กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-05-2024, 18:08
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,592
ได้ให้อนุโมทนา: 217,032
ได้รับอนุโมทนา 749,119 ครั้ง ใน 36,501 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 08-05-2024, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,646 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ตั้งแต่ ๖ โมงเช้า เพื่อเข้าร่วมลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ เนื่องในวันพระแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งถ้าหากว่าเป็นวันพรุ่งนี้ก็จะเข้าสู่เดือน ๖ แล้ว

ความจริงแล้วการลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์นั้น ถ้าเป็นตามพระธรรมวินัยแล้ว ท่านให้ลงในช่วงบ่าย เนื่องเพราะในพระวินัยระบุว่าเมื่อตะวันบ่ายคล้อยไปแล้ว ก็แปลว่าตั้งแต่หลังเที่ยงเป็นต้นไป แต่ว่าหลายแห่งก็ลงอุโบสถในเวลาค่ำกันไปเลย เพราะว่าต้องรอให้แน่ใจว่าไม่มีพระอาคันตุกะในบริเวณใกล้เคียง มาลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ด้วยกัน

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า
ในอดีตพระภิกษุนั้นมีความเคร่งครัดในพระวินัยมาก และการลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน เป็นเรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ ถ้าละเมิดก็แปลว่าศีลขาด..!

บางรูปบางท่านอาศัยอยู่ในป่า หรือว่าในสถานที่ทุรกันดาร กว่าจะเดินทางออกมาถึงวัดที่มีอุโบสถ แล้วมีพระวินัยธรผู้ทรงพระปาฏิโมกข์ บางทีก็เป็นเวลาเย็นย่ำ หรือว่าค่ำลงไปแล้ว เป็นต้น จึงทำให้วัดนั้น ๆ ตัดสินใจลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์กันในช่วงค่ำไปเลยทีเดียว ส่วนทางวัดท่าขนุนนั้น เราลงอุโบสถกันเวลา ๑๓.๓๐ น. ก็คือบ่ายโมงครึ่ง แปลว่าต้องการให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

ส่วนการลงอุโบสถนั้นระยะหลังนี้ วัดวาอารามเจริญกันมาก ส่วนใหญ่ก็มีอุโบสถกันเกือบทุกแห่ง แม้แต่สำนักสงฆ์ หรือที่พักสงฆ์บางแห่ง ก็สร้างอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอเวลาในการยกขึ้นเป็นสำนักสงฆ์ หรือว่าเป็นวัดเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2024 เมื่อ 01:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 08-05-2024, 00:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,646 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ในปัจจุบันนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรอพระภิกษุจากวัดอื่นมาลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ร่วมกัน ยกเว้นว่าวัดที่ท่านมีผู้มาเข้าร่วมฟังพระปาฏิโมกข์ด้วยกันเป็นประจำอยู่แล้ว ท่านก็จะรู้ว่ามีใครบ้าง และรอจนกระทั่งมากันครบ หรือถ้าหากว่าติดภารกิจประการใดก็ตาม ก็จะใช้วิธี "มอบฉันทะ" ให้บุคคลอื่นที่ลงพระปาฏิโมกข์นั้น ถ้ามีการตัดสินสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยพระธรรมวินัยแล้ว ก็ให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก เป็นต้น

อย่างเช่นกระผม/อาตมภาพ ก็จะ "มอบฉันทะ" ให้กับพระภิกษุวัดท่าขนุนลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์แทน ถ้ามี "อธิกรณ์" ใด ๆ เกิดขึ้น เสียงส่วนมากพิจารณาไปในแนวทางใด กระผม/อาตมภาพก็เห็นตามเสียงส่วนมากนั้น ๆ เป็นต้น

แต่ทางวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) นั้น ตั้งแต่พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ก็เลื่อนการลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน มาเป็นช่วงเช้ามืด เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ท่านเองต้องการที่จะลงทบทวนพระปาฏิโมกข์ตามพระธรรมวินัยด้วย

แต่ขณะเดียวกัน เมื่อเป็นพระราชาคณะ เป็นเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ซึ่งโด่งดังมาก มีแต่ผู้พึ่งพาอาศัย คนโน้นก็นิมนต์ คนนี้ก็นิมนต์ ก็ต้องออกกิจนิมนต์กันชนิด เช้า สาย บ่าย เที่ยง เย็น กันไปเลย จึงทำให้ถ้าไม่ลงอุโบสถเสียตั้งแต่เช้ามืด ก็อาจจะไม่ได้ทบทวนพระปาฏิโมกข์ของเดือนนั้น ๆ ไป ท่านจึงตัดสินใจแจ้งให้คณะสงฆ์ทราบว่า จะลงอุโบสถกันทุก ๖ โมงเช้า ของวันพระใหญ่นั้น ๆ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพที่ตั้งใจว่าจะมาร่วมงานอบรมเจ้าอาวาสใหม่ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ รุ่นที่ ๓/๒๕๖๗ ให้ได้ทุกวัน จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งรีบเดินทางมาให้ทัน ๖ โมงเช้า เพื่อลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ร่วมกัน ขนาดนั้นเมื่อไปถึง ปรากฏว่าพระวินัยธรผู้ทรงพระปาฏิโมกข์ได้ตั้งนะโมฯ พอดี กระผม/อาตมภาพจึงก้าวเข้าอุโบสถไปกราบพระ และตั้งใจร่วมทบทวนพระปาฏิโมกข์ด้วย

หลายท่านอาจจะคิดว่า ถ้าหากว่าเขาเริ่มกันแล้ว เราไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ ความจริงแล้วถ้าบุคคลผู้มาใหม่ มีจำนวนน้อยกว่าพระภิกษุที่ลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์อยู่ สามารถที่จะเข้าร่วมไปได้เลย แต่ถ้าหากว่าผู้ที่มาใหม่นั้นมีจำนวนมากกว่า การลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ครั้งนั้นก็ต้องหยุดลงกลางคัน เมื่อพระท่านเข้ามาครบแล้วค่อยเริ่มต้นกันใหม่

ดังนั้น..การแสดงพระปาฏิโมกข์ในครั้งนี้ จึงสามารถที่จะว่าต่อเนื่องไปได้ โดยเฉพาะยังไม่ทันที่จะเริ่ม "นิทานุทเทส" ก็คือบทเริ่มต้นเกริ่นนำเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2024 เมื่อ 01:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-05-2024, 00:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,646 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อทบทวนพระปาฏิโมกข์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กระผม/อาตมภาพออกมาร่วมฟังโอวาทของพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. เจ้าคณะภาค ๑๔ หรือว่าหลวงพ่อเจ้าคุณแย้ม เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงได้ฉันเช้าร่วมกับบรรดาผู้เข้ารับการอบรมเจ้าอาวาสใหม่ รุ่นที่ ๓/๒๕๖๗ แล้วร่วมกิจกรรมกันต่อไป

ในเรื่องของพระวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บางอย่างเราก็ต้องชัดเจน เพื่อที่จะต้องช่วยกันรักษาเอาไว้ เพราะว่า
พระวินัยนั้นเปรียบเหมือนรากแก้วของพระพุทธศาสนา กระผม/อาตมภาพไปเจอพระภิกษุทางด้านประเทศพม่า ที่บางอย่างท่านไม่มีความเคร่งครัด อย่างเช่นว่าเดินจับมือถือแขนกับผู้หญิงก็ดี เดินโอบไหล่ไปอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกันก็ดี และเป็นสิ่งที่ชาวบ้านญาติโยมไม่ตำหนิติเตียนเสียด้วย..!

เมื่อกระผม/อาตมภาพสอบถาม พระท่านอธิบายว่า เขายึดพระธรรมเป็นหลัก เนื่องเพราะว่าพระธรรมเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา ดังนั้น..ในเรื่องของพระวินัย จึงสามารถที่จะผ่อนปรนได้ กระผม/อาตมภาพได้ฟังคำอธิบายแล้ว ก็ได้แต่กลืนน้ำลาย คิดว่า ถ้าหากว่าต้นไม้คือพระพุทธศาสนาของเรามีแต่แก่น แต่หารากไม่ได้ แล้วต้นไม้ต้นนั้นจะยืนอยู่ได้อย่างไร ? แต่ก็ไม่ได้คัดค้านท่าน เพียงแต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติตามไปด้วยเท่านั้น

โดยเฉพาะในส่วนของการขึ้นรถเมล์ ขึ้นยานพาหนะต่าง ๆ นั้น กระผม/อาตมภาพโดนผู้หญิงพม่านั่งตักมาแล้ว..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตอนนั้นกำลังจะเดินทางจากจังหวัดพะยาจี เพื่อที่จะไปยังเมืองไจ๊โท สักการะพระบรมธาตุอินทร์แขวน ไปยืนโบกรถสองแถวอยู่กับครูบาน้อย (อดีตพระนาวิน สจฺจญาโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองบัว จังหวัดจะอีน ประเทศพม่า)

เมื่อเห็นรถสองแถวมา กระผม/อาตมภาพก็โบกเรียก ครูบาน้อยท้วงว่า "ด้านหน้าไม่ว่างนะครับอาจารย์" กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "เราไม่เอาความสบาย เอาความสะดวกดีกว่า มัวแต่รอคันต่อ ๆ ไป เมื่อไรจะไปถึงเมืองไจ๊โทเสียที เรายังต้องเดินขึ้นยอดเขาอีก จะค่ำมืดดึกดื่นเสียก่อน" ครูบาน้อยก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2024 เมื่อ 01:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-05-2024, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,646 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เมื่อขึ้นไปบนรถแล้ว มีที่ให้นั่ง กระผม/อาตมภาพก็นั่งลง ครั้นถึงเวลาคนขึ้นมาจนเต็มทางด้านท้ายแล้ว ครั้นจอดป้ายต่อไป มีญาติโยมที่เป็นผู้หญิงเดินขึ้นมา มองซ้ายมองขวาแล้ว เห็นพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งของญาติโยมอย่างแน่นอนแล้ว ก็หย่อนก้นลงนั่งบนตักของกระผม/อาตมภาพเลย ทำเอากระผม/อาตมภาพแทบจะสะดุ้งหัวชนหลังคา แต่ว่าจะขยับหนีก็ไม่ได้ เนื่องเพราะว่าแม่เจ้าประคุณมองตาเขียวปั๊ด ประมาณว่าอาศัยแค่นี้ไม่ได้หรืออย่างไร ต้องทำท่าขยับตัวเสียขนาดนั้นด้วย ?!!

กระผม/อาตมภาพถึงได้เข้าใจว่า ทำไมพระภิกษุสามเณรของประเทศพม่า จึงนิยมนั่งบนหลังคารถโดยสารกันเต็มไปหมด ? โดยที่กระผม/อาตมภาพก็เห็นว่าข้างล่างยังมีที่ว่างอยู่ ทำไมท่านทั้งหลายจึงหาความสำรวมไม่ได้เลย ขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังคา เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า หลังจากนั้นกระผม/อาตมภาพก็ขึ้นไปนั่งบนหลังคากับเขาเหมือนกัน..!

ดังนั้น..ในเรื่องของพระวินัยนั้น บางอย่างเราปรับได้ แต่ว่าถ้าไปปรับจนกระทั่งหมดสภาพของความเป็นพระธรรมวินัย ก็เป็นอันว่าพระพุทธศาสนาของเราต้องเสื่อมทรามลงเป็นแน่แท้..!

ในเมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ก็นึกได้ว่าในบรรดาเจ้าอาวาสใหม่นั้น มีคำถามว่า "พระภิกษุขับรถยนต์ผิดพระธรรมวินัยหรือไม่ ?" กระผม/อาตมภาพอยากจะเรียนกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าอ่านพระวินัยปิฎกไม่ละเอียด แม้กระทั่งการนั่งรถยนต์ ก็ยังผิดพระวินัยเลย..!

ท่านทั้งหลายที่ได้ฟังตรงนี้อาจจะทำตาโต แต่ความจริงแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามเอาไว้ว่า ไม่ให้พระภิกษุไปด้วยยาน ก็คือพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นยานที่เป็นเกวียน ใช้แรงสัตว์ลากก็ดี ยานที่เป็นคานหาม เป็นวอสีวิกากาญจน์ที่ใช้คนหามก็ตาม นอกจากประการที่หนึ่ง เจ็บไข้ได้ป่วย เราจะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงมีข้อที่อนุโลมให้ยกเว้นได้

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ายวดยานคานหาม หรือว่าเกวียนนั้น ต้องใช้แรงคนแรงสัตว์ ถ้าหากว่าพระของเราซึ่งเป็นผู้ละกิเลสแล้ว ไปทำในลักษณะโดยสารแบบเต็มภาคภูมิ ก็จะกลายเป็นที่ตำหนิของนักบวชศาสนาอื่น หรือว่าศาสนิกของศาสนาอื่น ๆ ได้ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเมตตา อนุญาตให้สามารถที่จะโดยสารยานเหล่านั้นได้ ถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2024 เมื่อ 01:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 08-05-2024, 00:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,646 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการต่อไปก็คือ ระยะทางในการเดินทางนั้น เกินกำลังที่จะเดินด้วยตนเอง ถ้าลักษณะอย่างนี้ การโดยสารรถในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดพระวินัย ยกเว้นว่าท่านทั้งหลายจะไปคิดมาก ว่าเป็นเรื่องการผิดพระวินัย แล้วไปเดินเอา ก็ตามใจท่านเถิด..!

แบบเดียวกับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเว้นเอาไว้ว่า ภิกษุจักสวมรองเท้าก็ต่อเมื่อ ประการที่หนึ่ง มีบาดแผล เพราะว่าการมีบาดแผล ถ้าไม่สวมรองเท้าก็จะทำให้สกปรก อาจจะติดเชื้อได้ง่าย ประการที่สอง เท้าบาง เดินแล้วเจ็บเท้า ปัจจุบันนี้ แทบทุกรูปทุกคนก็คงจะอยู่ในหัวข้อนี้ ก็คือเท้าบาง เดินแล้วเจ็บเท้า ไม่เช่นนั้นแล้วก็ทรงอนุญาตให้สวมรองเท้าได้เฉพาะในอาราม คือเฉพาะในวัด หรืออุปจารแห่งอาราม ก็คือรอบบริเวณวัดเท่านั้น ไกลกว่านั้นไม่ให้สวมรองเท้า

แต่ครั้นมีข้ออนุญาตตรงที่ว่าเท้าบาง เดินแล้วเจ็บเท้า ก็อนุโลมว่าทุกวันนี้พวกเราส่วนใหญ่ก็เท้าบางกันทั้งสิ้น จึงสามารถที่จะสวมได้ แต่ว่าเวลาออกบิณฑบาต ซึ่งเราไม่ได้เดินทางไกลจนกระทั่งเท้าบางก็รับภาระไม่ไหว อย่างนั้นเราก็ต้องถอดรองเท้าเพื่อออกบิณฑบาต ยกเว้นหลายท่านที่ไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้สวมรองเท้าออกบิณฑบาต แต่ว่าท่านจะต้องถอดรองเท้าในขณะที่รับบาตรทุกครั้ง ซึ่งถ้าเผลอลืมเมื่อไร ก็กลายเป็นว่าเราไม่เคารพในทานนั้น ๆ โดนอาบัติอีกต่างหาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง

ในเมื่อประเด็นที่ว่า
ภิกษุสามารถที่จะโดยสารยานพาหนะได้แล้ว ภิกษุสามารถที่จะขับขี่ยานพาหนะนั้นได้หรือไม่ ?

ตรงจุดนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตแค่ว่า ถ้าเป็นยานที่ใช้แรงสัตว์ในการลากจูง บุคคลผู้ขับขี่จักเป็นชายหรือเป็นหญิงก็ได้ ก็คือจักเป็นบุรุษหรือมาตุคามก็ได้ ก็แปลว่าถ้าเป็นคนขับรถ จะเป็นผู้หญิงก็ได้ จะเป็นผู้ชายก็ได้ หรือว่าถ้าเป็นยวดยานคานหาม ผู้หามจะเป็นผู้หญิงก็ได้ เป็นผู้ชายก็ได้ ไม่ได้ทรงห้าม แต่ว่าไม่ได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสามเณรขับรถด้วยตนเอง เนื่องเพราะว่าจะอยู่ในลักษณะของ "อนาจาร" คือการไม่สำรวมต่อพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัยอย่างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2024 เมื่อ 01:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 08-05-2024, 00:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,646 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเห็นว่าในสมัยนี้บางท่านก็ไปอยู่ในสถานที่ลึกมาก และหาคนมาขับรถให้ยาก ถ้ามีเรื่องฉุกเฉินขึ้นมา อย่างเช่นว่าภายในวัดมีพระภิกษุสามเณรเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ต้องถึงมือหมอในระยะเวลาอันรวดเร็ว ก็สามารถที่จะอนุโลมให้ขับรถ เพื่อที่นำมาส่งยังโรงพยาบาลได้ แต่ตรงนี้ก็ต้องมาพิสูจน์ทราบกันว่า ที่ท่านขับรถนั้น ท่านขับเพราะสาเหตุอะไร ? แล้วการที่จะมาลงโทษ ก็คงจะมีในลักษณะตักเตือนบ้าง ตำหนิโทษบ้าง ภาคทัณฑ์บ้าง ซึ่งหนักเบากันไปตามสถานการณ์ แต่ว่าไม่มีการลงโทษอื่น ๆ ที่หนักกว่านี้

หากแต่ว่าข้อนี้นั้นจัดเป็นโลกวัชชะ ก็คือโลกติเตียน ผิดทางโลกด้วย ผิดทางธรรมด้วย ถ้าอย่างนั้นเกิดด่านตรวจมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ แล้วเรียกตรวจใบขับขี่ ถ้าท่านไม่มีใบอนุญาตให้ขับขี่ยานพาหนะ ท่านจะมีความผิดทางโลก..!

แล้วถ้าอยู่ในสถานที่ใดหรือว่าเขตปกครองใด ที่คณะสงฆ์ของที่นั้น ๆ ได้ประกาศเป็น "ขัอสัญญัติ" คือข้อตกลงในหมู่นั้น ๆ ว่าพระภิกษุสามเณรห้ามขับรถ ถ้าอย่างนั้นท่านก็จะผิดในทางธรรมด้วย ก็คือ ละเมิดในระเบียบที่คณะสงฆ์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา

ดังนั้น..ในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพได้ตักเตือนพระภิกษุสามเณรภายในวัดท่าขนุนไว้บ่อย ๆ ว่า
จะขับรถขนข้าวขนของเพื่อจัดสถานที่ต่าง ๆ ก็เอาแค่จำเป็นเท่านั้น ถ้าหากว่ามีญาติโยมอยู่ ก็รบกวนญาติโยมให้ขับแทน ถ้าไม่มีญาติโยมอยู่ เราขับเอง ก็อย่าคึกคะนองด้วยการถ่ายรูป หรือว่าถ่ายคลิป เพราะว่าถ้าเผลอให้รูปหรือคลิปนั้น ๆ ออกสู่โซเชียลเมื่อไร ท่านก็จะเดือดร้อนเอง..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวัง เนื่องเพราะว่าพระภิกษุของเรานั้นอยู่ในสถานะต่ำสุด ก็คือเป็นผู้ขอ ถ้าหากว่าไปขับรถ ทำตัวร่ำรวย ก็คงไม่มีใครอยากจะสงเคราะห์ เราก็จะกลายเป็นบุคคลที่ทำให้ศาสนานี้เสื่อมทรามลงไป กลายเป็นโทษหนักโดยใช่เหตุ..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2024 เมื่อ 01:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว