตนเองบ้าง กระทำไปโดยอิจฉาริษยาบ้าง ก็จะส่งบรรดาวัตถุอาถรรพ์ต่าง ๆ แม้กระทั่งพวกผีมารบกวนอยู่เสมอ

ผู้ที่จะเข้านิโรธกรรมหรือนิโรธสมาบัติ จึงต้องไปขอร้องพระเถระที่ท่านมั่นใจว่าจะสามารถปกป้องคุ้มครองท่านได้ ตลอดระยะเวลาที่เข้านิโรธกรรมหรือนิโรธสมาบัติอยู่ ให้คอยดูแลรักษา และรับท่านออกจากการเข้านิโรธกรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะในวันสุดท้ายที่ท่านออกมา ร่างกายจะอ่อนเพลียมาก เนื่องเพราะว่าร่างกายขาดธาตุอาหารมาตลอด ๗ หรือว่า ๙ วัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าเผลอขาดสติก็อาจจะโดนเล่นกันซึ่ง ๆ หน้าในช่วงนั้นได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2024 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 23-09-2024, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ปีแรก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไปช่วยดูแลรับครูบาเหนือชัย โฆสิโก นักบุญแห่งขุนเขา หรือว่า "พระขี่ม้า" ออกจากนิโรธกรรมก็ดี รับครูบาวิฑูรย์ ชินวโร ออกจากนิโรธกรรมก็ตาม เจอการเล่นงานกันซึ่ง ๆ หน้าเลย..!

แต่บังเอิญว่าเล่นผิดคน เนื่องเพราะว่าสายกรรมฐานที่กระผม/อาตมภาพศึกษามานั้น มีวิชายันต์เกราะเพชรซึ่งเอาไว้สะท้อนไสยศาสตร์โดยเฉพาะ จึงทำให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลำบากเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน เพราะว่าบุคคลที่มียันต์เกราะเพชรอยู่กับตัวเอง ใครทำไสยศาสตร์มาเท่าไรก็โดนสะท้อนคืนกลับไปเท่านั้น ปีหลัง ๆ จึงค่อนข้างสบาย ไม่มีใครมาวอแวแบบนั้นอีก

แต่ขนาดนั้นก็ตาม ในช่วงงานเป่ายันต์เกราะเพชร ก่อนระยะเวลาเป่ายันต์ประมาณครึ่งเดือน และหลังการเป่ายันต์มาประมาณครึ่งเดือนก็ตาม ก็มีการทำไสยศาสตร์มาถึงกระผม/อาตมภาพอยู่เสมอ ในส่วนที่มีประโยชน์มากสำหรับกระผม/อาตมภาพก็คือ ทำให้บรรดาจิ้งจกตุ๊กแกรอบกุฏินั้นรับเละไปตาม ๆ กัน เพราะว่าในเมื่อเข้าคนไม่ได้ก็ไปเข้าสัตว์ ทำให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นล้มตายเป็นใบไม้ร่วง บรรดาจิ้งจกตุ๊กแกที่เคยมาขี้ มาทำความลำบากให้กับผู้ทำความสะอาดกุฏิ จึงหมดไปโดยปริยาย..!

ส่วนกระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่แผ่เมตตาให้กับบรรดาจิ้งจกตุ๊กแกเหล่านั้น ที่ท่านมารับในสิ่งที่ไม่ควรรับ แต่ว่าทำให้ท่านทั้งหลายพ้นจากทุกข์ในชาติของการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็ยังได้รับบุญกุศลที่กระผม/อาตมภาพตั้งใจอุทิศให้ด้วย ชาติต่อไปก็คงไม่ต้องมาลำบากเกาะข้างฝาแบบนี้อีก..!

ส่วนท่านที่ทำมานั้น ถ้าอยู่ ๆ ข้าวของที่ทำมาหายเงียบไปเฉย ๆ ก็ขอให้รู้ว่าหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนยังสบายดี แล้วถ้าหากว่าวันไหนไม่มีอะไรจะทำ สิ่งที่ท่านทั้งหลายส่งมาก็จะคืนไปให้ ถึงเวลานั้นก็โปรดรับให้ทันก็แล้วกัน..!

สำหรับวันนี้ เมื่อรับครูบาวิฑูรย์ออกมาแล้ว ได้ทำการบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย กราบขอบารมีพระท่านอนุเคราะห์สงเคราะห์ ไม่ให้มีสิ่งที่เป็นอันตรายแทรกเข้ามาในบริเวณนั้นได้ พระท่านได้มอบหมายให้ท้าวจาตุมหาราชช่วยดูแล กระผม/อาตมภาพเองมองเห็นพลังงานที่เทวดาทั้งหลายท่านช่วยเหลือสงเคราะห์ วิ่งลงมายังซุ้มสืบชะตาเหมือนอย่างกับสายฟ้า แล้วก็แผ่ลามไปทั่วบริเวณมณฑลพิธีตามสายสิญจน์ต่าง ๆ เหมือนอย่างมีเปลวไฟ หรือว่าสายฟ้า แลบแปลบปลาบอยู่ทั่วไปหมด ก็ได้แต่นั่งยิ้มว่า วันนี้ถ้าใครคิดจะทำอะไรเอ็งซวยแน่ ๆ..!

หลังจากนั้นก็ได้ทำการร่วมเป็นเนื้อนาบุญให้ญาติโยมทั้งหลายได้ร่วมทำบุญ แต่ว่ากระผม/อาตมภาพมอบปัจจัยทั้งหมดที่ได้รับมาให้กับครูบาวิฑูรย์ และแถมของส่วนตัวไปให้อีก เพื่อร่วมบุญร่วมกุศลในครั้งนี้ด้วยกัน เมื่อเสร็จพิธีสืบชะตาแล้ว ก็ได้ลาพระเถรานุเถระเดินทางกลับสู่ที่พักของตน

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2024 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:24



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว