กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-07-2024, 19:59
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 07-07-2024, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่งของกระผม/อาตมภาพ เพราะว่าต้องไปร่วมพิธีเสกน้ำศักดิ์สิทธิ์ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ๗๒ พรรษา

เมื่อไปถึงปรากฏว่าเกือบจะเป็นพระเกจิอาจารย์รูปสุดท้ายในจำนวน ๙ รูปที่ได้รับนิมนต์มา เนื่องเพราะว่าท่านอื่น ๆ มากันหมดแล้ว ผู้ที่มาปิดท้ายก็คือ หลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า

เจ้าหน้าที่ได้มาตรวจสอบรายชื่อ ตลอดจนกระทั่งการจัดชุดเข้าปลุกเสก โดยที่เริ่มจากพระเถระทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ก่อน แล้วหลังจากนั้นจึงแบ่งปลุกเสกออกเป็น ๒ ชุด โดยมีหลวงปู่แอ่ม (พระครูนิโครธโยคาภิรักษ์) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดน้ำตก ลูกศิษย์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นประธานยืนหลักอยู่ทั้ง ๒ ชุด พูดง่าย ๆ ก็คือหลวงปู่แอ่มห้ามลุกไปไหน..! แต่พวกกระผม/อาตมภาพนั้น ชุดที่ ๑ เสร็จแล้วสามารถที่จะลุกออกไปได้ แล้วให้ชุดที่ ๒ เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป

การแบ่งชุดนั้นปรากฏว่าชุดที่ ๑ นอกจากหลวงปู่แอ่มที่เป็นหลักแล้ว ก็มีหลวงพ่อ ดร.สมบัติ (พระครูวิบูลกาญจโนภาส, ดร.) เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา รองเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร

หลวงพ่อเสริฐ (พระครูสิทธิกิจจานุวัตร) รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ เจ้าอาวาสวัดทุ่งลาดหญ้า

หลวงพ่อเล็ก (พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.) รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ (๒) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

หลวงพ่อเต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม) เจ้าคณะจังหวัดทวาย ประเทศพม่า เจ้าอาวาสวัดพุน้ำร้อน ต้องบอกว่าท่านเป็นพระสังฆาธิการระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพราะว่าวัดอยู่ในประเทศไทย เป็นเจ้าอาวาสวัดไทย แต่ไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดให้กับพม่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-07-2024, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนชุดที่ ๒ นั้นประกอบไปด้วยหลวงปู่ตั้ง (พระครูกาญจนประภัสสร) ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลศรีมงคล เจ้าอาวาสวัดถ้ำมะเดื่อ

หลวงพ่อสนองชาติ (พระครูสุภัทรกาญจนกิจ) ที่ปรึกษาเจ้าคณะตำบลลาดหญ้า เจ้าอาวาสวัดเย็นสนิทธรรมาราม

หลวงพ่อพระมหาสุชาติ (พระมหาสุชาติ สิริปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะอำเภอสังขละบุรี

และหลวงพ่อต๋อง (พระครูสุทธิสารโสภิต) รองเจ้าคณะอำเภอไทรโยค (๑) เจ้าอาวาสวัดพุตะเคียน

เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งการจัดชุดให้เรียบร้อย และรอจนกระทั่งพระเถระทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์เรียบร้อยแล้ว ก็นำชุดแรก ๕ รูป ซึ่งประกอบไปด้วยหลวงปู่แอ่ม หลวงพ่อดร.สมบัติ หลวงพ่อเสริฐ กระผม/อาตมภาพและหลวงพ่อเต้ เข้าสู่มณฑลพิธีพระอุโบสถวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) ซึ่งมีร้อยโททศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นประธาน โดยมีพระมหานาคจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นผู้สวดมหานาคทั้ง ๒ รอบ


กระผม/อาตมภาพเมื่อนั่งลงก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์สายกาญจนบุรีทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นที่สุด

ขอท่านทั้งหลายได้โปรดเมตตาอนุเคราะห์สงเคราะห์ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง ปราศจากสรรพโรคาพาธ ปลอดจากอุปัทวันตรายใด ๆ ทั้งปวง สามารถปฏิบัติพระราชภารกิจต่าง ๆ เพื่อความอยู่สุขของพสกนิกรชาวไทยไปชั่วกาลนาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 07-07-2024, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อตั้งใจอธิษฐานจิตเสร็จเรียบร้อยก็ต้องตกใจ เพราะว่ากระแสที่คลุมลงมานั้นหนาแน่นและแรงมาก..! เป็นกระแสแก้วใส มีลวดลายทองปนอยู่ จนกระทั่งทำให้นึกถึงภาษาโบราณที่กล่าวว่า "แก้วแกมกาญจน์" นั่นเอง เพียงแต่ว่าไม่สามารถจะอธิบายได้ถูกว่าสวยงามขนาดไหน

แล้วกระผม/อาตมภาพก็กลายเป็นที่ประทับของหลวงปู่สมเด็จองค์ปฐม ซึ่งท่านแผ่เมตตาคลุมลงมาในบริเวณพิธี เสียดายที่ว่าไม่มีใครถ่ายรูปช่วงนี้เอาไว้เลย นอกจากโทรทัศน์ที่ตั้งถ่ายทำนิ่ง ๆ เฉย ๆ อยู่ ไม่เช่นนั้น
กระผม/อาตมภาพก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า จะมีอะไรที่เป็นพิเศษให้เห็นหรือไม่ ?

แต่ว่าตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าพิธีแล้ว ทางลูกศิษย์ก็ได้แจ้งมาว่าพระอาทิตย์ทรงกลด ซึ่งหลวงปู่ฤๅษีฯ วัดท่าซุงของทุกท่าน หรือว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ของกระผม/อาตมภาพนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นเรื่องของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การจัดงานสำคัญใด ๆ ก็มักจะมีสัญลักษณ์ คือพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นปกติ

กระผม/อาตมภาพตั้งใจที่จะฟังพระมหานาคสวด แต่เนื่องจากว่าเข้าสมาธิลึกเกินไปจึงได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เริ่มจากการนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ก็คือนะโมฯ ๓ จบ แล้วตามด้วย พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง ฯลฯ ทุติยัมปิฯ ตะติยัมปิฯ ต่อด้วยศีล ๑๐ ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณะ ๑๐
อาการ ๓๒ จันทิมะปาฐะ สุริยะปาฐะ ธชัคคสูตร ตลอดจนกระทั่งสามภาณ ซึ่งกล่าวถึงอาการป่วยไข้ของพระมหากัสสปะ พระมหาโมคคัลลานะและพระมหาจุนทะ

ตรงจุดนี้ต้องสังเกตว่าทั้ง ๓ รูปที่ป่วยไข้แล้วได้ฟังโพชฌงค์ ๗ จนกระทั่งหายดีนั้น ขึ้นต้นด้วยคำว่า "มหา" ทั้งหมด เพียงแต่เราจะไม่เคยชินกับพระจุนทะเถระว่ามีคำว่า "มหา" นำหน้า ก็แปลว่าพระมหาจุนทะเถระของเรานั้นต้องมีอาวุโสมากกว่า แล้วมีพระเถระนามว่าจุนทะบวชเข้ามาอีก เมื่อชื่อซ้ำกันจึงต้องแยกกันว่ารูปไหนเป็นพระมหาจุนทะ รูปไหนเป็นพระจุลจุนทะ เป็นต้น

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ก็คือ คุณโกวิท เพชรงาม หัวหน้ากลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน มาสะกิดบอกว่าเสร็จพิธีแล้ว ให้เปลี่ยนเป็นชุดที่ ๒ จึงได้ส่งกล้องให้ท่านช่วยถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะเดินออกมาทางด้านนอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 07-07-2024, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บอกกล่าวกับบรรดาพระเถรานุเถระที่อยู่ด้านนอกว่า กระผม/อาตมภาพจะต้องขอตัวออกมาก่อน เพราะว่าถ้าช้ารถจะติดสาหัส เนื่องจากบรรดาส่วนราชการต่าง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ต่ำสุดก็คือหัวหน้าส่วนราชการที่ต้องมาทั้งหมด ก็แปลว่ามาคนหนึ่งก็รถยนต์คันหนึ่ง แล้วหลายต่อหลายท่านก็มีรถนำมาอีกต่างหาก ทำให้รถแน่นไปหมดทั้งวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง)

ส่วนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพเคยสงสัยก็คือว่า การที่หลวงปู่พระมหากัสสปเถระก็ดี พระมหาโมคคัลลานะเถระก็ดี พระมหาจุนทะเถระก็ดี ฟังโพชฌังคปริตรแล้ว ทำไมถึงได้หายจากอาการป่วย ? นั่นก็เพราะว่าท่านทั้ง ๓ ได้เข้าถึงอาการสองอย่างพร้อมกัน อย่างแรกก็คือเมื่อตั้งใจฟัง จิตทรงสมาธิ เมื่อจิตเป็นฌาน สภาพจิตกับกายก็แยกออกเป็นคนละส่วน ไม่ได้เกี่ยวเนื่องถึงกัน อาการป่วยมากก็เหมือนกับป่วยน้อย อาการป่วยน้อยก็เหมือนกับหายไปเลย

อีกส่วนหนึ่งก็คือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงเปลือกที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น ดังนั้น..สภาพของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นกินที่ร่างกาย ไม่ได้กินที่จิตใจ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สภาพจิตกับกายที่แยกออกจากกันชัดเจน ก็ทำให้เห็นว่าสภาพของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกับไม้กาฝากที่อาศัยเกาะเปลือกไม้เอาไว้ เพื่ออาศัยกินน้ำเลี้ยงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนร่างกายของเราคือต้นไม้หลัก ไม่ว่าจะเป็นกระพี้ จะเป็นแก่นนั้น ไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรเลย เมื่อสามารถแยกจิตแยกกายออกได้อย่างชัดเจนแบบนี้ อาการป่วยก็เหมือนกับหายไป โดยไม่มีอะไรมากระทบกระเทือนอีกเลย

อีกส่วนหนึ่งก็คือความที่สภาพจิตดำเนินไปในความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ด้วยอานุภาพของพระรัตนตรัยที่ยึดเกาะไว้แทนที่จะสนใจเวทนาทางร่างกาย จึงทำให้อาการป่วยได้หายไปในลักษณะที่เรียกกันว่า "ธรรมโอสถ"

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าท่านผู้ที่ฟังอยู่สามารถกระทำได้ ก็สามารถใช้ธรรมโอสถนี้รักษาอาการป่วยไข้ต่าง ๆ ได้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า บรรดาผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินั้น ก็มักจะต้องยอมรับกฎของกรรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 07-07-2024, 23:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อสภาพจิตของท่านยอมรับกฎของกรรม ก็คืออยากจะป่วยก็เชิญป่วยไปเถิด เพราะว่าเราเคยสร้างกรรมตรงส่วนนี้เอาไว้ เมื่อท่านอยากจะป่วยก็ป่วยไป เราก็รักษาไปตามอาการ ถ้าหากว่าหายก็หาย ถ้าไม่หายจะตายก็ช่างเถิด..!

ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนี้ บรรดาครูบาอาจารย์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่าเกรงใจลูกศิษย์ ก็ไปหาหมอหายารักษากันตามสภาพ ถ้าหากว่าท่านใดไม่เกรงใจลูกศิษย์ ก็ปล่อยให้อาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นไปตามแรงกรรมที่ท่านได้ทำมา โดยถือว่าชดใช้ให้กับเขาไป

กระผม/อาตมภาพเจอครูบาอาจารย์หลายรายที่สั่งเอาไว้ว่า ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วต้องเจาะคอ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องมีสายเลือดสายน้ำเกลือพะรุงพะรัง ก็อย่าได้นำท่านไปเลย ท่านอยากที่จะตายแบบงดงามตามประสาของพระปฏิบัติมากกว่า ก็คือเผชิญกับมรณภัยโดยไม่มีความหวั่นไหวอย่างแท้จริง ถ้าเป็นไปในลักษณะนั้น ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ต้องทำใจว่าเป็นความต้องการของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ว่าท่านทั้งหลายขาดความกตัญญู ไม่ดูแลอะไรเลย

หากแต่ว่าครูบาอาจารย์นั้นท่านแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สังขารนี้เป็นรังของโรค ต้องมีอาการเจ็บป่วย และท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เป็นการแสดงธรรมด้วยชีวิตของท่านเองเป็นรอบสุดท้าย หรืออาจจะรอบใกล้สุดท้ายให้ทุกคนได้รู้ได้เห็นอย่างชัดเจน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่านว่าสามารถที่จะเก็บเอาไปใช้งานได้มากน้อยเท่าไร

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-07-2024 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:58



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว