กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-05-2024, 19:50
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,938
ได้ให้อนุโมทนา: 225,208
ได้รับอนุโมทนา 800,447 ครั้ง ใน 39,357 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 26-05-2024, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ วัดท่าขนุนของเราเริ่มเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ประจำปี ๒๕๖๗ แล้วปีนี้ก็จะมีพระจากวัดอื่นมาขอเรียนด้วย เนื่องจากว่าผลงานในปีที่ผ่านมาของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดท่าขนุน ต้องบอกว่าสวยงามมาก ก็คือส่ง ๘ รูป สอบผ่าน ๗ รูป ความจริงรูปที่ ๘ ก็น่าจะผ่าน เพียงแต่ไปทำผิดกติกาของเขาเท่านั้นเอง..!

แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่าผลงานที่ออกมาสวยหรูนั้น ถ้าสายตาของกระผม/อาตมภาพ ยกให้เป็นความดีของมหาจอม (พระมหาภูมินทร์ ฐิตญาโณ ป.ธ. ๗) กับมหาโอ๊ต (พระมหาสราวุธ ปญฺญาวุฑฺโฒ ป.ธ. ๓) ไป ๖๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นความสามารถของครูบาอาจารย์วัดท่าขนุนในส่วนที่เหลือ เพราะว่าส่วนที่เหลือ
กระผม/อาตมภาพยังยกให้เป็นผลผลิต ก็คือนักเรียนของเราอีก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้านักเรียนไม่ดี ไม่ขยัน โอกาสที่จะรอดยากมาก แล้วคราวนี้เหลือให้ครูของเรากี่เปอร์เซ็นต์ ?

จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายต้องพยายามหาทางปรับปรุง โดยเฉพาะการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการสอน อย่างเช่นว่า อาจจะพูดเร็วไปบ้าง และในส่วนที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ เราต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า นักเรียนของเรายังไม่รู้เรื่องนี้

ตอนที่เรายังไม่รู้เรื่องนี้ เราต้องการให้ครูสอนอย่างไร ? ไม่อย่างนั้นแล้วบรรดาครูบาอาจารย์ที่จบเปรียญธรรมประโยคสูง ๆ มา ส่วนหนึ่งสอนใครไม่ได้ เพราะว่าไปสอนแบบที่ตัวเองรู้และเข้าใจ ซึ่งนักเรียนที่ยังไม่มีพื้นฐานมาก่อน ไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจตามไปได้เลย ดังนั้น..ต้องตระหนักให้ได้ว่า ถ้าหากว่าเราเป็นนักเรียนผู้มาใหม่ เราควรที่จะรู้เรื่องอะไรบ้าง ? แล้วก็ว่าไล่สอนไปตามลำดับ

เรื่องพวกนี้เป็นประสบการณ์ในการสอนที่เราจะค่อย ๆ สั่งสมไปเรื่อย ท่านที่มีแนวโน้มทางด้านนี้ ก็จะสามารถทำได้ดีเอง อย่างของวัดเราช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีพระมหาเอกชัย สุทฺธิธมฺโม ป.ธ. ๓ ไปขอเรียนปริญญาตรีสาขาครุศาสตร์ นั่นก็คือเรียนความเป็นครู มาวันนี้ ก็มีท่านปู (พระพงษ์สิทธิ์ สนฺตจิตฺโต) มาขอไปเรียนปริญญาโทสาขาครุศาสตร์ นั่นก็คือเรียนเพื่อเป็นครู
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2024 เมื่อ 01:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-05-2024, 00:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะครุศาสตร์ เป็นศาสตร์แห่งความเป็นครู ที่ไม่มีครูคนไหนจะเก่งไปกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว..! เราที่เป็นพระภิกษุสามเณรจึงควรที่จะตระหนักตรงนี้ว่า องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถนำเอาหลักธรรมที่ในยุคนั้นไม่มีใครรู้เลย ไปเผยแผ่ให้พวกเขารู้ได้ จะต้องทำอย่างไร ?

อย่างที่บาลีเขาสรุปเอาไว้ว่าสันทัสสนา ต้องชัดเจนแจ่มแจ้ง ก็คืออธิบายได้ละเอียดลึกซึ้ง สมาทปนา จูงใจ อยากให้ติดตาม อยากให้ศึกษา สมุตเตชนา กระตุ้นให้เกิดความแกล้วกล้า พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อการศึกษานั้นได้ และสัมปหังสนา ต้องมีความรื่นเริงด้วย

ครูบาอาจารย์บางท่านสอนแล้วลูกศิษย์ติดเกรียวเลย เพราะว่าสอนสนุก บางทีก็หัวเราะกันทั้งชั่วโมง แต่ว่าส่วนใหญ่แล้ว นั่นเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัว เราจะเลียนแบบและทำตามก็ได้ แต่ต้องศึกษาเทคนิคและวิธีการอีกมาก

หลังจากทำพิธีปฐมนิเทศเสร็จสรรพเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็ไปสนทนากับหลวงพ่อวรพงศ์ ปภสฺสโร (พระครูปลัดวรเมธาวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดโนนสำราญ ตำบลห้วยหิน อำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ท่านเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดใต้ ที่ซอยอ่อนนุช ซึ่งกระผม/อาตมภาพอยู่แถวนั้นมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นวัดมหาบุศย์ วัดใต้ หรือวัดปากบ่อ ไล่ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงวัดยาง (หลวงพ่อโต) วัดขอม (วัดขจรศิริ)

หลวงพ่อวรพงษ์ท่านมาถามปัญหา ซึ่งท่านบอกว่าถามใครก็ตอบท่านไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ไม่รู้วิธีการก็คือหวงวิชา ท่านถามว่ากระผม/อาตมภาพ "มีเคล็ดลับในการพุทธาภิเษกอย่างไร ถึงเสกของได้ขลังมาก ?" กระผม/อาตมภาพก็กราบเรียนท่านไปว่า ถ้าสายหลวงพ่อฤๅษีฯ จริง ๆ แล้ว ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลย นอกจากกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์..!

แต่คราวนี้การที่เราจะทำอย่างนั้นได้ อันดับแรก เราต้องยึดพุทธานุสติเป็นหลัก ก็คือกำหนดภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด หายใจเข้า..ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุด หายใจออก..ให้ภาพพระไหลตามลมหายใจออกมาจนสุด ไม่ต้องไปสนใจว่าพระพุทธรูปจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร สีสันแบบไหน ขอเพียงให้มั่นใจว่ามีพระพุทธรูปอยู่กับเราก็พอแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2024 เมื่อ 01:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 26-05-2024, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นเมื่อมีความคล่องตัว กำหนดนึกเมื่อไรก็สามารถนึกถึงพระพุทธรูปไหลตามลมหายใจเข้า ไหลตามลมหายใจออกได้ ก็กำหนดให้ภาพพระพุทธรูปนั้น ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ลำดับแรกเลยก็ซ้อนกับตัวเรา หลังจากนั้นก็ใหญ่จนครอบเราไว้ทั้งตัว ใหญ่จนเต็มไปทั้งที่พัก ใหญ่จนเต็มไปทั้งวัด ใหญ่จนเต็มไปทั้งหมู่บ้าน ค่อย ๆ ขยายกว้างออกไป กว้างออกไปแบบนั้น เราจะรู้สึกเหมือนตัวเราสูงขึ้น..ใหญ่ขึ้น สูงขึ้น..ใหญ่ขึ้น ตลอดเวลา ซักซ้อมให้คล่องตัว คิดเมื่อไรต้องได้ทันที

ท่านทั้งหลายที่กระผม/อาตมภาพนำเจริญพระกรรมฐานในการปฏิบัติธรรมทุกครั้ง จะสงสัยว่าก็วิธีเดียวกันทุกอย่าง..ใช่ครับ วิธีเดียวกันทุกอย่าง เพียงแต่เวลาจะปลุกเสก เราอธิษฐานภาพพระนั้นให้ครอบลงบริเวณพิธีที่ตั้งวัตถุมงคลทั้งหมด

คราวนี้อีกส่วนหนึ่งก็คือต้องซักซ้อมบ่อย ๆ จนคล่องตัว ความรู้สึกเกิดขึ้นว่าให้กำหนดใจอย่างไร ต้องทำตามนั้น ให้ว่าคาถาบทใด ต้องว่าตามนั้น ถ้าหากว่าสามารถทำได้คล่องตัวขนาดนี้แล้ว ก็ซักซ้อมเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง ก็คือกำหนดเวลาไว้ อย่างเช่นว่า เจ้าภาพต้องการจนกระทั่งพระมหานาคเจริญพระพุทธมนต์พุทธาภิเษกจบ หรือว่าเจ้าภาพต้องการครึ่งชั่วโมง ต้องการ ๑ ชั่วโมง เราต้องกำหนดเข้าสมาธิได้ตามนั้น ถึงเวลาจิตเคลื่อนคลายออกมา จะตรงเวลาทุกอย่าง ที่กระผม/อาตมภาพทำแล้วบางคนแอบดู บอกว่า "เป๊ะมาก" ก็คือตรงเวลาทุกประการ


ท่านพระครูปลัดฯ ทำท่าขนลุกขนพอง บอกว่าฟังดูแล้วเหมือนกับทำได้เลย
กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ใช่ครับ..เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นสายหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงมา ทุกคนจะฝึกมโนมยิทธิมาอย่างช่ำชองแล้ว เราแค่ทำตามวิธีนี้เท่านั้น"

ส่วนสำคัญที่สุดก็คือการซักซ้อมบ่อย ๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพก็ซักซ้อมอยู่เสมอ จากการฝึกในเบื้องต้น ที่เหมือนอย่างกับภาพมืด ๆ ดำ ๆ เหมือนกับการมองสิ่งของในความมืด ก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เราซักซ้อมแบบ "หัวไม่วางหางไม่เว้น"

โดยเฉพาะในช่วงที่ฝึกใหม่ ๆ ประมาณปี ๒๕๒๑ กระผม/อาตมภาพเข้าไปซักซ้อมญาณ ๘ กับครูฝึกทุกครั้ง จนกระทั่งโดนไล่ออกจากวงมา ครูฝึกถามว่า "ตั้งใจมาลองของกันหรือไร ?" เนื่องเพราะว่าพอท่านเอ่ยคำแรก กระผม/อาตมภาพจะรู้แล้วว่า ทั้งประโยคจะถามว่าอะไร ก็ชิงตอบเสียก่อน ขณะที่คนอื่นทั้งวง ยังไม่รู้เลยว่าคำถามคืออะไร ทำให้การฝึกของคนอื่นเขาเสียหายหมด เมื่อโดนไล่ก็เดินหน้าเหี่ยวออกมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหัวเราะ บอกว่า "คล่องตัวขนาดนั้น ไปเป็นครูเขาได้แล้วลูก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2024 เมื่อ 01:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 26-05-2024, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,541 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ความจริงในตอนแรกไปเข้าใจว่า มโนมยิทธิเหมือนกับ "ตาเห็น" ก็คือมองกันแบบนี้ชัด ๆ เลย แต่ไม่ใช่ เพราะว่ามโนมยิทธิคือ "ใจเห็น" ทำอย่างไรที่เวลาเรานึกถึงผู้คน หรือสิ่งของที่เราคุ้นเคย แล้วรู้สึกได้ชัดเจนแบบนั้น เราจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ตาเห็น สิ่งต่าง ๆ ของเราก็ต้องซักซ้อมให้ได้ขนาดนั้น


กระผม/อาตมภาพซักซ้อมอยู่ ๑๐ กว่า ๒๐ ปี จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง กำหนดจิตไปที่ต้นไม้ แล้วสามารถแยกได้ว่าใบอ่อนใบแก่ต่างกันอย่างไร ตอนนั้นรู้สึกดีใจมาก เพราะว่าถ้าสภาพจิตของเราละเอียดถึงระดับนั้น การรู้เห็นอื่น ๆ จะชัดเจนและพลาดได้ยาก แต่ก็ยังเพียรพยายามที่จะมานะฝึกซ้อมต่อมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด ภาพพระที่ส่วนใหญ่จะเป็นแสงสว่างเจิดจ้า ไม่สามารถจะแยกออกว่ารูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร ก็เริ่มชัดเจนขึ้นตามลำดับ

จนกระทั่งอย่างทุกวันนี้ ที่เวลาพบอะไรมา ก็มานำเล่าถวายพวกท่านทั้งหลาย หรือว่าเล่าให้ญาติโยมได้ฟัง เฉพาะในส่วนที่เขาอนุญาต แต่ก็ยังมีการพลาดอยู่ดี อย่างวันก่อนที่เล่าเรื่องการฝึกบำเพ็ญบารมีของบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ในภูมิเปติวิสัย ก็คืออชคราทิเปรต แล้วบอกว่าท่านฝึกเป็นพันปี ก็แค่ไม่กี่วันเท่านั้น เนื่องเพราะว่าเวลาโลกมนุษย์กับเวลาของภูมิเขาต่างกันมาก

ปรากฏว่า "ท่านสุ่ยหลง" มาแก้ข่าว ท่านบอกมาหลายวันแล้ว ก็คือบอกตั้งแต่วันนั้นเลย แต่กระผม/อาตมภาพไม่มีเวลามาบอกกล่าวกับพวกเรา ก็คือระยะเวลาฝึกที่เป็นพันปีนั้น เป็นพันปีของเขา ไม่ใช่พันปีของเรา ถ้าเป็นพันปีของเรา แค่ไม่กี่วันของเขา ก็ดูจะง่ายเกินไป

คาดว่าถ้าหากว่าหลวงพ่อวรพงศ์ท่านไปทำวิธีนี้ อีกไม่นานเราก็น่าจะมีพระเกจิอาจารย์ที่สามารถเสกของได้ขลังอีกหนึ่งท่านขึ้นมาในยุทธจักรของเรา เนื่องเพราะว่าท่านอายุกาลพรรษามากกว่า แต่ยังอุตส่าห์ลดตัวลงมาสอบถาม แล้วนิสัยของกระผม/อาตมภาพก็คือ
คนรู้และทำได้มากเท่าไร กระผม/อาตมภาพก็เหนื่อยน้อยลงเท่านั้น ครูบาอาจารย์สอนมา ท่านก็ไม่เคยปิดบังความรู้ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ปิดบังความรู้เช่นกัน เพราะว่าถ้าปุบปับเป็นอะไรไป บางทีเรื่องที่รู้ก็จะตายกับตัวเองไปเลย..!

เพียงแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ได้เตือนท่านไปก็คือว่า เวลาฟังคำสอนครูบาอาจารย์ อย่าฟังเป็นคำสอน แต่ให้ฟังเป็นคำสั่ง ว่าครูบาอาจารย์สั่งให้เราทำแบบนี้ ถ้าเราฟังคำสอนเป็นคำสอน ก็คือจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าฟังเป็นคำสั่ง ก็คือต้องทำ..!

ดังนั้น..การวางกำลังใจจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติธรรม วางกำลังใจผิด ความขยันขันแข็งพากเพียรก็มีน้อย ความก้าวหน้าก็น้อยตามไปด้วย ถ้ามีวาระอกุศลกรรมเข้ามาแทรก ก็อาจจะถึงขนาดสึกหาลาเพศไปเลย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ท่านเองก็บอกไว้ว่า "ถ้ามีโอกาสจะมาขอความรู้ด้านอื่นเพิ่มเติมอีก"

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2024 เมื่อ 01:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว