#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๗
|
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ บางสิ่งบางอย่างเราอยู่เฉย ๆ เรื่องไม่ดีก็วิ่งเข้ามาชนได้เอง เนื่องเพราะมีผู้ตั้งกระทู้ใน "พันทิป" ว่า "อาชีพอะไรที่รวยเงียบ ๆ แล้วไม่มีคนสนใจ" ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่บอกว่า "พระ" แถมยังอธิบายอีกด้วยว่า พระนั้นบ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยไทยธรรมอยู่ทุกวัน ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"
กระผม/อาตมภาพเองขี้เกียจจะไปแก้ไขแนวคิดของบุคคลพวกนี้แล้ว เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นศัพท์ชาวบ้านก็คือ ไอ้พวก"ตีหัวเข้าบ้าน" เสียเวลาไปถกเถียงด้วย โดยเฉพาะพวกที่บอกว่า "บวชแล้วสบาย" ช่วยเชิญตัวมาบวชที่วัดท่าขนุนหน่อย ดูสิว่าจะรีบสึกภายใน ๓ วันหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าการบวชช่วงวิสาขบูชาที่ผ่านมา มีผู้บวช ๕ รูป วันที่ ๒๒ คือวันวิสาขบูชาตอนเที่ยงครึ่งบวช วันที่ ๒๓ เช้าสึกไปแล้ว สบายแล้วทำไมไม่อยู่ต่อ !? ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา ก็เพราะว่า..ไม่อยากจะใช้คำว่า "พระ" เนื่องจากคำว่า "พระ" แปลว่า "ผู้ประเสริฐ" ก็เพราะว่านักบวชส่วนใหญ่แล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ในเมื่อไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เงินทองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นตัวถ่วงมรรคถ่วงผลมากพอ ๆ กับเพศตรงข้าม แทนที่จะถูกใช้ออกเพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ก็กลายเป็นว่าไปเก็บสะสมไว้ บางรายก็ถึงขนาดต้องเอาไปให้ญาติตนเอง เพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้งอกเงยมากกว่านั้น บางรายก็ต้องไปฝังดินไว้หลังวัด จนกว่าเขาจะไปขุดเจอ..! แล้วท่านทั้งหลายลองดูวัดท่าขนุนของเรา แค่ช่วงวิสาขบูชาที่ผ่านมา เฉพาะการมอบทุนการศึกษาอย่างเดียวประมาณ ๒ ล้านบาท..! อยากจะถามว่า "ญาติโยมถวายนานเท่าไรถึงจะได้ ๒ ล้านบาท ?" ใครที่บอกว่าบวชพระแล้วรวย มาอยู่ที่ทองผาภูมิหน่อย กระผม/อาตมภาพจะส่งไปเป็นเจ้าอาวาส ไม่ต้องมากหรอก แค่วัดพุทธบริษัทที่อยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ..! ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่า "ทำไมวัดนี้เปลี่ยนเจ้าอาวาสบ่อยมาก..ปีหนึ่ง ๔ รูป..!?" เมื่อส่งพระวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาสถึงได้ซาบซึ้ง ๓ ปีผ่านไปมีกิจนิมนต์ ๑ ครั้ง ได้เงินมา ๑๐๐ บาท..! อยากจะถามหน่อยว่ามีใครอยู่ได้ด้วยเงิน ๑๐๐ บาทภายใน ๓ ปีบ้าง ? จนกระผม/อาตมภาพต้องตั้งเงินเดือนให้กับเจ้าอาวาส ไม่อย่างนั้นแล้วก็อยู่ไม่ได้ กว่าที่จะยืนหยัดฟันฝ่ามาจนญาติโยมยอมขึ้นไปทำบุญ ใช้เวลาเป็น ๑๐ ปี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนในโกสิยวรรค นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ว่า "ภิกษุรับเงินและทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" ก็คือต้องสละทิ้ง "ภิกษุรับเองหรือให้ผู้อื่นรับซึ่งเงินทองนั้น ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" แปลว่าโดนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพระธรรมยุตให้ไวยาวัจกรรับแทนแล้วจะไม่โดนอาบัติตัวนี้ เพราะพระพุทธเจ้าระบุไว้ชัดเจนว่ารับเองหรือให้ผู้อื่นรับแทนก็เช่นกัน..!
ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงถึงได้สอนพวกกระผม/อาตมภาพว่า เมื่อรับเงินและทองมาแล้วอย่านำมาเป็นของตนเอง หากแต่ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย กระผม/อาตมภาพก็ปฏิบัติตามนั้นมาโดยตลอด แต่กลับไปตกอยู่ในวงจรที่ว่า "ยิ่งให้ก็ยิ่งได้" ก็คือญาติโยมเห็นว่าเงินทองที่ถวายมาแล้วงอกเงยขึ้นมาเป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาบ้าง ในการช่วยเหลือเจือจานผู้อื่นบ้าง ก็ยิ่งให้กันมากเข้าไปอีก แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็ให้เคล็ดลับไว้ว่า "เงินปีนี้อย่าใช้ให้ถึงปีหน้า ถ้ามีเงินจะเหลือถึงปีหน้า ให้คิดโครงการที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ เมื่อรับเงินนั้นมาจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของตนเอง" อีกส่วนหนึ่งก็คือท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ส่วนใหญ่แล้วบรรดาลาภผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระรูปนั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องหาวิธีการที่ทำอย่างไรจะให้เงินนั้นไม่อยู่กับเรา อย่างที่ทุกท่านเห็นว่าอาตมภาพเอง "ใช้เงินเป็นเบี้ย" ก็คือไม่เห็นว่าเงินนั้นมีคุณค่าราคาเลย ท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิต ปัจจุบันนี้ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จที่พระพรหมวัชรวิมลมุนี วิ., รศ.ดร. (บุญชิต ญาณสํวโร ป.ธ.๙) ท่านเองรับปัจจัยมาเท่าไรก็เทออกหมดเท่านั้น ก็แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพ ถ้าหากว่าไปอยู่ที่วัดอุทยาน ญาติโยมทำบุญเท่าไรก็มอบให้ทางวัดอุทยานเขาเอาไปใช้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น..ท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิตจะเป็นพระที่รวยมาก เพราะว่าไปไหนก็ให้เขาได้ แต่ว่าความจริงแล้วไม่มีเงินติดย่ามเลย เพราะว่าท่านเคร่งกว่าพระธรรมยุตอีก..! ในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพเอง นอกจากครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนมาแล้ว ยังโชคดีที่ได้เห็นครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยให้เราเลียนแบบทำตามได้ แล้วทำไมพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราไม่ไปมอง ไปมองส่วนที่ไม่เอาไหน บวชเข้ามาเพื่อที่จะหาลาภผลต่าง ๆ ขนาดหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ได้ลาภได้ผลมาก็เอา เสร็จแล้วก็มาใช้คำพูดแบบมักง่ายว่า "บวชพระแล้วสบาย" ลองให้มาตื่นตี ๓ ครึ่งเจริญพระกรรมฐาน ทำวัตรเช้า ออกบิณฑบาต กว่าจะได้ฉันก็เดินเสีย ๕ กิโลเมตร..! กลับมาแล้วยังมีสารพัดงานที่รออยู่ นอกจากสิ่งที่เป็นไปเพื่อคณะสงฆ์แล้ว ยังต้องเป็นไปเพื่อชาวบ้าน เป็นไปเพื่อหน่วยราชการอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ได้คิดถึง ท่านไปกล่าวถึงในส่วนที่ไม่ดีไม่งาม ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันนี้พระสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นเป็นส่วนใหญ่ที่ท่านทั้งหลายพบเห็น แต่ที่กระผม/อาตมภาพพบเห็นนั้น กลับเป็นส่วนใหญ่ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม ยกตัวอย่างแค่พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) หรือว่าหลวงพ่อเจ้าคุณแย้มก็พอ
ท่านเป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ ดูแลพระภิกษุสามเณรภายในเขตจังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี และสมุทรสาคร ท่านรับภาระหน้าที่การงานในคณะสงฆ์เกือบทุกอย่าง แต่ละงานจ่ายกันเป็นแสนเป็นล้าน..! นั่นก็เป็นเงินที่ญาติโยมทั้งหลายไปทำบุญกับหลวงพ่อวัดไร่ขิงในโบสถ์ ท่านถึงขนาดต้องไปขอจากกรรมการวัดว่า เดือนหนึ่งขอให้วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ๔ แสนบาท เพื่อให้เขาไปจัดการเรื่องการศึกษา กว่าที่กรรมการมูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิงจะยอมอนุมัติเงินมา ก็ต้องสู้กันแทบล้มประดาตาย เข้าประชุมกันครั้งแล้วครั้งเล่า ยกเหตุผลที่สมควรให้มาสู้กัน แล้วก็ยังมีไอ้พวก "ไอคิวเตี้ยไอเดียต่ำ" ถามว่า "ทำไมต้องไปสนับสนุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรด้วย เพราะว่าพระเณรเอาเปรียบชาวบ้าน กินฟรีอยู่ฟรี แล้วยังเรียนราคาถูกกว่าอีก..!" อยากจะถามว่า "ถ้าปล่อยให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นภาระของประเทศชาติ กระทรวงต่าง ๆ จะรับไหวไหม ? ท่านเองเพียรพยายามจากบุคคลที่ไม่มีอะไรเลย แม้แต่โอกาสที่จะศึกษา ถึงขนาดยอมบวชเข้ามาเพื่อให้ได้ร่ำได้เรียน เพื่อที่จะได้ให้มีความรู้เป็นกำลังของประเทศชาติ แต่ดันไปเจอไอ้พวกปัญญาน้อย กล่าวหาว่าเอาเปรียบชาวบ้าน กินฟรีอยู่ฟรี แถมยังเรียนราคาถูกกว่าอีกด้วย..!" อย่าลืมว่าวิทยาลัยสงฆ์ หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่ได้กีดกันคนนอก ในเมื่อคุณเห็นว่าเรียนราคาถูก ทำไมคุณไม่เข้าไปเรียน ? เขาไม่ได้บังคับว่าห้ามฆราวาสเรียน อาตมภาพมีลูกศิษย์ฆราวาสเรียนในวิทยาลัยทั้ง ๓ แห่งเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยาลัยพุทธปัญญาศรีทวารวดี จังหวัดนครปฐม วิทยาลัยสุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี วิทยาลัยกาญจนบุรีศรีไพบูลย์ จังหวัดกาญจนบุรี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
นอกจากหลักสูตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ที่สอนพระโดยเฉพาะแล้ว หลักสูตรอื่น ๆ ใครจะเรียนด้วย สามารถสมัครเข้าไปเรียนได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วแบบนี้ยังบอกว่าพระเณรเอาเปรียบ เรียนราคาถูกกว่า..!?
ถึงได้บอกว่าอาตมภาพหมดอารมณ์ที่จะไปถกเถียงกับคนพวกนี้แล้ว เห็นเขาไปใส่กันอยู่ในเว็บพันทิปก็ปล่อยไปเถอะ แต่ไอ้ที่อยากจะเตะที่สุดก็คือเพื่อนกันที่เสือกส่งลิงค์มาให้ดู ถ้าหากว่าทำใจไม่ได้ก็จะไปโมโหเขาอีก..! เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นและมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าบุคคลห่างศีลห่างธรรมไปมาก เสร็จแล้วบุคคลที่เข้ามาบวชก็แทบจะเหลือเลือกจากสังคม ไม่มีหนทางไปแล้ว ประเภทเกเรเกตุงจนกระทั่งญาติโยมไม่เอาแล้วก็ส่งมาบวช แล้วก็เหลือเชื่อว่าพระพุทธศาสนาของเรา สามารถผลิตสินค้าขึ้นมาจากวัสดุเฮงซวยแบบนั้นแหละ แต่กลายเป็นสินค้า AAA , AAAA มากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของเรา จากเด็กเกเรที่แทบจะเรียนไม่จบชั้นมัธยม ปัจจุบันนี้เป็นว่าที่ด็อกเตอร์ พ่อแม่ดีใจน้ำตาจะไหล..! ก็แปลว่าในเรื่องของการศึกษานั้น จะว่าไปแล้วโอกาสของพระเณรน้อยมาก ก็คือพระเณรต่างหากที่โดนเอาเปรียบ กว่าที่จะมีกฎหมายออกมารับรองการศึกษาของพระภิกษุสามเณร ก็ต้องต่อสู้กันมาหลายสิบปี ในเมื่อโยมเอาเปรียบพระแล้ว แต่กลับไปกล่าวโทษว่าพระเอาเปรียบโยม อาตมภาพก็ยังสงสัยอยู่ว่า "คนพวกนี้ไม่มีหัวแม่เท้าหรืออย่างไรถึงไม่รู้จักใช้คิดบ้าง..?!" สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|