กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-05-2024, 19:34
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,938
ได้ให้อนุโมทนา: 225,208
ได้รับอนุโมทนา 800,447 ครั้ง ใน 39,357 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-05-2024, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อเช้าโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าซิ่น นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" มีคนน้อยไปหน่อย เพราะเขาเกรงว่าจะเจอฝนหนัก แต่เราท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าทองผาภูมิของเราไม่มีฝน แถมทะเลหมอกยังมากกว่าปกติอีกด้วย ต้องบอกว่าความโชคดีของบุคคลที่มาไม่เหมือนกัน บางท่านตั้งใจจะมาดูทะเลหมอก แต่ไม่ได้เจออะไรเลย บางท่านไม่ได้ตั้งใจมา กลับเจอจนจุใจไปเลย

จะว่าไปแล้ว ทองผาภูมินั้นสามารถที่จะขายเรื่องของวิวทิวทัศน์ได้ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะถ้าท่านใดที่ขี้เกียจไปเบียดไปแย่งกับคนอื่นในฤดูกาลท่องเที่ยว ทดลองใช้ฤดูฝนเป็นฤดูท่องเที่ยวดูบ้างก็ได้ ยังโชคดีที่ว่าฝนตกหนักแค่ ๓ วัน เพราะถ้าหากตกต่อเนื่องมากกว่านี้ ทั้งเงาะทองผาภูมิและทุเรียนทองผาภูมิก็จะมีปัญหา

ถ้าหากว่าผลไม้รับน้ำมากเกินไป เงาะทองผาภูมิก็จะไม่กรอบเท่าที่ควร ทุเรียนก็จะไส้ซึม ซึ่งเป็นปัญหาที่เกษตรกรจะต้องไปปวดหัวกัน แต่ว่าทุกท่านก็เห็นแล้วว่า โชคค่อนข้างจะเข้าข้างคนทองผาภูมิ ขณะที่ที่อื่นฝนตกหัวไม่วางหางไม่เว้น ของเราตกแค่ ๓ วันก็จบแล้ว

เพียงแต่ว่าในเรื่องของการทำมาหากินบางอย่างของชาวบ้าน ก็ต้องคล้อยตามธรรมชาติ เนื่องเพราะว่าธรรมชาตินั้น เราไม่สามารถที่จะไปขวางได้ ด้วยเหตุที่มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จึงต้องปรับตัวและคล้อยตามธรรมชาติ ถึงจะอยู่รอดได้

ถ้าพวกท่านทั้งหลายเกิดทันจะเห็นว่า บ้านเราเมืองเราสมัยก่อนนั้น จะสร้างบ้านใต้ถุนสูงทั้งหมด ในช่วงฤดูแล้ง ใต้ถุนก็เอาไว้ทำกิจกรรมต่าง ๆ แม้กระทั่งเป็นคอกสัตว์อย่างวัวควายก็มี พอหน้าฝนก็อพยพขึ้นด้านบน เพราะว่าน้ำมา แต่ไม่มีอะไรน่ากังวล เพราะว่ามีเรือขึ้นคานไว้ทุกบ้าน

ก่อนหน้าน้ำก็มาตอกหมัน ยาเรือ ทาน้ำมันกัน เด็กรุ่นหลังคงไม่รู้จักต้นหมันกันแล้ว เป็นต้นไม้ที่ถึงเวลาเอาเปลือกมาทุบเป็นเส้น ๆ ออกสีส้ม ๆ หน่อย แล้วก็เอามาตัด เอามาตอกอัดเข้าไปในระหว่างร่องกระดานเรือ แต่ถ้าบ้านใครเป็น "เรือขุด" ก็สบายหน่อย ไม่ต้องเสียเวลามาตอกหมันยาเรือ แต่ถ้าเป็น "เรือขุดต่อกราบ" ก็ยังต้องทำอยู่เล็กน้อยทางด้านบน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2024 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-05-2024, 00:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในช่วงหน้าฝน น้ำหลากมา กลายเป็นเรื่องที่ชาวบ้านเขาดีใจกัน เพราะว่าน้ำหลากมาก็พาเอา "โอชะ" หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าปุ๋ยมาด้วย แล้วโดยเฉพาะชาวบ้านสมัยก่อนก็มักจะขุดบ่อหรือว่าสระน้ำ เอาไว้ในไร่ในนาของตนเอง น้ำมาก็พาปลามาด้วย ถึงเวลาน้ำลด ปลาที่ "ตกคลั่ก" อยู่ก็กลายเป็นอาหารที่กินได้ทั้งปี ไร่นาได้รับปุ๋ยจากดินที่มากับน้ำหลาก ก็กลายเป็นว่าพืชผลทุกอย่างงอกงาม

การเดินทางสมัยก่อนจึงนิยมใช้เรือมากกว่า แม้กระทั่งพระของเราก็บิณฑบาตทางเรือ วัดท่าขนุนของเราสมัยก่อน หน้าวัดหันเข้าหาแม่น้ำ ท่าเรือก็คือบริเวณกุฏิเจ้าที่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งกระผม/อาตมภาพรื้อออกไป แล้วสร้างกุฏิขึ้นมา เหลือเพียงป้ายวัดท่าขนุน ติดเอาไว้เป็นที่ระลึกแผ่นเดียวเท่านั้น

เพียงแต่ว่าภายหลัง พอความนิยมในรถยนต์ที่เข้ามาแทนเกวียนมีมากขึ้น ถนนหนทางดีขึ้น การสัญจรทางน้ำจึงลดน้อยถอยลง มีการตัดถนนขึ้นมาใหม่ ก็มีการเปลี่ยนจากหน้าวัดเป็นหลังวัดไปเสียมาก แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของเรา ก็มีซุ้มประตูใหม่ที่บอกว่าเป็นด้านหน้าวัด ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพมาสร้างให้นี่เอง ก่อนหน้านั้นก็เป็นเพียงป้ายที่บอกว่ามีทางเข้าวัดจากทางบกด้วย แต่ว่าป้ายหลักก็คืออยู่ทางแม่น้ำ

โดยเฉพาะสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ บ้านตากับยายอยู่ที่ตำบลบางลี่ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี แถวนั้นมีพันธุ์ข้าวพิเศษที่เรียกว่า"ข้าวลอย" ก็คือต่อให้น้ำท่วมสูงเท่าไร ข้าวก็สามารถที่จะยืดลำต้น ชูรวงเหนือน้ำได้ กระผม/อาตมภาพเคยเจอปีที่น้ำท่วมมาก ๆ ข้าวลอยยืดลำต้นได้สูงถึง ๒ เมตรกว่า ชาวบ้านจะเอาฟางมาถักเป็นเชือก เพราะว่ายาวเป็นพิเศษ ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อเส้นเชือกมาก

เพียงแต่ว่ามีจุดอ่อนอยู่ก็คือ ถ้าหากว่าถึงเวลาเก็บเกี่ยว ต้องรีบเกี่ยวให้ทัน ไม่เช่นนั้นถ้าน้ำลดลงมากเสียก่อน ข้าวลอยก็จะหักพับลงไปกับน้ำ ต้องเสียเวลาในการตากข้าวเปลือกกันนาน ปัจจุบันนี้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าพันธุ์ข้าวแบบนี้หายไปไหนหมด เนื่องเพราะว่าระยะหลังก็ไปนิยมข้าวพันธุ์เกษตร ซึ่งมีข้าวคำ กข. โน่น กข. นี่ขึ้นมาแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2024 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-05-2024, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่ออยู่กับธรรมชาติ กินกับธรรมชาติ ก็จะรู้ดีว่าการปรับตัวตามธรรมชาตินั้น ทำให้เราไม่เดือดร้อน แต่สมัยใหม่นั้น เมื่อไปเมืองนอกมา เห็นลักษณะของที่อยู่อาศัยของเขา เราเกิดชอบใจก็นำมาสร้างกัน แต่ลืมไปว่านั่นเป็นที่อยู่อาศัยของเมืองหนาว เขาต้องการเก็บความอบอุ่นไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อมาอยู่บ้านเราจึงกลายเป็นว่า ถ้าไม่มีเครื่องปรับอากาศก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าเป็นการผิดฝาผิดตัว ไปรับเอาวัฒนธรรมของเขาที่ไม่เข้ากับภูมิประเทศ หรือภูมิอากาศบ้านเราเข้ามา

แม้กระทั่งอาหารการกินในปัจจุบันนี้ เราก็ไปนิยมอาหารฝรั่ง อย่างพวกขนมปัง ขนมเค้กต่าง ๆ แม้กระทั่งไอศกรีม ซึ่งจะมีแคลอรี่สูงมาก เพราะว่าเขาต้องกินเพื่อเอาไขมันไปสู้ความหนาว แต่บ้านเราไม่หนาวพอ กินเข้าไปเท่าไรร่างกายก็เก็บหมด กลายเป็นว่าคนอ้วนมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ..!

นี่คือสิ่งที่เรารับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาโดยขาดการกลั่นกรอง ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพสร้างศาลา ๑๐๐ ปี หลวงปู่สายหลังนี้ ไม่จำเป็นต้องติดเครื่องปรับอากาศก็อยู่ได้ แล้วทำไมที่อื่นเขาสร้างแล้วต้องมีเครื่องปรับอากาศถึงจะอยู่ได้ ? ก็เพราะว่าเขาสร้างโดยขาดการพินิจพิจารณา หรือว่าขาดความรู้ในเรื่องของ "ทางน้ำทางลม"

โบราณถึงเวลาสร้างบ้าน จะต้องดูทั้งทางลม ดูทั้งแดด จะหันข้างอาคารให้กับแดดเสมอ หน้าบ้านไม่หันไปทางใต้ก็หันขึ้นเหนือ แต่ส่วนใหญ่จะหันลงใต้ เพราะว่าถ้าหันขึ้นเหนือ ลมเหนือมาเมื่อไรลมจะเข้าบ้าน ทำให้หนาวมาก แล้วในด้านของโรงครัว หรือว่าห้องน้ำก็จะเอาไว้อยู่ทางด้านตะวันตก เพราะว่าแดดบ่ายที่ร้อนจัด ก็จะทำให้ห้องครัว หรือว่าห้องน้ำแห้ง แล้วก็เหลือเชื้อโรคน้อยลง เพราะว่าโดนแสงแดดฆ่าเชื้อไปแล้ว

หน้าต่างก็จะเปิดรับลม ก็คือเปิดเข้าหาด้านใต้ พอถึงเวลาหน้าหนาว ลมเหนือมาก็ไม่เข้าบ้าน แต่ถ้าหากว่าหน้าร้อน ลมใต้มาเราก็จะมีลมเข้าบ้าน ทำให้ไม่ร้อนมาก เรื่องพวกนี้บรรดาวิศวกร โดยเฉพาะพวกนักสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ควรที่จะศึกษาและให้คำแนะนำ เพื่อที่ไม่ให้บ้านเราจะต้องมาล้างผลาญพลังงานกันมากมายมหาศาล เนื่องจากขาดเครื่องปรับอากาศไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2024 เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-05-2024, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถามว่าเรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับการปฏิบัติธรรม ? เกี่ยวข้องมาก ก็คือการรู้จักใช้ปัญญาพิจารณาทุกอย่างให้รอบคอบ เนื่องเพราะว่าถ้าเราขาดความรอบคอบ เผลอไผลขาดสติเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะเข้ามากินใจของเราทันที เรื่องภายนอกต่าง ๆ ไม่ว่าจะการอยู่การกินอะไรก็ตาม เป็นของหยาบ ถ้าเรายังไม่รอบคอบพอ แล้วจะไปจัดการกับกำลังใจที่เป็นของละเอียดได้อย่างไร ?

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายควรที่จะตระหนักว่า ทำไมคนโบราณรุ่นปู่ย่าตาทวด ถึงมีกำลังใจสงบเยือกเย็น อยู่ในศีลกินในธรรม มาถึงรุ่นของเรา ทำไมกำลังใจร้อนรนขึ้นมาเรื่อย ๆ ห่างศีล ห่างธรรม มีแต่แย่งชิงกันเพราะ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่มากมาย ?

สังคมเราก้าวมาถึงจุดนี้ เพราะเราทิ้งของดีอะไรไปบ้าง แล้วควรที่จะย้อนกลับไปเอาของดีดั้งเดิมของเรากลับมา เพื่อเยียวยาสังคมของเราให้ดีให้งามเหมือนเดิม หรือว่าเราจะปล่อยให้ชาวต่างชาตินำเอาของดีของเราไปใช้งาน ขณะเดียวกันเศษวัฒนธรรมที่มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนสิ้นเปลือง เรากลับไปรับของเขามา ?!

เรื่องเหล่านี้ก็อยู่ที่เราท่านทั้งหลายจะพินิจพิจารณากันเอง ทำด้วยตนเอง เราก็เดือดร้อนน้อย ช่วยครอบครัวของเรา ครอบครัวเราก็เดือดร้อนน้อย ช่วยบ้านเมืองของเรา บ้านเมืองเราก็จะเดือดร้อนน้อย แต่ถ้าหากว่าละทิ้งสิ่งดีงามของเราเมื่อไร เราก็จะเดือดร้อนกันไม่รู้จบ

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2024 เมื่อ 02:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว