กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-05-2024, 19:46
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-05-2024, 00:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ เมื่อคืนพอก้าวลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ก็รู้เลยว่าอากาศต่างกันราวฟ้ากับเหว จากอากาศที่แห้ง เย็น สดชื่น ในบริเวณที่ไปมา กลายเป็นอากาศชื้นร้อน ๓๑ องศาเซลเซียส ถ้าร่างกายไม่ดีนี่ป่วยได้ทันทีเลย..!

แต่ว่าด้วยความอนุเคราะห์สงเคราะห์ของหลวงปู่ไห่ทง ที่ขี่หัวท่านสุ่ยหลงมาส่งแบบเท่มาก ก็เลยทำให้เครื่องบินถึงก่อนเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเช่นเดิม แล้วกระผม/อาตมภาพก็เห็นอย่างชัดเจนว่า ท่านสุ่ยหลงที่ว่านั้น เป็นลักษณะของมังกรที่ดำสนิท ดำเป็นนิลเลย ถามว่า "ทำไมถึงดำ ?" ท่านบอกว่า "คนจีนถือว่าสีดำเป็นสัญลักษณ์ของธาตุน้ำ" กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าท่านเป็น "มังกรน้ำ"

พอเข้าถึงที่พัก คนอื่นอาจจะสลบไสลไม่ได้สติ แต่กระผม/อาตมภาพต้องหาความรู้ตรงนี้ให้ได้ก่อนว่า อันดับแรกที่ท่านสุ่ยหลงบอกว่า
พรรคพวกของท่านมีทั้งที่บำเพ็ญตบะมาจากงูเหลือม อีกคนหนึ่งมาจากปลาหลี ที่คนจีนเรียกว่าหลีฮื้อ นั่นใช่หรือ ?

คำถามแรกที่กระผม/อาตมภาพถามหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านก็คือ "สัตว์สามารถที่จะบำเพ็ญภาวนาได้ด้วยหรือครับ ?" ท่านตอบว่า "เอ็งโง่เกินไป..!" โดนครูบาอาจารย์ด่าจนได้ "พญาฉัททันต์ใช่สัตว์หรือไม่ ? พญาภูริทัตใช่สัตว์หรือไม่ ?" เจอเข้าไปแค่สองราย กระผม/อาตมภาพก็หงายผึ่งแล้ว..!

แล้วมานึกถึงใคร ? มานึกถึง "ท่านทหาร" หมาที่วัดท่าซุง ตัวนี้สุดยอดมาก พอถึงเวลาพระขึ้น "โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯ" ท่านทหารหมอบลงปั๊บ จิตใสเป็นแก้วทั้งดวงเลย ถ้าเป็นคนก็ระดับทรงฌาน ๔ เลย..! แล้วทรงได้คล่องตัวถึงขนาด พอถึงเวลาพระกราบพระ "อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา ฯ" ท่านทหารลุกขึ้น สะบัดตัวพรืด เดินไปหาที่เตรียมเจริญกรรมฐานต่อแล้ว
นั่นระดับทรงฌานตั้งเวลาได้ด้วย..!

อีกส่วนหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพต้องเป็นคนขี้สงสัยก็คือว่า "แล้วสัตว์มีอายุยืนเป็นพัน ๆ ปีเลยหรือ ?" พวกคุณสงสัยอย่างผมหรือเปล่า ? หรือว่าสงสัยก็ไม่กล้าถาม ? หลวงพ่อท่านตอบว่าพวกนั้นเป็นสัตว์ในแดนเปรต ที่เรียกว่าอชคราทิเปรต เป็นเปรตในร่างสัตว์ เวลาของเขากับเราต่างกันมาก ดังนั้น..ถ้าเขาตั้งใจบำเพ็ญบารมี ของเราบางทีผ่านไป ๑๐๐ ปี ของเขาเพิ่งจะได้ ๒ วัน ก็แปลว่าถ้าพันปี ก็ ๒๐ วัน ยังไม่ทันจะถึง ๑ เดือนของเขาเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2024 เมื่อ 03:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 18-05-2024, 00:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้ปัญหาต่อไปก็คือว่า "มีตัวอย่างไหมครับ ?" หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า "สมัยที่ข้าไปนิวซีแลนด์ มีปลายักษ์ตัวหนึ่งอยู่ในทะเลสาบเตาโป ตัวยาวเป็นไมล์เลย..! เขาอยู่ในสมาธิตลอด ก็เลยไม่ได้กินอาหารอะไรมากมาย นอกจากกินตะไคร่น้ำเล็กน้อย ก็ยังร่างกายอยู่ได้ ส่วนใหญ่พอทรงสมาธิคล่องตัว ร่างกายจะดึงเอาธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้าไปใช้งานเองโดยไม่ต้องกิน" ไม่อย่างนั้นถ้าปลายักษ์ตัวยาวเป็นไมล์นี่ กระผม/อาตมภาพว่าเรือบรรทุกทั้งลำก็คงจะกลืนลงไปในคำเดียว..!

สิ่งต่อไปก็คือ "ท่านสุ่ยหลงเป็นอินทกะของท้าววิรูปักษ์มหาราช แล้วไอ้สองตัวนั้นเป็นใครครับ ? ก็คือตัวหนึ่งมาจากงู อีกตัวหนึ่งมาจากปลา ?" หลวงพ่อท่านบอกว่า "ท้าวจาตุมหาราชนั้นปกครองบรรดาผีและสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ทั้งหมดด้วย ไอ้เจ้างูนั่นกับปลาเท่ากับเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ ดังนั้น..พอถึงเวลาบำเพ็ญบารมีไปจนสามารถเลื่อนภพภูมิได้ ก็เลยไปอยู่ในภพของท้าวจาตุมหาราช เจ้าสองตัวนั่นถือว่าเก่งมาก" ถามว่า "ทำไมถึงเก่งมาก ?" ก็เพราะว่าเขาข้ามจากภูมิเดรัจฉาน หรือว่าภูมิเปรต ขึ้นไปสู่ภูมิของเทวดาเลย..!

แม้ว่าจะเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา คุณอย่าคิดว่าเข้าได้ง่าย ๆ อันดับแรกเลย ต้องมีหิริ โอตตัปปะ รู้จักละอายต่อความชั่ว ไม่กล้าทำความชั่ว เพราะกลัวผลจะสนองแก่ตน จะต้องมีศีล ๕ เป็นปกติ ถ้าไม่มีศีล ๕ เป็นต้นทุน จะขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาไม่ได้ แล้วชั้นจาตุมหาราช ยังต้องทรงสมาธิได้ เพียงแต่ว่าตอนตายไม่ได้เข้าสมาธิ ไม่อย่างนั้นจะไปเป็นพรหมเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน..!

แล้วเราลองคิดดูว่า งูตัวหนึ่งในภูมิของเปติวิสัย จัดอยู่ในอชคราทิเปรต ปลาตัวหนึ่งอยู่ในเปติวิสัย จัดอยู่ในประเภทอชคราทิเปรต สามารถก้าวขึ้นไปเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ส่วนไอ้คุณทหารไปเป็นพรหมเลย
กระผม/อาตมภาพว่าพวกท่านน่าจะอายหมากันบ้างนะ..!

ดังนั้น..หลายเรื่องที่ไม่มีปรากฏชัดอยู่ในพระไตรปิฎก หรือมีปรากฎอยู่ แต่ว่าเราไม่สามารถที่จะจับจุดทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจน เมื่อไปเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า
กระผม/อาตมภาพก็ต้องหาความรู้เพิ่มเติมขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะคาใจต่อไป

ตรงนี้ต้องตำหนิว่าเป็นความผิดของกระผม/อาตมภาพเอง เพราะว่าวิสัยเดิมเคยเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน ตั้งใจที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
บุคคลที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องศึกษาทุกเรื่องให้รู้ครบถ้วนสมบูรณ์ถึงจะเป็นได้ ในเมื่อทำไปมาก ๆ แม้ว่าจะลาแล้ว ไม่ต้องการจะเป็นแล้ว แต่สันดานเดิมเลิกไม่ได้ สงสัยเมื่อไร ต้องหาคำตอบให้ได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2024 เมื่อ 03:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 18-05-2024, 00:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..ด้วยความที่สงสัยว่าหน้าตาอย่างนี้เทวดาชัด ๆ แต่ท่านสุ่ยหลงบอกว่าเป็นงูตัวหนึ่ง เป็นปลาตัวหนึ่ง แล้วยังมีข้อต่างกันด้วย ก็เลยถามไปว่า "แล้วไอ้ที่คุณบอกว่าเป็นมังกรแท้นั่น แท้ตรงไหนวะ ?"

ท่านสุ่ยหลงบอกว่า "เขาเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชจากความเป็นมนุษย์เลย แล้วเป็นบริวารของท่านท้าววิรูปักษ์มหาราช บริวารของท้าววิรูปักษ์ เวลาจะทำงานจะแสดงเพศเป็นงูใหญ่ คนไทยเรียกว่าพญานาค คนจีนเรียกว่ามังกร ในเมื่อเขาขึ้นไปเกิดตรง ๆ เลย คนจีนเขาก็เลยนับถือว่าประเภทนี้คือมังกรแท้ ส่วนอีกประเภทหนึ่ง มาจากภพภูมิอื่น กลายเป็นมังกรเหมือนกัน แต่ถือว่าเป็นมังกรระดับรองลงมา จะเรียกว่ามังกรเทียมก็คงจะไม่ได้"

บางอย่างพูดไปแล้ว เหมือนกับ
กระผม/อาตมภาพบ้าอยู่คนเดียว แต่ว่าพอเล่าให้พวกท่านทั้งหลายฟัง ก็คงจะ "คัน" อยากรู้ขึ้นมาเหมือนกัน บางคนก็อยากรู้ถึงขนาดถามกระผม/อาตมภาพว่า "เจ้าที่ตรงนั้นชื่ออะไร ?" ถ้าอยู่ใกล้ ๆ กระผม/อาตมภาพจะถีบให้สักที..!

เพราะว่าอันดับแรกเลย ถ้าไม่ไปถึงสถานที่นั้น หรือไม่มีความเนื่องกัน บางทีท่านก็ไม่ปรากฏตัวเลย อันดับที่สอง ก็คือการที่จะรู้จักมักคุ้น ถึงขนาดเรียกชื่อกันได้ คุณต้องมีต้นทุนพอ ไม่ใช่ถามไปส่งเดช แล้วเหมือนอย่างกับเด็กที่ไม่รู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่ จิกหัวเรียกผู้ใหญ่เลย เหมือนอย่างกับบ้านเราที่มีตลกชื่อดังในอดีตของเรา ก็คือ "ล้อต๊อก" ตอนนั้นอายุ ๖๐ กว่าแล้ว ไปเจอเด็กนักเรียนเรียก "ไอ้ต๊อก..!" แล้วคุณคิดว่าเป็นเรื่องที่สมควรไหม ?

ในเรื่องของผู้ใหญ่ หรือว่าพรหม เทวดา ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะเรียก "พ่อปู่ แม่ย่า" อะไรก็ได้ แต่อย่าไปเรียกชื่อตรง ๆ ถ้าท่านบอกชื่อใครตรง ๆ แปลว่าคนนั้นเรียกได้คนเดียว หรือคนอื่นอาจจะเรียกได้ แต่ก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกับคนนั้นด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ไปเรียกส่งเดช จะหาความซวยใส่ตัวโดยใช่เหตุ..! มิหนำซ้ำ..หลายท่านพอรู้แล้ว บางทีก็ไปรบกวนท่านจนเกินเหตุ อยากได้ไอ้โน่น อยากได้ไอ้นี่ ขอให้ช่วยไอ้นั่น จนกระทั่งเทวดาหลักเมืองสองพี่น้องที่ศรีลังกาบอกกระผม/อาตมภาพเลยว่า "ท่านอย่าไปบอกว่าผมชื่ออะไร"

ศรีลังกามีเจ้าพ่อหลักเมืองสองคน หรือว่าสององค์ เป็นผู้หญิงกับผู้ชาย เป็นพี่น้องกันด้วย ปกปักรักษาพระพุทธศาสนามานานมากแล้ว ท่านรายงานตัวแล้วย้ำด้วยว่า "อย่าบอกใครว่าผมชื่ออะไร เพราะว่าลูกศิษย์ของท่านทำแสบกับคนอื่นไว้เยอะแล้ว พวกผมไม่อยากจะเดือดร้อน..!" หรือพูดง่าย ๆ ว่าไม่อยากจะช่วยคนที่ขอส่งเดชนั่นเอง..!

ดังนั้น..ถ้าหากว่าไปศรีลังกา ก็นึกถึงท่านว่าเป็นเจ้าพ่อหลักเมือง หรือเทวดาผู้พิทักษ์ประเทศศรีลังกาก็ได้ ไม่รู้จักชื่อก็ไม่เป็ไร เรียก "พ่อปู่ - แม่ย่า" ก็ได้ เพียงแต่ระลึกถึงท่านโดยตรง ไม่ใช่ไปจิกหัวเรียกเลยตามที่ผ่าน ๆ มา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2024 เมื่อ 03:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 18-05-2024, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายต่อหลายอย่าง สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นั้นเป็นความจริงทั้งหมด เพียงแต่ว่าเมื่อไรจะมีบางท่านที่ไปพบแล้วนำมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

การรู้เห็นเป็นของแถมในการปฏิบัติ ถ้าจิตใจของเราสงบถึงที่สุด จะรู้เห็นขึ้นมาเอง เพราะว่าสภาพจิตของเราเหมือนกับน้ำ ถ้ากระเพื่อมด้วยแรง รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่สามารถที่จะเห็นอะไรได้ แต่ถ้าหากว่านิ่งสงบ ราบเรียบเหมือนกระจกเมื่อไร จะสะท้อนเงาทุกอย่างลงไปได้ชัดเจนมาก

แต่ต้องระมัดระวังการทดสอบ อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกว่า เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วยเขา จะโดนเขากระทืบตาย เพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..! เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมาจริงไหม ? ก็จริง แล้วเรื่องที่เห็นจริงไหม ? ไม่จริง เพราะว่าเขากำลังเล่นหนัง ถ่ายภาพยนตร์กันอยู่

ในสมัยที่บวชอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ ในระหว่างพระพี่พระน้องด้วยกัน เมื่อตอนค่ำหลังเลิกกรรมฐานแล้วก็มาฉันน้ำปานะ มาพูดคุย วิเคราะห์วิจัยส่วนที่ได้พบเห็นกันมา แล้วท้ายที่สุด ทุกคนมีข้อสรุปลงเหลือคำเดียวเหมือนกันว่า "กูไม่เชื่อ" ต่อให้เรื่องที่ ๑ ถูกต้อง เขามาบอกเรื่องที่ ๒ ก็อย่าเพิ่งเชื่อ เรื่องที่ ๑ เรื่องที่ ๒ ถูกต้อง เรื่องที่ ๓ ก็อย่าเพิ่งเชื่อ แล้วจะทำใจอย่างไร ? รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ ถ้าเกิดขึ้นตามนั้น แล้วค่อยน้อมใจขอบคุณที่ท่านอุตส่าห์มาบอก

แต่ส่วนที่เราควรทำที่สุดก็คือรักษากำลังใจของตนเองเอาไว้ อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามากินใจ อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง ทำใจของเราให้ขุ่นมัว ไม่อย่างนั้นทิพจักขุญาณถ้าไม่แจ่มใส ก็ยิ่งจะโดนหลอกลวงได้ง่ายขึ้น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2024 เมื่อ 03:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 18-05-2024, 00:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..การรู้เห็นที่เป็นของแถมในการปฏิบัติ จึงมักจะมีโทษมากกว่าประโยชน์ พรรคพวกของกระผม/อาตมภาพคนหนึ่ง จะโดนเขากระทืบตายเหมือนกัน เพราะดันไปบอกเมียของอีกคนหนึ่งว่า "คุณเคยเป็นเมียผมมาก่อน" ทั้ง ๆ ที่ผัวเขายืนหัวโด่อยู่ตรงนั้น..!

อย่าลืมว่าเรื่องที่ตัวเองพูดเป็นเรื่องในอดีต ผ่านมาจนกระทั่งคนอื่นเขาจำกันไม่ได้แล้ว แค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ก็พอ ดันทะลึ่งไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ แล้วส่วนใหญ่ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิกัน ก็มักจะเป็นแบบนี้ ก็คือรู้แล้วก็ไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่

มโนมยิทธิ หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสอนให้เรา
รู้เพื่อละ ไอ้เจ้าพวกนี้รู้แล้วไปยึด คนที่ลอยคออยู่ในทะเลทุกข์ ไปกอดคอกันเป็นพรวน ก็จะจมน้ำตายกันทั้งคณะ..! ต้องรีบตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเอาตัวรอดให้ได้ก่อน แล้วค่อยหันกลับไปช่วยคนอื่น

ดังนั้น..ขอย้ำอีกครั้งว่า การรู้เห็นนั้น เราควรที่จะรู้เพื่อละ ส่วนที่ควรรู้ที่สุด คือกำลังใจของตนเองว่า มี รัก โลภ โกรธ หลง หรือไม่ ? ถ้ามีอยู่ เร่งขับไล่ออกไป แล้วระมัดระวังไว้ อย่าให้กลับเข้ามา กำลังใจของเรามีความดีอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังไม่มี ทำให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้ว ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ถึงจะเป็นการรู้ใจที่เกิดประโยชน์ที่สุด

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-05-2024 เมื่อ 03:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:47



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว