#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพไปงานปฐมนิเทศและไหว้ครูประจำปี ๒๕๖๗ ของนิสิตทุกชั้นปี วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์มา
ในเรื่องของการไหว้ครูนั้น จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องเพราะว่าครูแทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตของเรา พ่อแม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา แต่ว่าครูบาอาจารย์ให้วิชาความรู้ เพื่อที่เราจะได้นำไปทำมาหากิน หรือว่ารักษาตัว รักษาครอบครัว รักษาประเทศชาติ โดยเฉพาะการเป็นศิษย์มีครู เหมือนกับมีเครื่องประกันความเสี่ยงว่า ต่อให้เราเผชิญหน้ากับสถานการณ์หนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังมีครูเป็นที่พึ่งอยู่ ถ้าหากว่าจะกล่าวถึงในเรื่องของการฝึกฝนวิชาการต่าง ๆ ความมุ่งมั่น ความมั่นใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่างที่ในขุนช้างขุนแผน ถึงเวลาจะรบราฆ่าฟันกัน ก็ยังมีการถามว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ใครเป็นครูบาอาจารย์ ? หรือว่าในพระคาถาโองการมหาทมื่นก็ยังกล่าวเอาไว้ว่า "กูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้กูก็มิได้" นั่นก็คือความมั่นใจ ดังนั้น..การที่จะเป็น "ศิษย์มีครู" ก็ต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว เราไปแสดงตนว่าเป็นศิษย์ ครูท่านรับรู้ มีความรู้ก็ถ่ายทอดความรู้ให้ มีทรัพย์สินสิ่งของหรือว่าข้าวของเครื่องใช้สำคัญอะไร ถ้าเห็นว่าเราเป็นผู้สมควรที่จะได้รับ หรือว่ารักษาสิ่งของนั้นได้ ท่านก็จะมอบให้กับเรา ในสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วจิตวิญญาณความเป็นครูมีน้อย สมัยก่อนการเป็นครูคือเป็นทั้งชีวิต สมัยนี้การเป็นครู ลูกศิษย์นึกถึงแค่ตอนเรียน เรียนจบแล้วบางทียังจดจำชื่อนามสกุลครูไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป ตัวอย่างบางคนเป็นเด็กกิจกรรม อยู่กับงานกิจกรรมมากกว่าวิชาที่เรียน ข้อสอบที่ครูออกมาประชดตอนที่ไปขอสอบซ่อมก็คือ "ครูผู้สอนวิชานี้มีชื่อว่าอะไร ?" แล้วดันตอบไม่ได้อีกต่างหาก..! ในเรื่องของความเป็นครู สมัยก่อนเขาใช้คำว่า "แม่พิมพ์" แม่พิมพ์ก็คือต้นแบบที่ลูกศิษย์ต้องถอดแบบไปให้ได้ ต่อให้ไม่ได้ทั้งหมด ก็ต้องได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ดังนั้น..ครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายก็คือ "แม่พิมพ์" ไม่มี "พ่อพิมพ์" "พ่อพิมพ์" นั้นเป็นการใช้คำที่ผิด สมัยนี้มีการใช้ผิด ๆ จนคนเข้าใจว่าเป็นของถูกมากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งหลักธรรมในพระพุทธศาสนาก็ยังไป "ตีความ" ผิด ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2024 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บาลีกล่าวไว้ว่า เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง บริสุทธิ์บริบูรณ์ สูงส่งที่สุดแล้ว ตัดออกก็ขาด เติมเข้าก็เกิน
คำว่า เกวะละ ที่คนไทยเขามาเขียนเป็น "ไกวัล" หมายถึงความบริสุทธิ์สูงสุดประการหนึ่ง ซึ่งใช้แทนคำว่าพระนิพพานได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลักธรรมในพระพุทธศาสนาจึงไม่ต้องตีความ ตีความเมื่อไรอาจจะผิดเมื่อนั้น มีหน้าที่ศึกษาและทำตามเท่านั้น ยุคนี้สมัยนี้เป็นอะไรที่พุทธบริษัททั้งหลายลำบากมาก เพราะว่าเป็นยุคของ "ฆราวาสสอนธรรม" ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าฆราวาสที่เก่งจริงเข้าถึงจริงตายหมดแล้ว..! เนื่องเพราะว่าสังขารความเป็นฆราวาส รองรับความบริสุทธิ์สูงสุดไม่ได้ ความบริสุทธิ์สูงสุดอย่างเช่นพระอรหันต์ มีคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ ใครให้ความเคารพให้ความนับถือ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็มีคุณอนันต์ ใครที่ล่วงเกินก็มีโทษมหันต์ เปรียบเหมือนกับไฟ เราจะให้หุงต้ม ใช้ให้ความอบอุ่น ใช้ป้องกันสัตว์ร้ายต่าง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเผลอไปจับเข้าเมื่อไรก็ไหม้ พอง เดือดร้อน ไฟไม่ได้ทำอะไรเลย ไฟอยู่ของไฟเฉย ๆ..! ดังนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่ไปตีความสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน บางท่านก็ตั้งใจเคร่งครัดเสียจนไม่ดูสภาพของสังคมปัจจุบัน อย่างที่ปีก่อนโน้น กระผม/อาตมภาพพาหลายท่านบิณฑบาตอยู่ แล้วก็มีคณะบุคคลมาชูป้าย "เย้ว ๆ" อยู่ว่า "อย่าถวายปัจจัยให้กับพระ คุณกำลังสร้างกรรมหนัก สร้างนรกให้ตัวเอง..!" คราวนี้เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่ได้มาช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไม่ได้มาช่วยจ่ายค่าเดินทางให้กับพระ บรรดาผู้ที่เคร่งครัดจนเกินเหตุ มักจะไม่ได้ดูว่าบริบทของสังคมไม่เหมือนอย่างกับยุคก่อน ๆ ไม่ต้องถึงสมัยพุทธกาล เอาแค่สมัยกระผม/อาตมภาพก็แล้วกัน สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ พระขึ้นรถฟรีทุกคัน เข้าร้านอาหาร ญาติโยมถวายฟรี เพียงแต่ว่าตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเข้าโรงพยาบาลแล้วรักษาฟรีหรือไม่ ? แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลสงฆ์ก็รักษาฟรี สมัยนี้ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีคนถวายเหมือนก่อน พอมีอยู่บ้าง แต่หายากมาก แล้วกระผม/อาตมภาพก็ค่อนข้างเกรงใจ เนื่องเพราะว่าบางทีไปกัน ๕ รูป ตั้งใจว่าจะจ่ายเงินทองเอง ก็สั่งข้าวปลาอาหารมาเสียเต็มที่ พอถึงเวลาฉันเสร็จ ขอให้คิดเงิน โยมบอกว่า "ถวายครับ งวดหน้านิมนต์อีกนะครับ" เชื่อไหมว่ากระผม/อาตมภาพไม่เหยียบเข้าไปอีกเลย ?! เพราะรู้สึกว่าเราไปรบกวนญาติโยมโดยใช่เหตุ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2024 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่กระทบกระเทือนต่อแก่นของพระพุทธศาสนาจนก่อให้เกิดความเสียหาย ถ้าเราสามารถยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบริบทสังคมได้ก็ให้ทำไป แต่ไม่ใช่ปรับเสียจนกระทั่งหลักธรรมสูญหาย แล้วไปคิดว่าใช่
อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยสนทนากับนักบวชญี่ปุ่น ถามว่า "ทำไมในนิกายชินโต พระญี่ปุ่นถึงมีครอบครัวได้ ?" เขาบอกว่าเกิดจากบริบทของสังคมยุคนั้น ที่บรรดา "ไดเมียว" ต่าง ๆ รบราฆ่าฟันกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อชิงอำนาจ พระไม่สามารถที่จะเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ เพราะว่าต่อให้ฝ่ายนี้ไม่ทำอะไร ไปถึงอีกฝ่ายเขาก็คิดว่าเป็นสายลับ ก็โดนจับกุมคุมขังบ้าง โดนเข่นฆ่าไปบ้าง จนกระทั่งไม่สามารถที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เกรงว่าพระธรรมคำสอนจะสูญหายไป จึงใช้วิธีมีครอบครัว อย่างน้อยก็สอนลูกสอนเมียของตัวเองได้ ถ้าหากว่าพ่อตัวแม่ตัว พ่อตาแม่ยายฟังด้วยก็สอนเพิ่มได้อีก แต่คราวนี้เมื่อพ้นจากยุคที่เขารบราฆ่าฟันกันแล้ว ไม่มีการปรับเปลี่ยนคืนมาเหมือนเดิม จึงทำให้สูญเสียแก่นของพระพุทธศาสนาไป พระพุทธศาสนาของเราไม่มีใครทำลายได้นอกจากพุทธบริษัททั้ง ๔ ดังนั้น..บรรดาผู้ที่สอนเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎกในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะบรรดานักบวช ยิ่งประเภทตั้งชื่อให้โก้หรูดูดี ก็ต้องยิ่งระแวงเอาไว้ก่อนว่าน่าจะดีแค่เปลือก ถ้าขนาดนามสกุลยังไปเปลี่ยนว่า "ณ สัพพัญญู" กระผม/อาตมภาพก็หมดอารมณ์ที่จะเล่นด้วยแล้ว..! แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายก็มักจะเป็นบุคคลที่ "ถือมงคลตื่นข่าว" ขาดความมั่นคงในหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ของตน มักจะเป็นบุคคลที่ "มักง่าย" ก็คืออะไรที่คิดว่าง่ายก็วิ่งไปหาสิ่งนั้น ไม่ยอมลำบากพากเพียรด้วยตนเอง จึงทำให้เกิดลัทธิประหลาด ๆ ต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย แม้กระทั่งบุคคลที่ออกอาการเหมือนกับร่างทรงหรือผู้ป่วยจิตเภท ก็ยังอุตส่าห์มีที่ยืนในสังคมอย่างสง่างาม ทำให้บุคคลจำนวนหนึ่งต้องไขว้เขวไป แต่ก็โทษใครไม่ได้ เพราะว่าเขาเหล่านั้นทำตัวเอง นอกจากไม่มีความเพียรพยายามทำด้วยตนเองแล้ว ยังมักง่ายคิดว่ามีทางลัดอีกด้วย ถ้าในเรื่องของการปฏิบัติธรรม กระผม/อาตมภาพยืนยันว่ามรรค ๘ เป็นทางตรงที่สุดแล้ว ไม่มีทางใดลัดไปมากกว่านี้ ปัจจุบันมีครูบาท่านโน้นท่านนี้บอกวิธีปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุเร็ว กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่า "ถ้ามีพระพุทธเจ้าสอนเราไปนานแล้ว" แต่ว่าถ้าคิดว่าตนเองมีเวลาว่างมากพอ จะลองไปปฏิบัติดูก็ได้ เผื่อว่าถ้าไม่ดีจริง จะได้ด่าได้เต็มปากเต็มคำเสียหน่อย..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับทุกคนแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2024 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|