กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-06-2024, 19:47
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๗


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-06-2024, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ บางสิ่งบางอย่างเราอยู่เฉย ๆ เรื่องไม่ดีก็วิ่งเข้ามาชนได้เอง เนื่องเพราะมีผู้ตั้งกระทู้ใน "พันทิป" ว่า "อาชีพอะไรที่รวยเงียบ ๆ แล้วไม่มีคนสนใจ" ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่บอกว่า "พระ" แถมยังอธิบายอีกด้วยว่า พระนั้นบ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ ผู้มีจิตศรัทธาถวายปัจจัยไทยธรรมอยู่ทุกวัน ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

กระผม/อาตมภาพเองขี้เกียจจะไปแก้ไขแนวคิดของบุคคลพวกนี้แล้ว เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นศัพท์ชาวบ้านก็คือ ไอ้พวก"ตีหัวเข้าบ้าน" เสียเวลาไปถกเถียงด้วย โดยเฉพาะพวกที่บอกว่า "บวชแล้วสบาย" ช่วยเชิญตัวมาบวชที่วัดท่าขนุนหน่อย ดูสิว่าจะรีบสึกภายใน ๓ วันหรือเปล่า ? เนื่องเพราะว่าการบวชช่วงวิสาขบูชาที่ผ่านมา มีผู้บวช ๕ รูป วันที่ ๒๒ คือวันวิสาขบูชาตอนเที่ยงครึ่งบวช วันที่ ๒๓ เช้าสึกไปแล้ว สบายแล้วทำไมไม่อยู่ต่อ !?

ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้ที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา ก็เพราะว่า..ไม่อยากจะใช้คำว่า "พระ" เนื่องจากคำว่า "พระ" แปลว่า "ผู้ประเสริฐ" ก็เพราะว่านักบวชส่วนใหญ่แล้วไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ในเมื่อไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เงินทองที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นตัวถ่วงมรรคถ่วงผลมากพอ ๆ กับเพศตรงข้าม แทนที่จะถูกใช้ออกเพื่อประโยชน์ของพระพุทธศาสนา ก็กลายเป็นว่าไปเก็บสะสมไว้

บางรายก็ถึงขนาดต้องเอาไปให้ญาติตนเอง เพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้งอกเงยมากกว่านั้น บางรายก็ต้องไปฝังดินไว้หลังวัด จนกว่าเขาจะไปขุดเจอ..!

แล้วท่านทั้งหลายลองดูวัดท่าขนุนของเรา แค่ช่วงวิสาขบูชาที่ผ่านมา เฉพาะการมอบทุนการศึกษาอย่างเดียวประมาณ ๒ ล้านบาท..! อยากจะถามว่า "ญาติโยมถวายนานเท่าไรถึงจะได้ ๒ ล้านบาท ?" ใครที่บอกว่าบวชพระแล้วรวย มาอยู่ที่ทองผาภูมิหน่อย กระผม/อาตมภาพจะส่งไปเป็นเจ้าอาวาส ไม่ต้องมากหรอก แค่วัดพุทธบริษัทที่อยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ..!

ตอนแรก
กระผม/อาตมภาพก็สงสัยว่า "ทำไมวัดนี้เปลี่ยนเจ้าอาวาสบ่อยมาก..ปีหนึ่ง ๔ รูป..!?" เมื่อส่งพระวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาสถึงได้ซาบซึ้ง ๓ ปีผ่านไปมีกิจนิมนต์ ๑ ครั้ง ได้เงินมา ๑๐๐ บาท..! อยากจะถามหน่อยว่ามีใครอยู่ได้ด้วยเงิน ๑๐๐ บาทภายใน ๓ ปีบ้าง ? จนกระผม/อาตมภาพต้องตั้งเงินเดือนให้กับเจ้าอาวาส ไม่อย่างนั้นแล้วก็อยู่ไม่ได้ กว่าที่จะยืนหยัดฟันฝ่ามาจนญาติโยมยอมขึ้นไปทำบุญ ใช้เวลาเป็น ๑๐ ปี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-06-2024, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนในโกสิยวรรค นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์กัณฑ์ว่า "ภิกษุรับเงินและทอง หรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทองต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" ก็คือต้องสละทิ้ง "ภิกษุรับเองหรือให้ผู้อื่นรับซึ่งเงินทองนั้น ต้องอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์" แปลว่าโดนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าพระธรรมยุตให้ไวยาวัจกรรับแทนแล้วจะไม่โดนอาบัติตัวนี้ เพราะพระพุทธเจ้าระบุไว้ชัดเจนว่ารับเองหรือให้ผู้อื่นรับแทนก็เช่นกัน..!

ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงถึงได้สอนพวกกระผม/อาตมภาพว่า เมื่อรับเงินและทองมาแล้วอย่านำมาเป็นของตนเอง หากแต่ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย กระผม/อาตมภาพก็ปฏิบัติตามนั้นมาโดยตลอด แต่กลับไปตกอยู่ในวงจรที่ว่า "ยิ่งให้ก็ยิ่งได้"

ก็คือญาติโยมเห็นว่าเงินทองที่ถวายมาแล้วงอกเงยขึ้นมาเป็นถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาบ้าง ในการช่วยเหลือเจือจานผู้อื่นบ้าง ก็ยิ่งให้กันมากเข้าไปอีก แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็ให้เคล็ดลับไว้ว่า "เงินปีนี้อย่าใช้ให้ถึงปีหน้า ถ้ามีเงินจะเหลือถึงปีหน้า ให้คิดโครงการที่ใหญ่กว่าเงินไว้เสมอ เมื่อรับเงินนั้นมาจะได้ไม่รู้สึกว่าเป็นของตนเอง"

อีกส่วนหนึ่งก็คือท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ส่วนใหญ่แล้วบรรดาลาภผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของพระรูปนั้นเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องหาวิธีการที่ทำอย่างไรจะให้เงินนั้นไม่อยู่กับเรา อย่างที่ทุกท่านเห็นว่าอาตมภาพเอง "ใช้เงินเป็นเบี้ย" ก็คือไม่เห็นว่าเงินนั้นมีคุณค่าราคาเลย

ท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิต ปัจจุบันนี้ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จที่พระพรหมวัชรวิมลมุนี วิ., รศ.ดร. (บุญชิต ญาณสํวโร ป.ธ.๙) ท่านเองรับปัจจัยมาเท่าไรก็เทออกหมดเท่านั้น ก็แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพ ถ้าหากว่าไปอยู่ที่วัดอุทยาน ญาติโยมทำบุญเท่าไรก็มอบให้ทางวัดอุทยานเขาเอาไปใช้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น..ท่านเจ้าคุณอาจารย์บุญชิตจะเป็นพระที่รวยมาก เพราะว่าไปไหนก็ให้เขาได้ แต่ว่าความจริงแล้วไม่มีเงินติดย่ามเลย เพราะว่าท่านเคร่งกว่าพระธรรมยุตอีก..!

ในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพเอง นอกจากครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนมาแล้ว ยังโชคดีที่ได้เห็นครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยให้เราเลียนแบบทำตามได้ แล้วทำไมพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเราไม่ไปมอง ไปมองส่วนที่ไม่เอาไหน บวชเข้ามาเพื่อที่จะหาลาภผลต่าง ๆ ขนาดหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ได้ลาภได้ผลมาก็เอา เสร็จแล้วก็มาใช้คำพูดแบบมักง่ายว่า "บวชพระแล้วสบาย"

ลองให้มาตื่นตี ๓ ครึ่งเจริญพระกรรมฐาน ทำวัตรเช้า ออกบิณฑบาต กว่าจะได้ฉันก็เดินเสีย ๕ กิโลเมตร..! กลับมาแล้วยังมีสารพัดงานที่รออยู่ นอกจากสิ่งที่เป็นไปเพื่อคณะสงฆ์แล้ว ยังต้องเป็นไปเพื่อชาวบ้าน เป็นไปเพื่อหน่วยราชการอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-06-2024, 00:16
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ได้คิดถึง ท่านไปกล่าวถึงในส่วนที่ไม่ดีไม่งาม ซึ่งต้องบอกว่าปัจจุบันนี้พระสงฆ์ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น แต่ว่าส่วนใหญ่นั้นเป็นส่วนใหญ่ที่ท่านทั้งหลายพบเห็น แต่ที่กระผม/อาตมภาพพบเห็นนั้น กลับเป็นส่วนใหญ่ที่เสียสละเพื่อส่วนรวม ยกตัวอย่างแค่พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) หรือว่าหลวงพ่อเจ้าคุณแย้มก็พอ

ท่านเป็นเจ้าคณะภาค ๑๔ ดูแลพระภิกษุสามเณรภายในเขตจังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี และสมุทรสาคร ท่านรับภาระหน้าที่การงานในคณะสงฆ์เกือบทุกอย่าง แต่ละงานจ่ายกันเป็นแสนเป็นล้าน..! นั่นก็เป็นเงินที่ญาติโยมทั้งหลายไปทำบุญกับหลวงพ่อวัดไร่ขิงในโบสถ์

ท่านถึงขนาดต้องไปขอจากกรรมการวัดว่า เดือนหนึ่งขอให้วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ๔ แสนบาท เพื่อให้เขาไปจัดการเรื่องการศึกษา กว่าที่กรรมการมูลนิธิหลวงพ่อวัดไร่ขิงจะยอมอนุมัติเงินมา ก็ต้องสู้กันแทบล้มประดาตาย เข้าประชุมกันครั้งแล้วครั้งเล่า ยกเหตุผลที่สมควรให้มาสู้กัน

แล้วก็ยังมีไอ้พวก "ไอคิวเตี้ยไอเดียต่ำ" ถามว่า "ทำไมต้องไปสนับสนุนการศึกษาพระภิกษุสามเณรด้วย เพราะว่าพระเณรเอาเปรียบชาวบ้าน กินฟรีอยู่ฟรี แล้วยังเรียนราคาถูกกว่าอีก..!"

อยากจะถามว่า
"ถ้าปล่อยให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นภาระของประเทศชาติ กระทรวงต่าง ๆ จะรับไหวไหม ? ท่านเองเพียรพยายามจากบุคคลที่ไม่มีอะไรเลย แม้แต่โอกาสที่จะศึกษา ถึงขนาดยอมบวชเข้ามาเพื่อให้ได้ร่ำได้เรียน เพื่อที่จะได้ให้มีความรู้เป็นกำลังของประเทศชาติ แต่ดันไปเจอไอ้พวกปัญญาน้อย กล่าวหาว่าเอาเปรียบชาวบ้าน กินฟรีอยู่ฟรี แถมยังเรียนราคาถูกกว่าอีกด้วย..!"

อย่าลืมว่าวิทยาลัยสงฆ์ หรือมหาวิทยาลัยสงฆ์ไม่ได้กีดกันคนนอก ในเมื่อคุณเห็นว่าเรียนราคาถูก ทำไมคุณไม่เข้าไปเรียน ? เขาไม่ได้บังคับว่าห้ามฆราวาสเรียน อาตมภาพมีลูกศิษย์ฆราวาสเรียนในวิทยาลัยทั้ง ๓ แห่งเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นวิทยาลัยพุทธปัญญาศรีทวารวดี
จังหวัดนครปฐม วิทยาลัยสุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ จังหวัดสุพรรณบุรี วิทยาลัยกาญจนบุรีศรีไพบูลย์ จังหวัดกาญจนบุรี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 03-06-2024, 00:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นอกจากหลักสูตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ที่สอนพระโดยเฉพาะแล้ว หลักสูตรอื่น ๆ ใครจะเรียนด้วย สามารถสมัครเข้าไปเรียนได้ทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น ประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วแบบนี้ยังบอกว่าพระเณรเอาเปรียบ เรียนราคาถูกกว่า..!?

ถึงได้บอกว่าอาตมภาพหมดอารมณ์ที่จะไปถกเถียงกับคนพวกนี้แล้ว เห็นเขาไปใส่กันอยู่ในเว็บพันทิปก็ปล่อยไปเถอะ แต่ไอ้ที่อยากจะเตะที่สุดก็คือเพื่อนกันที่เสือกส่งลิงค์มาให้ดู ถ้าหากว่าทำใจไม่ได้ก็จะไปโมโหเขาอีก..!

เรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นและมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เนื่องเพราะว่าบุคคลห่างศีลห่างธรรมไปมาก เสร็จแล้วบุคคลที่เข้ามาบวชก็แทบจะเหลือเลือกจากสังคม ไม่มีหนทางไปแล้ว ประเภทเกเรเกตุงจนกระทั่งญาติโยมไม่เอาแล้วก็ส่งมาบวช แล้วก็เหลือเชื่อว่าพระพุทธศาสนาของเรา สามารถผลิตสินค้าขึ้นมาจากวัสดุเฮงซวยแบบนั้นแหละ แต่กลายเป็นสินค้า AAA , AAAA มากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของเรา จากเด็กเกเรที่แทบจะเรียนไม่จบชั้นมัธยม ปัจจุบันนี้เป็นว่าที่ด็อกเตอร์ พ่อแม่ดีใจน้ำตาจะไหล..!

ก็แปลว่าในเรื่องของการศึกษานั้น จะว่าไปแล้วโอกาสของพระเณรน้อยมาก ก็คือพระเณรต่างหากที่โดนเอาเปรียบ กว่าที่จะมีกฎหมายออกมารับรองการศึกษาของพระภิกษุสามเณร ก็ต้องต่อสู้กันมาหลายสิบปี ในเมื่อโยมเอาเปรียบพระแล้ว แต่กลับไปกล่าวโทษว่าพระเอาเปรียบโยม อาตมภาพก็ยังสงสัยอยู่ว่า "คนพวกนี้ไม่มีหัวแม่เท้าหรืออย่างไรถึงไม่รู้จักใช้คิดบ้าง..?!"

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2024 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:59



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว