กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-07-2024, 19:43
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-07-2024, 00:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ บรรดานาคที่สมัครเพื่ออุปสมบทหมู่เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสเจริญพระชนมายุ ๙๒ พรรษา จากยอดที่สมัครมา ๒๓ ท่านด้วยกัน รอบแรกผ่านไปเหลือ ๑๙ ท่าน ปัจจุบันนี้เหลือแค่ ๑๖ ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าจาก ๑๙ มา ๑๖ นั้นมีบางคนหนีกลับไปเฉย ๆ..!

หลายท่านเป็นบุคคลที่ตั้งใจจะทำความดีแต่ทนลำบากไม่ได้ เราท่านต้องเข้าใจว่าในโอวาทปาฏิโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ประโยคแรกเลยก็คือ ขันตี ปรมัง ตะโป ตีติกขา ขันติคือความอดทนอดกลั้นนั้น จึงจัดว่าเป็นตบะที่แท้จริง ของเราแค่กินน้อยนอนน้อยหน่อยเดียว เตลิดเปิดเปิงไม่ยอมสู้กิเลสแล้ว เมื่อไปพูดถึงการที่เราปฏิบัติธรรมด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก คิดว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ? ก็ย่อมไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะว่าเราพร้อมที่จะถอนตัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อเจอความลำบาก

ส่วนหลายท่านก็บวชแล้วบวชอีก ประมาณว่าเก็บคะแนนไปเรื่อย อยากจะบอกว่าท่านทั้งหลายทำถูกแต่ผิด..! เนื่องเพราะว่ากำลังใจของเราพร้อมที่จะสึกอยู่ตลอดเวลา แล้วจะเอากำลังใจที่ไหนไปสู้กิเลส ? ประมาณว่าเปิดโอกาส ๓๖๐ องศา มีปัญหาเมื่อไรกูเผ่นทันที ประเภทนี้แม้แต่หางตากิเลสยังไม่ชายมาไปมองเลย ไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะให้กิเลสเหลียวแลเสียด้วยซ้ำไป..!

ไม่รู้จะยกตัวอย่างใครให้ชัดเจนเท่ากับตัวเอง กระผม/อาตมภาพตั้งใจบวชแค่ ๗ วัน แต่ว่าเงินเก็บทั้งหมดแบ่งให้น้องสองคนเอาไว้เป็นทุนการศึกษา ข้าวของเครื่องใช้ยกให้พี่ชายไปเลย ถ้าสึกออกไปแปลว่าต้องเริ่มต้นจากศูนย์ แล้วกำลังใจแบบนี้ท่านทั้งหลายกล้าทำหรือไม่ ? ดังนั้น..หลายต่อหลายเรื่องบางทีกระผม/อาตมภาพอยากจะบอกอยากจะกล่าวให้พวกเราทำ แต่พิจารณาแล้วว่าคงจะไม่ไหว เพราะว่ากำลังใจแต่ละคนพร้อมที่จะ "ถอนสมอ" อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ความกล้าที่จะสู้กับกิเลสยังไม่มีเลย..!

การบวชนั้นไม่มีคำว่าตรงกลาง ถ้าขึ้นสุดไม่ได้ก็ต้องลงสุดไปเลย..! ถ้าเราวางกำลังใจแบบนี้ได้ถึงจะพอสู้กับกิเลสได้ หลายต่อหลายท่านที่บวชเข้ามาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะสู้กับกิเลส แต่ว่ามีเหตุผลต่าง ๆ กันไป ประเภทครอบครัวไม่เอาแล้วบ้าง ต้องคดีจนต้องมาชุบตัวใหม่บ้าง สารพัดสารเพเหตุผล แต่ท่านต้องไม่ลืมว่าความเป็นพระคืออุดมเพศ เป็นเพศที่ชาวบ้านเขาเคารพ เป็นเพศที่เรากินเราใช้โดยการอนุเคราะห์สงเคราะห์ของชาวบ้านเขา แล้วเราทำตนอะไรที่สมควรกับการอนุเคราะห์สงเคราะห์ของญาติโยมเขาบ้าง ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2024 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-07-2024, 01:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเบื้องต้นเลย แค่ศีลทุกสิกขาบทรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ คิดว่าเราทำได้หรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพเป็นพระใหม่ ๓ - ๔ พรรษาแรก เปิดหนังสือนวโกวาทจนเปื่อยทั้งเล่ม เพราะว่าศีลพระอยู่ในนั้น

ข้อไหนที่พลาดเมื่อไรขาดความเป็นพระ ก็จะกาดอกจันสีแดงไว้ ๔ ดอกชัด ๆ เลย

ข้อไหนไม่ถึงขนาดขาดความเป็นพระ แต่ว่าแก้ไขยากถ้าต้องอาบัติไป ก็ดอกจันสีแดง ๓ ดอก

ข้อไหนที่โดนแล้วโทษหนักแม้ว่าจะไม่เท่ากับดอกจัน ๔ ดอก หรือว่า ๓ ดอก ก็ใส่ลงไป ๒ ดอก

ถ้าหากว่าเป็นศีลทั่ว ๆ ไปที่ต้องอาศัยสติระมัดระวังก็ดอกจันแดง ๑ ดอก

ส่วนไหนที่เก็บเอาไว้เป็นต้นทุนได้เลย เพราะว่าสมัยนี้ไม่มีศีลอะไรที่เกี่ยวข้องกับปัจจุบันแล้ว อย่างการสร้างข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่นการตัดเย็บสบงจีวร ทำผ้านิสีทนะคือผ้าปูนั่ง หรือว่าศีลที่เกี่ยวกับภิกษุณี ก็วงกลมสีน้ำเงินไปเลย นี่เป็นต้นทุนที่เราเก็บเอาไว้เพราะว่ากำไรล้วน ๆ ถึงเป็นศีลสมัยนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาไประมัดระวัง แต่ละวันจะเปิดทบทวนอยู่เสมอ และเป็นการทวนที่เร็วมาก ก็คือดูจากของที่พลาดแล้วเราขาดความเป็นพระได้ง่าย แล้วก็ไล่ลงมาจนกระทั่งพลาดได้ยาก และท้ายที่สุดก็คือข้อที่เราไม่พลาดแน่นอน

การที่เราเป็นพระ ใหม่ ๆ ก็จะต้องเครียดกับการรักษาศีลอยู่แล้ว เพราะว่ามีมากกว่าปกติหลายเท่า เราต้องพยายามที่จะทำไปจนสติสมบูรณ์ ขนาดว่าขยับตัวเมื่อไรรู้ทันทีว่าศีลจะขาดหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2024 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 25-07-2024, 01:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วการที่เราจะทำเช่นนั้นได้ก็แปลว่าเราต้องมีสมาธิทรงตัว สมาธิทรงตัวเมื่อไร สติก็จะว่องไว ปัญญาก็จะแหลมคม และโดยเฉพาะมีกำลังในการหักห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีล เอาแค่ใครที่ยังไม่สามารถจะห้ามตนเองให้กินอาหารตอนเย็นได้ ถ้าหากว่าห้ามปากตัวเองได้สำเร็จเมื่อไร สามารถรักษาศีลได้ทุกข้อ เนื่องเพราะว่ากำลังใจในการหักห้ามไม่ให้กินของที่ชอบ กับกำลังใจในการห้ามตนไม่ให้ละเมิดศีล ใช้กำลังใจเท่ากัน

ถ้าหากว่าเราท่านทรงสมาธิเป็นปกติ กำลังใจอยู่กับการภาวนา ร่างกายจะตัดความรู้สึกอื่น ๆ ออกไป จะไม่รู้สึกหิว หรือถ้าทำแล้วเกิดปีติขึ้นมายิ่งดี เพราะว่าเราไปเสวยปีตินั้นแทน ไม่รู้สึกถึงความหิวของร่างกาย

ในเมื่อมาถึงระดับนี้แล้วก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือ ทำอย่างไรที่จะใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา ว่าการบวชของเราที่เสี่ยงต่อการตกนรกอย่างสาหัส เราบวชแล้วจะทำอย่างไรให้ได้กำไรให้มากที่สุด ก็ต้องพยายามพินิจพิจารณาให้เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายนี้ จนกระทั่งสภาพจิตเบื่อหน่ายในความไม่มีแก่นสาร เบื่อหน่ายในความสกปรกโสโครก เบื่อหน่ายในความเป็นรังของโรค

แล้วสภาพจิตของเราค่อย ๆ คลายจากการยึดมั่นถือมั่นได้ออกมาได้ คลายได้น้อยก็กำไรน้อย คลายได้มากก็กำไรมาก ถ้าสามารถตัดละร่างกายของตนเองได้จริง ๆ การตัดละร่างกายคนอื่นก็ง่ายกว่าตั้งเยอะ

ในเมื่อไม่เห็นความดีความงามของร่างกายตนเอง ของร่างกายคนอื่น ความยึดเกาะในโลกนี้ก็ไม่มี เพราะว่าสิ่งที่เรารักมากที่สุดก็คือตัวตนร่างกายของเรานี่เอง เมื่อเห็นชัดว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เราอาศัยอยู่ชั่วคราว ถึงเวลาก็สร้างทุกข์สร้างโทษให้เราหนักหนาสาหัส เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ สภาพจิตที่เบื่อหน่ายเพราะเห็นจริง ก็จะคลายการยึดการเกาะออกมา ในลักษณะแบบนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราจึงสามารถที่จะส่งผลให้เราพ้นจากกองทุกข์ไปตามลำดับ ตัดละได้มากก็พ้นได้มาก ตัดละได้น้อยก็พ้นได้น้อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2024 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 25-07-2024, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องอาศัยความอดกลั้นอดทน เพราะว่าศีลที่ตีกรอบเราเอาไว้จนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ ใหม่ ๆ ถ้ายังไม่เคยชินก็จะอึดอัดขัดข้องมาก สมาธิก็ไม่สามารถจะทรงตัวได้นาน พักเดียวก็โดน รัก โลภ โกรธ หลง ตีกระจาย ไม่ต้องไปกล่าวถึงปัญญาว่าเราจะเข้าถึงได้อย่างไร ถ้าศีลและสมาธิไม่ดี

ความอดทนอดกลั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการประพฤติปฏิบัติตนของเราในความเป็นนักบวช บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็ให้กำลังใจว่าสู้แค่ตาย กระผม/อาตมภาพสู้มาหลายปี ตายฟรีทุกครั้ง..!

การสู้กับกิเลส เราจะสู้แบบโง่ ๆ ไม่ได้ จะต้องมีเทคนิควิธีการอะไรต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับตนเอง
และโดยเฉพาะบางคนกำลังใจไม่เป็นไปตามกองกรรมฐาน กระผม/อาตมภาพตั้งใจที่จะตัดราคะ พยายามใช้กายคตาสติและอสุภกรรมฐานตามตำราบอก ตัดไม่สำเร็จ แต่ว่าไปตัดได้ตรงเมตตาพรหมวิหาร เห็นเขาเหมือนกับคนในครอบครัวเดียวกัน

เราจะเห็นได้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้บางทีเราก็คิดไม่ถึง เนื่องเพราะว่ากรรมฐานทุกกอง ถ้าเราทำถึงที่สุด สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ เพียงแต่ว่าแต่ละกองนั้นจะช่วยให้เราสร้าง ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นได้อย่างไร ? จะต้องมีมุมที่เราหาให้เจอ แต่อันดับแรก หาคำว่า "ธรรมดา" ให้พบก่อน ถ้าสามารถปล่อยวางได้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมดา เราก็สามารถหากินได้ไปตลอดชีวิตแล้ว

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๒๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-07-2024 เมื่อ 02:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:16



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว