กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 11-07-2024, 19:55
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-07-2024, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไปงานปฐมนิเทศและไหว้ครูประจำปี ๒๕๖๗ ของนิสิตทุกชั้นปี วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์มา

ในเรื่องของการไหว้ครูนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องเพราะว่าครูแทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตของเรา พ่อแม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา แต่ว่าครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้ เพื่อที่เราจะได้นำไปทำมาหากิน หรือว่ารักษาตัว รักษาครอบครัว รักษาประเทศชาติ โดยเฉพาะการเป็นศิษย์มีครู เหมือนกับมีเครื่องประกันความเสี่ยงว่า ต่อให้เราเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังมีครูเป็นที่พึ่งอยู่

ถ้าหากว่าจะกล่าวถึงในเรื่องของการฝึกฝนวิชาการต่าง ๆ ความมุ่งมั่น ความมั่นใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่างที่ในขุนช้างขุนแผน ถึงเวลาจะรบราฆ่าฟันกัน ก็ยังมีการถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ใครเป็นครูบาอาจารย์ ? หรือว่าในพระคาถาโองการมหาทมื่นก็ยังกล่าวเอาไว้ว่า "กูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้" นั่นก็คือความมั่นใจ

ดังนั้น..การที่จะเป็น "ศิษย์มีครู" ก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว เราไปแสดงตนว่าเป็นศิษย์ ครูท่านรับรู้ มีความรู้ก็ถ่ายทอดความรู้ให้ มีทรัพย์สินสิ่งของหรือว่าข้าวของเครื่องใช้สำคัญอะไร ถ้าเห็นว่าเราเป็นผู้สมควรที่จะได้รับ หรือว่ารักษาสิ่งของนั้นได้ ท่านก็จะมอบให้กับเรา

ในสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วจิตวิญญาณความเป็นครูมีน้อย สมัยก่อนการเป็นครูคือเป็นทั้งชีวิต สมัยนี้การเป็นครู ลูกศิษย์นึกถึงแค่ตอนเรียน เรียนจบแล้วบางทียังจดจำชื่อนามสกุลครูไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป ตัวอย่างบางคนเป็นเด็กกิจกรรม อยู่กับงานกิจกรรมมากกว่าวิชาที่เรียน ข้อสอบที่ครูออกมาประชดตอนที่ไปขอสอบซ่อมก็คือ "ครูผู้สอนวิชานี้มีชื่อว่าอะไร ?" แล้วดันตอบไม่ได้อีกต่างหาก..!

ในเรื่องของความเป็นครู สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "แม่พิมพ์" แม่พิมพ์ก็คือต้นแบบที่ลูกศิษย์ต้องถอดแบบไปให้ได้ ต่อให้ไม่ได้ทั้งหมด ก็ต้องได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้น..ครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายก็คือ "แม่พิมพ์" ไม่มี "พ่อพิมพ์"

"พ่อพิมพ์" นั้นเป็นการใช้คำที่ผิด
สมัยนี้มีการใช้ผิด ๆ จนคนเข้าใจว่าเป็นของถูกมากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งหลักธรรมในพระพุทธศาสนาก็ยังไป "ตีความ" ผิด ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2024 เมื่อ 03:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-07-2024, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บาลีกล่าวไว้ว่า เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง บริสุทธิ์บริบูรณ์ สูงส่งที่สุดแล้ว ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน

คำว่า เกวะละ ที่คนไทยเขามาเขียนเป็น "ไกวัล" หมายถึงความบริสุทธิ์สูงสุดประการหนึ่ง ซึ่งใช้แทนคำว่าพระนิพพานได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น
หลักธรรมในพระพุทธศาสนาจึงไม่ต้องตีความ ตีความเมื่อไรอาจจะผิดเมื่อนั้น มีหน้าที่ศึกษาและทำตามเท่านั้น

ยุคนี้สมัยนี้เป็นอะไรที่พุทธบริษัททั้งหลายลำบากมาก เพราะว่าเป็นยุคของ "ฆราวาสสอนธรรม" ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าฆราวาสที่เก่งจริงเข้าถึงจริงตายหมดแล้ว..! เนื่องเพราะว่าสังขารความเป็นฆราวาส รองรับความบริสุทธิ์สูงสุดไม่ได้ ความบริสุทธิ์สูงสุดอย่างเช่นพระอรหันต์ มีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ ใครให้ความเคารพให้ความนับถือ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็มีคุณอนันต์ ใครที่ล่วงเกินก็มีโทษมหันต์ เปรียบเหมือนกับไฟ เราจะให้หุงต้ม ใช้ให้ความอบอุ่น ใช้ป้องกันสัตว์ร้ายต่าง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเผลอไปจับเข้าเมื่อไรก็ไหม้ พอง เดือดร้อน ไฟไม่ได้ทำอะไรเลย ไฟอยู่ของไฟเฉย ๆ..!

ดังนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่ไปตีความสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน บางท่านก็ตั้งใจเคร่งครัดเสียจนไม่ดูสภาพของสังคมปัจจุบัน อย่างที่ปีก่อนโน้น กระผม/อาตมภาพพาหลายท่านบิณฑบาตอยู่ แล้วก็มีคณะบุคคลมาชูป้าย "เย้ว ๆ" อยู่ว่า "อย่าถวายปัจจัยให้กับพระ คุณกำลังสร้างกรรมหนัก สร้างนรกให้ตัวเอง..!" คราวนี้เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ได้มาช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไม่ได้มาช่วยจ่ายค่าเดินทางให้กับพระ
บรรดาผู้ที่เคร่งครัดจนเกินเหตุ มักจะไม่ได้ดูว่าบริบทของสังคมไม่เหมือนอย่างกับยุคก่อน ๆ ไม่ต้องถึงสมัยพุทธกาล เอาแค่สมัยกระผม/อาตมภาพก็แล้วกัน

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ พระขึ้นรถฟรีทุกคัน เข้าร้านอาหาร ญาติโยมถวายฟรี เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเข้าโรงพยาบาลแล้วรักษาฟรีหรือไม่ ? แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลสงฆ์ก็รักษาฟรี สมัยนี้ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีคนถวายเหมือนก่อน พอมีอยู่บ้าง แต่หายากมาก แล้วกระผม/อาตมภาพก็ค่อนข้างเกรงใจ เนื่องเพราะว่าบางทีไปกัน ๕ รูป ตั้งใจว่าจะจ่ายเงินทองเอง ก็สั่งข้าวปลาอาหารมาเสียเต็มที่ พอถึงเวลาฉันเสร็จ ขอให้คิดเงิน โยมบอกว่า "ถวายครับ งวดหน้านิมนต์อีกนะครับ" เชื่อไหมว่ากระผม/อาตมภาพไม่เหยียบเข้าไปอีกเลย ?! เพราะรู้สึกว่าเราไปรบกวนญาติโยมโดยใช่เหตุ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2024 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-07-2024, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่กระทบกระเทือนต่อแก่นของพระพุทธศาสนาจนก่อให้เกิดความเสียหาย ถ้าเราสามารถยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทสังคมได้ก็ให้ทำไป แต่ไม่ใช่ปรับเสียจนกระทั่งหลักธรรมสูญหาย แล้วไปคิดว่าใช่

อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยสนทนากับนักบวชญี่ปุ่น ถามว่า "ทำไมในนิกายชินโต พระญี่ปุ่นถึงมีครอบครัวได้ ?" เขาบอกว่าเกิดจากบริบทของสังคมยุคนั้น ที่บรรดา "ไดเมียว" ต่าง ๆ รบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อชิงอำนาจ พระไม่สามารถที่จะเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ เพราะว่าต่อให้ฝ่ายนี้ไม่ทำอะไร ไปถึงอีกฝ่ายเขาก็คิดว่าเป็นสายลับ ก็โดนจับกุมคุมขังบ้าง โดนเข่นฆ่าไปบ้าง จนกระทั่งไม่สามารถที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เกรงว่าพระธรรมคำสอนจะสูญหายไป จึงใช้วิธีมีครอบครัว อย่างน้อยก็สอนลูกสอนเมียของตัวเองได้ ถ้าหากว่าพ่อตัวแม่ตัว พ่อตาแม่ยายฟังด้วยก็สอนเพิ่มได้อีก แต่คราวนี้เมื่อพ้นจากยุคที่เขารบราฆ่าฟันกันแล้ว ไม่มีการปรับเปลี่ยนคืนมาเหมือนเดิม จึงทำให้สูญเสียแก่นของพระพุทธศาสนาไป

พระพุทธศาสนาของเราไม่มีใครทำลายได้นอกจากพุทธบริษัททั้ง ๔ ดังนั้น..บรรดาผู้ที่สอนเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะบรรดานักบวช ยิ่งประเภทตั้งชื่อให้โก้หรูดูดี ก็ต้องยิ่งระแวงเอาไว้ก่อนว่าน่าจะดีแค่เปลือก ถ้าขนาดนามสกุลยังไปเปลี่ยนว่า "ณ สัพพัญญู" กระผม/อาตมภาพก็หมดอารมณ์ที่จะเล่นด้วยแล้ว..!

แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายก็มักจะเป็นบุคคลที่ "ถือมงคลตื่นข่าว" ขาดความมั่นคงในหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ของตน มักจะเป็นบุคคลที่ "มักง่าย" ก็คืออะไรที่คิดว่าง่ายก็วิ่งไปหาสิ่งนั้น ไม่ยอมลำบากพากเพียรด้วยตนเอง จึงทำให้เกิดลัทธิประหลาด ๆ ต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย

แม้กระทั่งบุคคลที่ออกอาการเหมือนกับร่างทรงหรือผู้ป่วยจิตเภท ก็ยังอุตส่าห์มีที่ยืนในสังคมอย่างสง่างาม ทำให้บุคคลจำนวนหนึ่งต้องไขว้เขวไป แต่ก็โทษใครไม่ได้ เพราะว่าเขาเหล่านั้นทำตัวเอง นอกจากไม่มีความเพียรพยายามทำด้วยตนเองแล้ว ยังมักง่ายคิดว่ามีทางลัดอีกด้วย

ถ้าในเรื่องของการปฏิบัติธรรม กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า
มรรค ๘ เป็นทางตรงที่สุดแล้ว ไม่มีทางใดลัดไปมากกว่านี้ ปัจจุบันมีครูบาท่านโน้นท่านนี้บอกวิธีปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุเร็ว กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า "ถ้ามีพระพุทธเจ้าสอนเราไปนานแล้ว" แต่ว่าถ้าคิดว่าตนเองมีเวลาว่างมากพอ จะลองไปปฏิบัติดูก็ได้ เผื่อว่าถ้าไม่ดีจริง จะได้ด่าได้เต็มปากเต็มคำเสียหน่อย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับทุกคนแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2024 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:51



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว