กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-07-2024, 19:57
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-07-2024, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ มีหลายเรื่องหลายราวที่กระผม/อาตมภาพอยากจะพูดถึง

อันดับแรกเลยก็คือ ท่านที่ไปอบรมเป็นพระอาสาสมัครส่งเสริมสุขภาพประจำวัด (อสว.) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระคิลานุปัฏฐาก แม้ว่าเราจะผ่านการอบรมมาแล้ว แต่ว่าส่วนที่ต้องระวังที่สุดก็คือเรื่องของพระธรรมวินัย มีตัวอย่างที่พระภิกษุรูปหนึ่งเห็นผู้หญิงโดนรถชนล้มอยู่แล้วก็เข้าไปช่วย เมื่อมีผู้สงสัยว่า "ท่านเป็นพระแล้วไปช่วยเหลือผู้หญิงแบบนั้น จะไม่ผิดพระวินัยหรือ ?" แล้วท่านตอบว่าไม่ผิด เพราะว่าท่านผ่านการอบรมพระคิลานุปัฏฐากมาแล้ว..!

คำตอบนั้นต้องบอกว่าเป็นการเข้าใจผิด เนื่องเพราะว่าต่อให้ท่านเป็นแพทย์มาโดยตรงก็ไม่ได้ เพราะว่าผู้หญิงเป็นวัตถุอนามาส ถ้าหากว่าพระจับต้องโดยมีจิตกำหนัดจะต้องอาบัติสังฆาทิเสส ถ้าจับต้องโดยไม่มีจิตกำหนัด ก็ยังคงโดนอาบัติอยู่ดี แล้วท่านกำหนดไว้ว่าตั้งแต่เด็กผู้หญิงแรกเกิดในวันนั้น เพราะฉะนั้น..
อย่าได้เข้าใจผิดว่าเราผ่านการอบรมแล้ว สามารถที่จะทำอะไรล่วงละเมิดพระวินัยได้..!

อีกส่วนหนึ่งก็คือการที่เราเป็นผู้พยาบาลภิกษุไข้ ภิกษุผู้ป่วยไข้สามารถฉันอาหารหลังเพลไปแล้วได้ แม้แต่ภิกษุผู้ดูแลภิกษุไข้ก็ได้รับอนุญาตให้ฉันไปด้วย แต่ถ้าเราสามารถละเว้นได้จะเป็นการดีมาก ก็คือเว้นให้เฉพาะภิกษุไข้เท่านั้น ที่ท่านต้องการอาหารเพื่อฟื้นร่างกายตนเอง

แต่ถ้าอย่างที่กระผม/อาตมภาพไปอยู่ที่โรงพยาบาลมา ออกชื่อตรง ๆ ก็แล้วกันว่าโรงพยาบาลสงฆ์ โดยปกติแล้วทางโรงพยาบาลจะมีอาหารเช้า อาหารเพล มีน้ำปานะให้ตอนบ่าย ๒ โมง แล้วก็มีอาหารเย็นให้ตอน ๕ โมงเย็น แต่ที่กระผม/อาตมภาพเห็นก็คือ ท่านฉันเช้า ฉันสาย ฉันเพล ฉันบ่าย ฉันเย็น ฉันดึก แล้วพอเห็นกระผม/อาตมภาพฉันมื้อเดียวก็ยังมาเซ้าซี้ถามว่า "พระหนุ่ม ๆ ฉันแค่มื้อเดียวอยู่ได้อย่างไร ?"

ถ้าลักษณะอย่างนั้นต้องอาบัติตรง ๆ เลย เพราะว่าตั้งใจละเมิดศีล เนื่องเพราะว่าไม่ได้ฉันเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ แต่ว่าฉันสนองกิเลสตัวเอง แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็สร้างความปวดหัวให้กับหมอและพยาบาลเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าต่อให้หายแล้วก็ไม่ยอมกลับวัด เพราะว่าสามารถที่จะฉันเวลาไหนก็ได้ หมอและพยาบาลท่านไม่ได้มีความเคร่งครัดในพระวินัย ท่านก็ไม่ห้ามให้ทำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-07-2024, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วบรรดาผู้ที่ไปเยี่ยมภิกษุไข้ ผู้ที่ไปทำบุญตามวาระพิเศษอย่างเช่นวันเกิดตนเอง ก็มักจะมีซองปัจจัยไปถวายด้วย และบางวันก็ไปกันหลาย ๆ เจ้า ทำให้บรรดานักบวชไร้ยางอายเหล่านี้ มีการ "แย่งเตียง" กันอีก เพราะว่าเขามักจะถวายตั้งแต่ประตูเข้าไป ใครอยู่ใกล้ ๆ ประตูมากเท่าไร โอกาสได้รับก็มีมากกว่าคนอื่นเท่านั้น ถึงขนาดทะเลาะเบาะแว้งจะวางมวยกันก็มี..!

ทำเอากระผม/อาตมภาพต้องบอกกับโยมว่า "เรากลับเดี๋ยวนี้เลย" เนื่องเพราะว่าไม่สามารถจะทนอยู่กับพวกเขาต่อไปได้ สรุปก็คือจากที่หมอกำหนดให้อยู่โรงพยาบาลอย่างน้อย ๓ วัน ก็ทนอยู่ได้แค่คืนเดียวเท่านั้น..!

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ความเป็นพระภิกษุของเรานั้น ในเบื้องต้นเลยก็คือต้องรักษาพระวินัย เราจะไปละเมิดโดยมีข้ออ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่ากิเลสนั้นมีมายามาก เมื่อถึงเวลาเราละเมิดเสียครั้งหนึ่ง กิเลสก็จะชวนให้ละเมิดครั้งต่อไป ข้ออ้างก็คือ "คราวที่แล้วยังได้เลย..!"

ประการต่อไปก็คือระยะนี้มีผู้ถกเถียงกัน เรื่องของหลวงปู่ศิลา สิริจนฺโท ความจริงท่านเป็นเจ้าคุณชั้นราชที่พระราชวัชรธรรมโสภณ ว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่ ? ตั้งใจจะปรับอาบัติปาราชิกกันเลย ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจคำว่าอุตริมนุสธรรมเสียก่อน ก็คือธรรมอันยิ่งเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้ ถ้าหากอย่างที่คู่สวดท่านบอกก็คือ ฌาน วิโมกข์
สมาธิ สมาบัติ วิมุติ มรรค ผล เหล่านี้เป็นต้น

คราวนี้เราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า
ถ้าไม่มีแล้วไปอวดว่ามีก็จะต้องอาบัติปาราชิก แบบที่สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพปรับพระวัดท่าขนุนรูปหนึ่ง ที่อวดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้กับเพื่อนพระในวัดท่าขนุนแห่งนี้ หลังจากที่ไต่สวนกันละเอียดเรียบร้อยท่ามกลางสงฆ์แล้ว ก็แจ้งว่าท่านต้องอาบัติปาราชิก ให้สึกหาลาเพศไป

แต่ถ้าหากว่าทำได้ก็แปลว่าท่านอวดได้ เนื่องเพราะว่าถ้าไม่มีแล้วไปอวดต้องอาบัติปาราชิก แต่มีแล้วไปอวดก็ต้องอาบัติอยู่ดี แต่หมายความว่าต้องอวดเพื่อประโยชน์ของตนถึงจะต้องอาบัติ อย่างเช่นอวดแล้วให้คนเขาเลื่อมใสมากขึ้น ผลประโยชน์ต่าง ๆ จะได้เกิดขึ้นกับตนเอง

แบบเดียวกับสมัยที่เกิดทุพภิกขภัย แล้วพระท่านก็ไปสรรเสริญกันว่ารูปนั้นได้ฌานที่ ๑ รูปที่ได้ฌานที่ ๒ รูปโน้นได้ฌานที่ ๓ ปรากฏว่าชาวบ้านเขาอดอยากก็จริง แต่ด้วยความเลื่อมใสว่ามีพระทรงฌานอยู่ ก็พากันเลี้ยงดูจนอิ่มหนำสำราญ ในขณะพระที่อื่นผอมจนกระทั่งกระดูกและเส้นเอ็นขึ้นสะพรั่ง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2024 เมื่อ 01:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-07-2024, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องฉันข้าวเปลือกที่เขาเอาไว้เลี้ยงม้า พ่อค้าเขาถวายมาแล้วพระอานนท์ต้องไปตำ แล้วนำมาหุงถวาย พูดง่าย ๆ ก็คือกินข้าวกล้อง แต่ว่าพระกลุ่มนั้นท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสตำหนิว่าทำในลักษณะนั้นเหมือนกับไปปล้นเขากิน แล้วถึงได้บัญญัติศีลขึ้นมาว่าห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม

คราวนี้ถ้าหากว่ามีแล้วไปอวดก็อยู่ ๒ สถาน ก็คือท่านทำได้จริง ๆ อย่างหลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง ซึ่งท่านอาจารย์พันเอกปิ่น มุทุกันต์ อธิบดีกรมศาสนาสมัยนั้น ได้รับคำสั่งให้ไปสืบสวนว่าท่านอวดอุตริมนุสธรรม ท่านอาจารย์ปิ่นไปนอนอยู่ที่วัดดงตาก้อนทองเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วส่งรายการกลับมาว่า
"หลวงพ่อยีไม่ได้อวดอุตริมนุสธรรม เพราะว่าท่านทำได้จริง ๆ..!"

แต่คราวนี้ถ้าหากว่าจะปรับกันหนักที่สุดก็คือปรับว่าไม่เอื้อเฟื้อพระวินัย ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ หรือถ้าปรับเบากว่านั้นก็คืออาบัติทุกกฎ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาแต่ไปปรับอาบัติปาราชิก กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ท่านที่ตั้งใจจะปรับอาบัติปาราชิกเจ้าคุณหลวงปู่ศิลา ทำตัวเหมือนกับสำนวนนิยายกำลังภายในที่ว่า "สวรรค์มีทางเจ้าไม่ไป นรกไร้ประตูกลับตะกายมา"

เรื่องต่อไปก็คือวันนี้มีข่าวเกี่ยวกับลัทธิหนึ่งคือลัทธิอนุตตรธรรม ที่มีการนำนักเรียนไปกินเจ ไปกราบไปไหว้ขอพร ตลอดจนกระทั่งทำพาสปอร์ตไปสวรรค์..! ถ้าใครสิ้นสติก็เชื่อไปตามนั้น
การที่เราจะไปสวรรค์หรือนรก ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา และจิตสุดท้ายของเราว่าเรายึดการทำดีหรือทำชั่ว ไม่ต้องมีพาสปอร์ต เขาให้ไปฟรี..!

การไปก็มีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะแรกก็คือดีสุด ชั่วสุด ถ้าหากว่าดีจริงก็ขึ้นสวรรค์ไปเลย ถ้าชั่วมากก็ลงนรกไปเลย แต่ถ้ากึ่งดีกึ่งชั่ว ก้ำกึ่ง ชั่งน้ำหนักลำบาก ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมีเทวทูตไปรับ บางรายก็เรียกว่ายมทูต เมื่อรับแล้วก็พาไปที่ตำหนักพระยายมเพื่อรอการตัดสิน

คราวนี้การตัดสินนั้น พระยายมราชด้วยความที่ท่านมีเมตตาสูง ก็จะพยายามซักถามทุกอย่างว่า "เคยทำความดีความงามอะไรมาบ้าง ?" ต่อให้เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ถ้านึกได้พระยายมท่านก็จะให้ไปรับผลความดีก่อน หลังจากที่หมดบุญจากความดีแล้ว ก็ค่อยมาชดใช้ในนรกต่อไป

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครดวงดีมาก ก็คือมียมทูตหรือเทวทูตนั้นมารับ โอกาสรอดมีเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นพวกที่สร้างกรรมหนักแล้วไม่สามารถจะนึกถึงคุณงามความดีได้ ถามอะไรก็ได้แต่ก้มหน้ามองพื้น ไม่สามารถที่จะนึกได้ว่าทำดีอะไรไว้หรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นพระยายมท่านก็ต้องวางอุเบกขา ให้นายนิรยบาลเอาไปจัดการตามโทษานุโทษของตน

เพราะฉะนั้น..
การที่ไปทำพาสปอร์ตไปสวรรค์ เพื่อที่ถึงเวลาถ้าลงนรกจะได้เอาไปยืนยันกับพระยายมราช เป็นแค่ลีลาหาเงินของเขาเท่านั้น ถ้าใครคิดว่าทำแล้วได้เงินจะเลียนแบบดูก็ได้ แต่กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า ถ้าทำชั่วแบบนั้นก็อาจจะลงตรง ๆ ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตเลยก็ได้..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2024 เมื่อ 01:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว