กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-06-2024, 19:55
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 21-06-2024, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ขอเจริญพรขอบคุณแม่ชีชื่น ศรีสองแคว หัวหน้าแม่ชีวัดท่าขนุน ที่ตั้งใจจะจัดงานทำบุญวันเกิดให้กระผม/อาตมภาพในวันพรุ่งนี้ แต่ขออภัย..เจ้าของวันเกิดยังไม่ใส่ใจเลย..!

ในเรื่องของวันเกิด กระผม/อาตมภาพถือตามแบบโบราณ ก็คือจัดตอนอายุ ๖๐ ปี คราวนี้จะจัดครั้งต่อไปก็ต้องพยายามตะเกียกตะกายให้อยู่ถึง ๗๒ ปี ถ้ายังจะตะกายอยู่ไปถึง ๘๔ ปี ก็ต้อง "ตะบันน้ำกิน" กันแล้ว..!

ในเรื่องของวันเกิดนั้นตอนที่สมัยยังเป็นฆราวาส เป็นวันที่กระผม/อาตมภาพจะพาแม่ไปกินข้าว ไปทำบุญ เพราะวันเกิดของเรานั้น เป็นวันที่แม่ลำบากที่สุด พูดง่าย ๆ ว่าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ลูกเกิดมา ยิ่งในสมัยนั้นการแพทย์ไม่ดีอยู่ด้วย ยาแก้อักเสบสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่มีชนิดเดียว เรียกว่า "โปรเคน" ไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า ? แล้วก็ไม่ใช่หาง่าย ๆ หายากมาก

ในเมื่อหมอก็ยังไม่ดี ยาก็ยังไม่ดี แถม "สุขศาลา" ที่สมัยนี้น่าจะประมาณโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ก็ยังหายากหนักเข้าไปอีก โรงพยาบาลประจำจังหวัดอยู่ห่างไปประมาณ ๓๖ กิโลเมตร ต้องนั่งรถไปเป็นวันกว่าจะไปถึง..! พวกท่านทั้งหลายคงนึกภาพไม่ออกว่า ระยะทาง ๓๖ กิโลเมตร นั่งรถอย่างไรเป็นวัน ๆ..!

ขอบอกว่านั่นหมายถึงสภาพรถดี ๆ วิ่งไปแล้วไม่มีอะไรชำรุดสึกหรอให้ต้องซ่อมกลางทาง ถ้าสภาพรถไม่ดีอาจจะต้องนอนค้างไปอีกคืนหนึ่งหรือสองคืน เนื่องเพราะว่าถนนเป็นแค่ลูกรัง สมัยก่อนเขาใช้วิธีขุดดินสองข้างทางขึ้นมาพูนจนเป็นคันยาว ๆ พอที่ให้รถวิ่งได้ แล้วก็ทับหน้าด้วยดินภูเขาที่เรียกว่า "ดินลูกรัง"

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะถนนเส้นไหนก็ตาม สองข้างถนนจะต้องต่ำกว่าคันถนนประมาณ ๓-๔ เมตร พลาดตกลงไปถึงกับคอหักตายได้เลย..! แล้วรถยนต์ก็ยังเป็นรถโครงไม้ หัวโต ๆ ถึงเวลาก็ใช้เครื่องมือไปหมุนปั่นบริเวณหัวรถเพื่อที่จะสตาร์ทให้ติด บางทีปั่นจนเหงื่อไหลไคลย้อยก็ไม่ยอมติดสักที พูดง่าย ๆ ว่าวิ่งไปนี่ ถ้าเราใจร้อนเดินเองก็อาจจะถึงก่อนอีกด้วย..!

เนื่องเพราะว่าชาวบ้านที่เดินทางทุกคนก็พร้อมใจกันที่จะไป แล้วรถก็ใจดีเหลือเกิน ถึงเวลาจอดรถดับเครื่อง ลงไปช่วยคุณลุงคุณป้า คุณตาคุณยายขนของขึ้นรถ ไม่ว่าจะเป็นผลหมากรากไม้กล้วยอ้อยอะไรที่จะเอาไปขาย จัดขึ้นบนหลังคา มัดเสร็จสรรพเรียบร้อย ลงมาดูว่าคนขึ้นเรียบร้อยแล้วถึงไปสตาร์ทแล้วออกรถอีกที ก็แปลว่าแทบจะต้องจอดทุก ๆ ครึ่งกิโลเมตร..!

ฉะนั้น..ระยะทางแค่ ๓๖ กิโลเมตร สามารถวิ่งไปถึงได้ภายใน ๑ วัน ถือว่าเร็วมากแล้ว สมัยนี้ ๓๖ กิโลเมตรน่าจะสัก ๑๐ นาที กระผม/อาตมภาพไปประเทศพม่า เช่ารถจากย่างกุ้งไปไจ๊โท พอจากช่วงเมืองพะยาจีไปเมืองวอเพื่อจะไปไจ๊โท คนขับรถทำความเร็วได้ ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุยโขมงโฉงเฉงบอกว่า "นี่เป็นถนนที่ขับรถได้เร็วที่สุดในประเทศพม่า"

อดีตครูบาน้อย (พระนาวิน สจฺจญาโณ) บอกว่า "น้องชายอาจารย์ขับอย่างช้าก็ ๑๒๐" เล่นเอาคนขับรถทำท่าช็อก ไปขับที่ดาวอังคารหรืออย่างไรถึงเร็วขนาดนั้น ? โดยที่ครูบาน้อยก็ไม่ได้บอกว่าน้องชายอาจารย์ขับรถอยู่ที่ประเทศไทย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2024 เมื่อ 09:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 21-06-2024, 00:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พาท่านอาจารย์จันทร์ (พระวิลเลียม จนฺโทภาโส) วัดซายากง ข้ามมาเมืองไทยครั้งแรก ลงไปคลำพื้นถนนบริเวณด่านเจดีย์สามองค์ คลำแล้วคลำอีก บอกว่าเป็นถนนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องบอกกับท่านว่า นี่เป็นถนนสายห่วยที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรี..!

พอวิ่งผ่านพื้นที่น้ำเหนือเขื่อนวชิราลงกรณ ท่านก็ตื่นเต้นเป็นการใหญ่ มองจนกระทั่งเหลียวหลังคอเคล็ดไปเลย ถามว่าทำไมเมืองไทยมีน้ำมากมายขนาดนี้ ? บอกท่านไปว่า "นี่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อน เขากักน้ำเอาไว้ จึงดูแล้วมากหน่อย ถ้าหน้าแล้งจริง ๆ อาจจะไม่พอใช้งานก็ได้ แต่อย่างไรก็ดีกว่าบ้านคุณ น้ำล้างตูดขันละ ๑๐ จั๊ต..!" สมัยนั้นยังดี เงินพม่า ๖ จั๊ตแลกเงินไทยได้ ๑ บาท

เรื่องน้ำล้างตูดขันละ ๑๐ จั๊ตไม่ได้พูดเล่นนะ..เป็นเรื่องจริง เท่ากับเป็นค่าเข้าส้วมไปในตัว แต่ขอโทษ..ไม่พอราด เพราะฉะนั้น..ล้างก็คือล้าง ไม่มีเหลือให้ราด ส้วมพม่าก็เลยต้องกองทับกองถมอยู่นั่นแหละ จนกว่าคนดูแลเขาจะมาจัดการก็สูงเกือบเท่า ๆ ยอดดอยอินทนนท์แล้ว..!

ด้วยความที่สมัยก่อนยากลำบากไปหมด วันเกิดของเราก็เหมือนอย่างกับวันตายของแม่ กว่าจะคลอดลูกออกมาได้ กว่าจะ "อยู่ไฟ" ต้องทนลำบาก อยู่ไฟก็อยู่กันเป็นเดือน กินข้าวกับเกลือบ้าง กินข้าวกับปลาแห้งบ้าง กลัวว่าจะแสลง จะมีให้กินอร่อยอย่างเดียวก็คือแกงเลียง เพราะเขาเชื่อว่าทำให้มีน้ำนมให้ลูกกินเยอะ

แต่ด้วยความที่แพทย์แผนโบราณของเรานั้น ศึกษาเรื่องธาตุดินน้ำไฟลมในร่างกายของคนมา แม่ที่คลอดลูกใหม่ ๆ เสียเลือดมาก ก็คือเสียธาตุไฟไปมาก ก็เลยต้องอยู่ไฟ ถ้าเป็นศัพท์การแพทย์จีนเขาว่า กันไม่ให้ความเย็นแทรกซึม แต่สมัยนี้ไม่ได้อยู่ไฟกัน คนรุ่นใหม่ก็เลยไม่ค่อยแข็งแรง

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่าแม่ผมมีลูก ๑๓ คน ทำคลอดเองเกือบทั้งหมด..! แม่ไปคลอดกระผม/อาตมภาพที่กลางนา ตัดสายสะดือเสร็จก็เอาผ้าห่อ ใส่หาบกลับบ้าน ถ้าเป็นสมัยนี้เดินสามก้าวก็เป็นลมล้มตายอยู่ตรงนั้นแล้ว..ไม่ทันได้ไปไหน..!

ดังนั้น..ในเรื่องของความเป็นพ่อเป็นแม่จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายจะลืมไม่ได้ พ่อแม่เป็นแดนเกิด ต่อให้ท่านไม่รักเราหรือร้ายกาจกับเราขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีท่าน เราก็ไม่ได้เกิดมา

โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เป็นพระภิกษุสามเณร อยู่รอดได้มาจนได้บวชก็เพราะการดูแลของพ่อแม่ ที่บอกว่า "พ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจให้เราเกิดมา เป็นเพียงผลพวงของกามารมณ์เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบอกว่ามีบุญคุณก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเรียกพ่อเรียกแม่ก็ได้" ไอ้พวกนั้นมันไม่มีหัวเข่า ก็เลยไม่รู้จักคิด สงสัยตอนเกิดแม่จะให้มาไม่ครบ ๓๒..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2024 เมื่อ 10:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 21-06-2024, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อพ่อแม่เป็นแดนเกิด ถ้าไม่มีท่าน เราไม่มีโอกาสที่จะได้เกิด แล้วสมัยนี้ท่านทั้งหลายก็จะเห็น..เห็นอะไร ? สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็ก ๆ แม่หมามีลูกอย่างเก่งก็ครอกละ ๕ ตัว สมัยนี้บางคนส่งคลิปมา กระผม/อาตมภาพนั่งนับ ๑๐ กว่าตัว เกือบ ๒๐ ตัว..! ก็เพราะว่าคนเราทำหมันบ้าง คุมกำเนิดบ้าง ไอ้ที่จะได้เกิดไม่รู้จะไปเกิดที่ไหน ก็เลยไปเข้าท้องหมา "ชิงหมาเกิด" แทน จึง มากันทีหนึ่งมากมายมหาศาลไปหมด..!

แล้วก็ดันมีที่ "ชิงหมาเกิด" ได้สำเร็จ ก็เลยมาสร้างความวุ่นวายกับบ้านเมือง ให้เดือดร้อนทั้งทางราชการและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องคอยมาปราม ๆ เอาไว้ เมื่อวานเพิ่งจะมีคนส่งภาพมาให้ดู บอกว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมค้อนแพ้กระดาษ ? เพราะว่าด้านหนึ่งเป็นค้อนผู้พิพากษา อีกด้านหนึ่งเป็นธนบัตรใบละพันเป็นตั้งเลย ใครที่เล่น "เป่ายิ้งฉุบ" มาคงจะเข้าใจแล้วว่าทำไมค้อนถึงแพ้กระดาษ..!!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของวันเกิดกระผม/อาตมภาพจึงนึกถึงแม่ก่อน โดยเฉพาะพาแม่ไปทำบุญ เรื่องของคนแก่ ถ้าเป็นไปได้มีเวลาก็ชวนท่านคุยในเรื่องของบุญ เรื่องของกุศล เพื่อที่จะให้กำลังใจของท่านเกาะในด้านที่ดีเอาไว้ เท่ากับเป็นการฝึกกรรมฐานไปในตัว

เพียงแต่โยมแม่ของกระผม/อาตมภาพไม่ยอมอยู่ที่ไหนนาน ๆ กลัวลูกจะน้อยใจ จึงไปอยู่ทางบ้านโน้น ๒ เดือนบ้าง บ้านนี้เดือนหนึ่งบ้าง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป

มีอยู่ช่วงหนึ่งท่านมาอยู่ที่วัดท่าขนุนนี่แหละ แม่ก็มีความสุขตามสภาพของคนแก่ พอตอนบ่าย ๆ
กระผม/อาตมภาพก็พยายามหาเวลาว่างไปคุยเรื่องเก่า ๆ กับท่าน ทั้ง ๆ ที่รู้นั่นแหละ เพราะท่านเล่าให้ฟังมาเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว ก็เอาใหม่ว่า "เรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ?" แม่ก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าอย่างมีความสุข

พอไปได้ระยะหนึ่งก็ถามว่า "นี่แม่มาอยู่วัดได้เดือนหนึ่งหรือยัง ?" กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "แม่..แม่อยู่มา ๘ เดือนแล้ว พี่น้องเขาจะฆ่าพระทิ้งแล้ว..!" ด้วยความที่มีคนชวนคุยแล้วแม่มีความสุข แม่ก็ลืมไปว่าอยู่วัดนานเท่าไร อุตส่าห์ถามว่าอยู่ได้เดือนหนึ่งหรือยัง ? ทั้ง ๆ ที่ออกพรรษาไปตั้งชาติหนึ่งแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2024 เมื่อ 10:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 21-06-2024, 01:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น..หากใครยังมีพ่อมีแม่อยู่ ถือว่าท่านทั้งหลายเป็นคนโชคดี มีโอกาสก็พยายามตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง กระผม/อาตมภาพดูแลพ่ออยู่ ๖ ปี ทั้งกลางวันกลางคืนจนกระทั่งตายคามือไปเลย..! ดูแลแม่อีก ๓ ปีเต็ม ๆ จากที่ท่านโดนรถชนหนัก กระดูกด้านขวาตั้งแต่กรามลงไปหักทุกชิ้น จนกระทั่งเดินได้ตามปกติ

ถ้าหากพวกเรามีโอกาสได้ทำในลักษณะอย่างนั้น ก็ถือว่าอย่างน้อยเป็นกตเวทิตาบุคคล ก็คือได้ตอบแทนสิ่งที่พ่อแม่เลี้ยงเรามาจนทุกวันนี้ ท่านที่เป็นพระภิกษุสามเณรยิ่งต้องระมัดระวังให้ดี กระผม/อาตมภาพสมัยที่เรียนประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ต้องเข้ากรรมฐาน ๑๐ วัน โดยมีการเข้ากรรมฐานร่วมกันกับพระที่เรียนจากที่อื่น ๆ

มีอยู่รูปหนึ่งมาจากเพชรบุรี ไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนาม เพราะว่าอยู่ในช่วงปฏิบัติธรรม เขาห้ามพูดคุยกัน ก็ฉวยโอกาสถามท่านเนื่องเพราะเห็นว่าพอเริ่มจะทำวัตรเช้า ท่านก็จะล้วงเอาผ้าขาวผืนหนึ่งออกมาจากใต้อังสะ วางอยู่ตรงหน้า กราบงามสามที ทำวัตรเสร็จเข้ากรรมฐานก็เอาวางไว้บนตักตัวเอง เข้ากรรมฐานเสร็จเอาผ้าวางกราบสามที เก็บคืนที่เดิม

แอบถามท่านตอนฉันเช้าว่า "ขออภัยเถอะ..ผมเห็นหลวงพ่อเอาผ้าขาวมากราบมาไหว้ทุกวัน เป็นผ้าอะไรครับ ?" ท่านบอกว่า เป็นผ้าที่แม่ท่านพาดบ่าตอนรักษาศีลแปดเป็นประจำ ตอนนี้แม่ตายแล้วก็เลยเอาติดตัวไว้ เพื่อถึงเวลาแล้วสวดมนต์ไหว้พระอะไร ก็จะได้อุทิศส่วนกุศลให้กับแม่ทุกครั้ง

นั่นคือสิ่งที่ท่านทำเอาไว้ แล้วกระผม/อาตมภาพเห็นเป็นตัวอย่าง อีกท่านหนึ่งก็หลวงพ่อเอียด พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรสิทธาจารย์ เจ้าคณะภาค ๑๕ เจ้าอาวาสวัดคลองวาฬ (พระอารามหลวง) ท่านเอาแม่มาเลี้ยงไว้ที่วัดเหมือนกัน ตีสามตีสี่ก็ลุกขึ้นไปหุงข้าวหุงปลาให้แม่ พระอื่นขอร้องให้ท่านพักเพราะว่าอายุมากแล้ว เดี๋ยวจะช่วยทำให้ หลวงพ่อเอียดท่านบอกว่า "ไม่ได้..เพราะว่าพวกท่านไม่รู้ว่าแม่ผมชอบกินอะไร"

นั่นคือตัวอย่างดี ๆ ในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพเห็นมา พวกเราทั้งหลายก็ยึดเอาไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดีซึ่งพระเถระท่านทำเอาไว้ ถ้าเรามีโอกาสก็เรียนปฏิปทาของท่านได้ วันนี้ตั้งใจแค่จะขอบคุณแม่ชีชื่นที่จะจัดวันเกิดให้ ทำไมลากยาวมาถึงขนาดนี้ได้ก็ไม่รู้ ? ยิ่งกำลังเป็นหวัด พูดไม่ค่อยจะเป็นภาษามนุษย์อยู่ด้วย..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2024 เมื่อ 10:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:43



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว