กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๗ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๗

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 07-04-2024, 17:29
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๗

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๗


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 07-04-2024, 23:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) หมู่ที่ ๕ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามฏีกานิมนต์ของท่านเจ้าคุณหลวงตา - พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ด้วยความที่ออกจากที่พักช้า คิดว่างานนี้น่าจะไปถึงทีหลังท่านอื่น ๆ แต่ปรากฏว่ายังคงไปถึงก่อนตามปกติ

เมื่อไปถึงสักครู่หนึ่ง ท่านพระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงก็ตามมาติด ๆ พระครูสาครสิทธิวิมล หรือที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ป๋าลอ" เจ้าอาวาสวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ก็มาอีกท่านหนึ่ง สักพักหนึ่งท่านเจ้าคุณหลวงตาก็มานั่งร่วมวงคุยด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องสัพเพเหระ บ่นถึงสุขภาพตามประสาคนแก่

ถัดไปที่มาถึงก็เป็นตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อมนัส มนฺตชาโต เจ้าสำนักสงฆ์ฟื้นฟูจิตเขาแหลม จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเจ้าคุณดำ - พระราชสุวรรณเวที (สันติ สนฺติญาโณ ป.ธ.๖) เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี เป็นต้น

มีการกราบทักทายกันเป็นปกติ แม้ว่าจะโดนท่านเจ้าคุณดำประท้วงแล้วประท้วงอีกว่า "ส่วนใหญ่ก็อายุกาลพรรษาใกล้เคียงกัน แถมบางท่านอายุมากกว่าผมเสียด้วย" แต่ว่าพวกเราก็กราบในฐานะที่ท่านเป็นพี่ อายุกาลพรรษามากกว่า

ในเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ของเรานั้น เคารพกันตามอายุพรรษา ไม่ใช่อายุทางโลก หรือว่าตำแหน่งทางโลก อายุทางโลก ตำแหน่งทางโลกนั้น เรายกย่องให้เกียรติกันตามโดยปกติ แต่ถ้าว่ากันตามพระธรรมวินัยแล้ว ก็ต้องเคารพกันตามอายุพรรษา

เมื่อได้เวลา ทางด้านเจ้าหน้าที่ก็นิมนต์เข้าไปภายในโบราณสถานถ้ำเขาวง ซึ่งเป็นมณฑลพิธีในการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นมีวัตถุมงคลหลายอย่างที่ตั้งอยู่ ชัด ๆ เลยก็คือรูปของพระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้าน กับวชิราวุธ ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเห็นด้วยว่าจะมีการสร้างขึ้นมา เนื่องเพราะว่าวชิราวุธนั้นเป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับมาตรา ๑๑๒ หรือไม่ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2024 เมื่อ 00:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 07-04-2024, 23:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในงานพิธีครั้งนี้รวบรัด จัดได้รวดเร็วสมดั่งใจ กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ในท้ายแถวแรก ซึ่งทางด้านหัวแถวก็คือหลวงพ่อมนัส มนฺตชาโต ถัดมาเป็นหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ตามมาด้วยหลวงพ่อเจ้าคุณดำ หลวงพ่อชลอ แล้วเป็นกระผม/อาตมภาพ

อีกฝั่งหนึ่งได้ยินว่ามีตุ๊พ่อสิงห์ แล้วก็ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิ์ลังกาอยู่ด้วย ส่วนท่านเจ้าคุณหลวงตานั้น นั่งหันหลังให้กับพระประธานอยู่ตรงกลาง ท่านพระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ หรือหลวงพ่อสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงนั้น นั่งอยู่ตรงข้ามกับท่านเจ้าคุณหลวงตา

เพียงแต่ว่าในมณพลพิธีนั้น จะมีกลิ่นขี้ค้างคาวค่อนข้างจะแรงมาก เนื่องเพราะว่ามีค้างคาวเข้าไปอาศัยนอนพักอยู่ภายในถ้ำ ซึ่งถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็ทำพิธี "เชิญออก" ไปหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้เคล็ดลับว่าจะเชิญค้างคาวออกจากถ้ำอย่างไร ก็เลยทำให้จะต้องมีกลิ่นรบกวนอยู่เป็นปกติ ถือเสียว่าดมยาแก้เป็นลมก็แล้วกัน..!

ครั้นเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องรีบเดินทางกลับ เพราะว่ายังมีนัดอยู่กับญาติโยมอีกคณะหนึ่ง เหตุที่ต้องนัดก็เพราะว่าญาติโยมคณะนี้นั้นมีบุญคุณต่อกระผม/อาตมภาพมานานแล้ว และโดยเฉพาะลูกสาวลูกชายของท่าน ก็คือลูกสาวลูกชายของกระผม/อาตมภาพนั่นเอง ถ้าหากว่าเป็นญาติโยมปกติทั่วไป กระผม/อาตมภาพจะไม่รับนัดอย่างเด็ดขาด

ในส่วนของการที่มาร่วมพิธีในครั้งนี้นั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับบรรดาพระเถระที่มีอายุกาลผ่านวัยสูง ๆ ส่วนใหญ่ก็ ๗๐ กว่าปี ๘๐ กว่าปี ก็คืออากาศที่ร้อนมาก ซึ่งถ้าหากว่าพลาดพลั้งอย่างไร ก็อาจจะเป็น "ลมแดด" หรือที่สมัยนี้เรียกกันเสียจนกระทั่งไม่รู้ศัพท์ภาษาไทยไปแล้วว่า "ฮีทสโตรก" ซึ่งโรคนี้จะว่าไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้สูงอายุและความดันต่ำ เมื่อโดนความร้อนเข้า หลอดเลือดจะขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อาจจะถึงขนาดล้มทั้งยืนได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2024 เมื่อ 00:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 08-04-2024, 00:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อากาศบ้านเรานั้น รุนแรงขึ้นไปตามวาระตามเวลา นึกถึงสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ฤดูร้อนเป็นฤดูร้อน แต่ก็ไม่ร้อนมาก อาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาก็เป็นอันว่าหายร้อนแล้ว ฤดูหนาวก็หนาวจัด ถ้าหากว่าพ้นจากฤดูหนาวแล้ว ก็เป็นอันว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน มีการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็มีการทำบุญต่าง ๆ ตามเทศกาล ส่วนฤดูฝนนั้น ไม่ต้องห่วง ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พูดง่าย ๆ ว่าสามารถคำนวณได้ว่า จะปลูกข้าวปลูกผักอย่างไร ให้เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศ

แต่เนื่องจากว่า
คนเรามีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ส่วนที่หนักที่สุดก็คือ การทำเกษตรเชิงพาณิชย์ ต้องการพื้นที่ในการปลูกพืชผลการเกษตรสำหรับการพาณิชย์เป็นจำนวนมาก ๆ เป็นหมื่นเป็นแสนไร่ ไม่ว่าจะเป็นอ้อย ข้าวโพด ตลอดจนกระทั่งมันสำปะหลัง เหล่านี้เป็นต้น จึงต้องมีการตัดไม้ทำลายป่า จนกระทั่งแทบจะไม่มีพื้นที่ป่าเหลืออยู่แล้ว

มีสถิติบอกว่าบ้านเรามีพื้นที่ป่าอยู่ประมาณ ๑๗ เปอร์เซ็นต์ กระผม/อาตมภาพเชื่อว่าเหลือถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ดีมากแล้ว..! เนื่องเพราะว่าเมื่อดาวเทียมยิงลงมา เจอพื้นที่ตรงไหนเขียว ๆ ก็เหมาว่าเป็นพื้นที่ป่าทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เป็นสวนยางพาราบ้าง สวนปาล์มน้ำมันบ้าง ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ป่าที่แท้จริง จึงทำให้อากาศขาดความสมดุล เพราะว่าไม่มีพื้นที่ป่าในการคอยถ่วงดุลอยู่ จึงทั้งร้อนทั้งแล้ง

แล้วเมื่อถึงเวลาฝนมา ก็ไม่สามารถที่จะรองรับน้ำฝนได้มาก เนื่องเพราะว่าต้นไม้แต่ละต้น เมื่อถึงเวลา ก็จะดึงน้ำไปเก็บไว้ ระหว่าง ๔๐ - ๖๐ ลิตร แล้วแต่ว่าเป็นต้นเล็กต้นใหญ่ ในเมื่อเรามีต้นไม้น้อย จึงทำให้น้ำหลาก น้ำท่วมเป็นปกติ

แล้วอีกส่วนหนึ่งที่เหลือเชื่อก็คือ
น้ำท่วมเพราะว่ามีพื้นที่ป่า ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพพูดไปแล้ว คนก็จะหาว่าบ้า..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว ป่าย่อมส่งความชื้นขึ้นไป เมื่อกระทบกับหมู่เมฆข้างบน ก็จะดึงเอาเมฆนั้นลงมา และทำให้ฝนตกในบริเวณนั้น

ถ้าสมมติว่าในบริเวณนั้นสามารถรองรับน้ำ ตีเสียว่า ๑ ถัง แต่ในเมื่อพื้นที่ตรงบริเวณนั้นมีความชื้นจากต้นไม้ หมู่เมฆผ่านมาเมื่อไร ก็โดนดึงลงไปให้ตกกลายเป็นฝน จากที่รองรับได้ ๑ ถัง แต่ปรากฏว่าน้ำเทลงมาถังแล้วถังเล่า ก็เลยกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้น้ำท่วมเพราะว่ามีป่าไปเสียส่วนหนึ่ง ซึ่งเรื่องทั้งหลายนี้ บรรดานักวิชาการเขาไม่ยอมรับ ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพเพ้อเจ้อไปอยู่คนเดียว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2024 เมื่อ 00:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 08-04-2024, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพียงแต่เป็นห่วงว่าคนรุ่นหลัง ๆ นั้น ถ้าหากว่าไม่ตายเพราะสงครามเสียก่อน ก็คงจะอยู่ยากมากขึ้นไปทุกวัน เนื่องเพราะว่าอันดับแรกจำนวนคนที่มากขึ้น พื้นที่ในการทำการเกษตรที่จะเลี้ยงตัวเองก็น้อยลงประการหนึ่ง โดนบรรดานายทุนรายใหญ่ ดึงไปเข้าร่วมโครงการทำการเกษตรเชิงเดี่ยว เพื่อที่จะป้อนให้กับโรงงานต่าง ๆ ของนายทุนอีกอย่างหนึ่ง

ขณะเดียวกันจำนวนคนที่มากขึ้น พื้นที่การทำกินโดยเฉลี่ยก็ลดน้อยถอยลง ส่วนที่ไม่มีพื้นที่ทำกิน ถ้าไม่ไปเข้าโรงงานต่าง ๆ ก็ต้องไปทำผิดกฎหมายด้วยการหักล้างถางพงในพื้นที่ส่วนที่เหลืออยู่ ก็จะทำให้พื้นที่ป่าน้อยลงไปเรื่อย ๆ

ขณะเดียวกันในส่วนของพื้นที่ป่าที่เหลือ ซึ่งดาวเทียมรายงานลงมานั้น ก็กลายเป็นพื้นที่การเกษตรเชิงเดี่ยว อย่างเช่นว่าพื้นที่ของดงยางพารา พื้นที่ของดงปาล์มน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งพืชผลทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าขายไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะกินได้อีกต่างหาก

ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครยังมีพื้นที่เหลืออยู่ ให้พยายามศึกษาในการทำเกษตรยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ หรือที่เรียกง่าย ๆ กันว่า เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยศาสตร์พระราชาอย่างหนึ่ง หรือว่าโครงการโคกหนองนาในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ อีกประการหนึ่ง

ถ้าทำในลักษณนี้ ก็จะเป็นเกษตรยั่งยืน คือสามารถที่จะทำให้เรามีกินมีใช้ก่อน หลังจากที่เหลือแล้ว ค่อยนำออกไปขาย เป็นรายได้เข้ามาเจือจุนครัวเรือนของตน พูดง่าย ๆ ว่า
ต่อให้ไม่มีเงิน ก็สามารถที่จะมีอยู่มีกินตามปกติ

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพเคยแนะนำให้ชาวบ้านแถวทองผาภูมิทำอยู่ประมาณ ๙ ปีเต็ม ๆ ในช่วงที่ยังสังกัดส่วนเผยแผ่จริยธรรมของกรมป่าไม้ ซึ่งปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งไม่แน่ใจว่ากระผม/อาตมภาพยังจะเรียกชื่อได้ถูกต้องหรือเปล่า ?

ในช่วงนั้นก็ยังคิดว่า "เราเป็นพระ ทำไมต้องมาทำหน้าที่แบบนี้ด้วย ?" แต่เมื่อยิ่งนานไป ก็ยิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่า
บุคคลที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่มีความมั่นคงทางด้านอาหารแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็จะลำบากไปทั้งหมด จึงได้เห็นสายพระเนตรอันยาวไกลของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งได้กำหนดเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักแนวเศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ได้รับการสืบสาน รักษา และต่อยอด โดยในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ สืบมา

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลูกหลานซึ่งมีที่ดินมรดกของปู่ย่าตายาย ก็มักจะขาย เอาเงินไปใช้จ่ายในส่วนอื่นเสียหมด ทำให้ต้องยากลำบากในการที่จะทำมาหากิน แล้วมาซื้อข้าวของที่แพงขึ้นไปทุกวัน ซ้ำยังทำให้สภาพอากาศทั้งร้อนทั้งแล้งอย่างที่เห็นอยู่ ถ้าหากว่าท่านใดกลับตัวทัน หันมายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็อาจจะทำให้ท่านทั้งหลายลำบากน้อยกว่าคนอื่นเขา แล้วในขณะเดียวกัน
เมื่อพึ่งพาตนเองได้ ลูกหลานของเราก็จะได้มีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2024 เมื่อ 00:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว