กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-06-2024, 20:04
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-06-2024, 00:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ พวกเราก็ได้ทำบุญถวายหลวงปู่สายผู้เป็นบูรพาจารย์ของวัดท่าขนุนไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้พวกเราได้ทำต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ท่านมรณภาพ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ทำกันต่อไป

เพราะว่าสมัยที่กระผม/อาตมภาพดูแลหลวงปู่มหาอำพัน - ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน อาภรโณ บุญ-หลง) อยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส ท่านจัดให้มีการถวายสังฆทานให้หลวงปู่เจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ทุกวันศุกร์ ของเราทำเดือนละครั้ง แต่ของหลวงปู่ท่านทำอาทิตย์ละครั้ง จะมีคนร่วมงานมากมีคนร่วมงานน้อย ท่านไม่ได้ใส่ใจ ท่านถือว่าท่านทำถวายครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพรักมาก

พวกเราเองก็เช่นกัน ในเมื่อทำมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ๓๐ กว่าปีผ่านไป พอถึงเวลาแจ้งญาติโยมว่าพรุ่งนี้ของดบิณฑบาต ๑ วัน ส่วนใหญ่ก็จะถามว่า "วันที่ ๑๔ อีกแล้วหรือ ?" ก็เท่ากับว่าญาติโยมรู้ในสิ่งที่เราทำ เพียงแต่ว่าปลีกตัวมาร่วมกันได้น้อยหรือได้มากนั่นเป็นเรื่องของเขา เราก็ยังคงทำของเราไปตามปกติ

ระยะนี้ทุกวันศุกร์ กระผม/อาตมภาพต้องเข้าร่วมโครงการเพิ่มทักษะการสอนวิชาปรัชญาเบื้องต้นและวิชาศาสนาเปรียบเทียบ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเลขาฯ พัฒน์ (พระพัฒน์ ฐิตาจาโร) หรือมหาพัฒน์บอกว่า "ผู้บริหารระดับสูงอย่างหลวงพ่อ คงมีรูปเดียวที่เข้าร่วมโครงการนี้" ซึ่งถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะแบบนี้ ก็แปลว่าบุคคลอื่นน่าจะแบกความประมาทเอาไว้มาก..!

เนื่องเพราะว่า
วิชาโลกเรียนเท่าไรก็ไม่รู้จบ เราหยุดอยู่กับที่เท่ากับถอยหลัง จึงต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นก็ตามโลกไม่ทัน แต่คราวนี้การศึกษาหาความรู้ของกระผม/อาตมภาพนั้น วัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ก็คือเพื่อเอามาใช้ในการเผยแผ่ธรรมให้ทันยุคทันสมัยบ้าง ไม่ใช่เป็น "ไดโนเสาร์ เต่าพันปี" คุยอะไรมาเด็กรุ่นใหม่บอกว่าไม่รู้เรื่อง

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องมีการเข้าอบรมในลักษณะอย่างนี้เป็นระยะไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา นี่เป็นการอบรมครั้งที่ ๓ แล้ว ต้องทำต่อเนื่องกัน ๑๖ อาทิตย์ แล้วหลังจากนั้นค่อยไปเข้ากรรมฐาน ๓ วันเพื่อเป็นการปิดท้ายโครงการ แล้วถึงได้รับวุฒิบัตรผ่านการอบรม
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2024 เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-06-2024, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จะว่าไปแล้ว บุคคลที่เป็นอาจารย์ในสังกัดของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ควรที่จะกระตือรือร้นเข้ารับการอบรมทุกคน แต่ว่าเท่าที่สังเกตมา แม้กระทั่งทางวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ก็มีกระผม/อาตมภาพที่เข้าอยู่เป็นหลัก ท่านอื่นก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ในเมื่อทำคะแนนสะสมได้ไม่ถึง ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เขาก็ไม่ให้วุฒิบัตร อย่างน้อยกระผม/อาตมภาพก็ทำคะแนนได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เสียชื่อตัวเองที่เคยทำแบบนี้ได้มาตลอด

คราวนี้ในเรื่องของการศึกษานั้น ในส่วนของพระปริยัติธรรมก็คือการที่เราศึกษาแผนที่ เพื่อที่จะได้รู้คร่าว ๆ ว่าหนทางที่เราจะเดินไปนั้นเป็นอย่างไร ส่วนการที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางที่แท้จริงนั้นต้องลงมือเดิน ก็คือเอาสิ่งที่ศึกษานั้นมาปฏิบัติ แต่ก็มีบุคคลอยู่ส่วนหนึ่งที่ศึกษาแล้วติดตำรามากจนเกินไป จนทำให้กลายเป็นบุคคลเถรตรง เดินไปชนข้างฝาแล้วไปต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าเราเลี่ยงซ้ายนิดขวาหน่อยก็ไปต่อได้แล้ว

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าบุคคลของเรานั้นมีหลายจำพวก บุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญู ส่วนใหญ่แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดไปพระนิพพานจนจะหมดอยู่แล้ว

บุคคลที่เป็นวิปจิตัญญู เมื่ออธิบายขยายความแล้วเข้าใจ สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ก็เหลือน้อย

ในปัจจุบันนี้เหลือแค่เนยยะ ที่จะต้องปากเปียกปากแฉะกันเป็นปกติ

ส่วนบรรดาปทปรมะนั้น ต่อให้เราอธิบายขยายความจนตายกันไปข้างหนึ่ง เขาก็รับประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะว่าฉลาดเกินไป คิดว่าตัวเองเก่งอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ต่อให้เห็นคนอื่นมีสิ่งที่ดีกว่าก็ไม่เปลี่ยนแนวคิดของตน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2024 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-06-2024, 00:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เหมือนกับสญชัยเวลัฏฐบุตร เมื่ออุปติสสมาณพและโกลิตมาณพ ซึ่งภายหลังก็คือพระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานเถระ ไปชักชวนอาจารย์ให้ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่สามารถที่จะละตัวตนลงได้ ถือว่าตนเองเป็นอาจารย์ใหญ่ มีชื่อเสียงมากกว่า ทำไมต้องลดตัวลงไปหาพระสมณโคดมด้วย ?

ท่านจึงได้กล่าวกับอุปติสสมาณพและโกลิตมาณพว่า "ในโลกนี้บุคคลที่โง่มีมากกว่า หรือว่าบุคคลที่ฉลาดมีมากกว่า ?" อุปติสสมาณพและโกลิตมาณพตอบว่า "เป็นธรรมดาที่บุคคลผู้โง่เขลาย่อมมีมากกว่า" สญชัยเวลัฏฐบุตรจึงได้กล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นบุคคลที่ฉลาดอย่างท่านก็จงไปหาพระสมณโคดม บุคคลผู้โง่เขลาจะมาหาเราเอง"

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสงสาร เพราะว่าโดยศักยภาพของบรรดาคณาจารย์ใหญ่ยุคนั้น ถึงขนาดสามารถตั้งลัทธิของตนเองมาได้ มีลูกศิษย์เป็นหมื่นเป็นแสน ย่อมสามารถที่จะเข้าถึงธรรมได้ง่าย แต่ไม่ยอมละทิฏฐิของตน พูดง่าย ๆ ก็คือใหญ่จนเล็กไม่เป็น จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังเอาไว้

กระผม/อาตมภาพที่ออกจากวัดท่าซุงมา ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเหมือนกับมาเฟีย ก็คือพระยุคนั้นมีอยู่ ๔๐ กว่ารูป ถ้าหากว่าบอกซ้ายหันหรือขวาหัน กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่ามีที่หันตามมาอย่างน้อย ๓๐ รูป..! ในเมื่ออยู่ในลักษณะอย่างนั้นเราก็ไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะเท่ากับว่าไปยืนอยู่ในจุดที่สูงแล้ว

วิธีเดียวที่จะไปต่อได้ก็คือต้องลงจากจุดนั้นมา เพื่อที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ดังนั้น..หลายท่านที่ถามว่าทำไมกระผม/อาตมภาพออกจากวัดท่าซุงมา ? ก็ออกมาเพื่อให้ตนเองไปต่อได้ ไม่อย่างนั้นถ้ายินดีและพอใจอยู่แค่นั้น เราจะหาความก้าวหน้าไม่ได้เลย

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ที่พระเราต้องออกธุดงค์ ก็เพื่อให้ความแปลกใหม่ของสถานที่นั้น กระตุ้นให้จิตใจของตนตื่นรู้ หรือว่ามีสติระมัดระวัง ถึงจะเป็นการระมัดระวังเพราะกลัวก็ตาม แต่ก็เป็นเครื่องขัดเกลาให้สภาพจิตของเราตื่นอยู่เสมอ

แบบเดียวกับที่หลายคนพอไปนอนที่อื่นแล้วก็นอนไม่หลับ แล้วใช้คำว่า "ผิดที่ทำให้นอนไม่หลับ" ความจริงนั่นก็คือสภาพจิตของเราที่เกรงอยู่ลึก ๆ ว่าที่นั่นไม่เป็นที่คุ้นเคยของเรา ไม่สามารถที่จะปล่อยวางกำลังใจลงได้อย่างแท้จริง ต้องคอยระมัดระวังเอาไว้ว่า จะมีอันตรายหรือเปล่า ? ก็เลยทำให้นอนไม่หลับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2024 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-06-2024, 00:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางสิ่งบางอย่างเราก็ต้องอาศัยสถานที่ช่วย พระในสมัยก่อนจึงต้องเข้าป่าช้า อาศัยความน่ากลัวของสถานที่ กระตุ้นให้ตนเองต้องภาวนา เพราะว่าถ้าไม่ภาวนาไว้ ถึงเวลาผีมาหลอก เราก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร

การออกธุดงค์ก็เช่นกัน ในเมื่อเจอทั้งสัตว์ร้าย เจอทั้งผี เจอทั้งเทวดาที่มากลั่นแกล้ง เราไม่มีอะไรที่จะสู้ได้ นอกจากขอบารมีพระสงเคราะห์ ป้องกันอันตรายและแผ่เมตตาให้ เมื่อผ่านพ้นอันตรายไปได้หลาย ๆ ครั้ง ความมั่นใจในคุณพระรัตนตรัยของเราจะมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ถึงในระดับที่ว่า มั่นคงต่อพระรัตนตรัยชนิดที่ "ตีก็ไม่ไป ไล่ก็ไม่หนี"

นั่นคือกฎเกณฑ์กติกาข้อแรกของการก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ก็คือความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง เพียงแต่ว่าเราท่านทั้งหลายถ้าหากว่ามีปัญญา เราใช้การตรึกในพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ระลึกถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระอริยสงฆ์ สภาพจิตของเราก็จะมีความเคารพเชื่อมั่นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถ้าหากว่าปัญญาของเรามาก ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าป่าหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าปัญญาน้อยก็ต้องให้ผีหรือว่าสัตว์ร้ายช่วยกันขัดเกลา ซึ่งขึ้นอยู่กับพวกเราเองว่าเราเป็นบุคคลประเภทไหน ถ้าหากว่าเป็นพวกเนยยะก็ยังพอที่จะอนุเคราะห์สงเคราะห์ได้ ปากเปียกปากแฉะไปก็ยังไม่เหนื่อยเปล่า แต่ถ้าเป็นปทปรมะ ฟังผ่านหูไม่พอ ยังมีการเถียงอีกต่างหาก ถ้าลักษณะอย่างนั้นโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมก็ไม่มี เพราะว่าทำตัวเป็น "น้ำล้นแก้ว" อยู่เสมอ

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2024 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว