กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 29-07-2013, 10:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่า สัพพะกายะปะฏิสังเวที คืออะไร ?
ตอบ : บอกถึงความสงบระงับของสังขารทั้งปวง โดยเน้นเอากายสังขารเป็นใหญ่ ก็คือถ้าระงับกาย ระงับใจได้ แม้กระทั่งตัวสังขารคือการปรุงแต่งก็จะระงับไปได้ด้วย จะเข้าถึงความสงบที่เขาเรียกว่าสันติในระดับแรกเริ่ม

ถาม : ดูกองลมเข้าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาใช้คำว่า ระงับกายสังขารดูกองลมเข้า ระงับกายสังขารดูกองลมออก จริง ๆ แล้วก็คือสภาพจิตที่ไม่ปรุงแต่ง เอาความรู้สึกทั้งหมดแนบชิดอยู่กับลมหายใจอย่างเดียว

ถาม : คำว่าสัพพะกายะ หมายถึงกองลมกายในอย่างเดียวหรือครับ ?
ตอบ : กองลมเป็นกายใน ตัวเราเป็นกายนอก สภาพร่างกายที่เป็นกายนอก กับกองลมที่เขานับเป็นกายใน ต้องสงบระงับด้วยกันทั้งคู่ คราวนี้การที่เราจะสงบระงับกายสังขารข้างใน แปลว่าสมาธิต้องทรงตัวเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว

ถาม : เวลาเรากำหนดกองลม เหมือนกับว่าเรารู้การเคลื่อนไหวของกายภายใน ก็แสดงว่าไม่ได้รู้แต่ลมอย่างเดียว ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดจริง ๆ จะรู้ทุกอย่าง แม้กระทั่งคำภาวนาเป็นอย่างไร ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้นอย่างไร จะกำหนดรู้พร้อมมูลไปหมด อธิบายแล้วเป็นคำพูดที่ยาวมาก แต่ว่าตอนช่วงนั้นเกิดขึ้นแวบเดียวเท่านั้นเอง

ถาม : แสดงว่ารวมทั้งกายในกายนอก ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าต้องรวมทั้งกายในกายนอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 29-07-2013, 14:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในระดับพระนางวิสาขาท่านเป็นพระโสดาบัน ตัดสักกายทิฐิได้แล้ว แต่ทำไมนางยังมีความอาลัยอยู่ ?
ตอบ : มีคำหนึ่งที่บาลีใช้คำว่า อาลยสมุคฺฆาโต แปลว่าถอนเสียซึ่งความอาลัยได้ ต้องเป็นระดับพระอนาคามีขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงระดับนั้นก็ยังเหมือนนางวิสาขา แล้วเราอย่าลืมว่าพระโสดาบันมีตั้ง ๓ ระดับ ถ้าเป็นระดับต้นอย่างสตฺตกฺขตฺตุปรมะอย่างไรก็ยังมีกิเลสเต็ม ๆ เหมือนฆราวาส เพียงแต่ว่าท่านอยู่ในกรอบของศีลเท่านั้น

ถาม : พระโสดาบันยังลุ่มหลงกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่หรือครับ ?
ตอบ : ก็ยังมีความผูกพันต่าง ๆ ทั้งปวงเหมือนปกติ เพียงแต่เป็นไปในกรอบของศีล เพราะฉะนั้น..จะหัวเราะจะร้องไห้ก็ยังเหมือนกับคนปกติ แต่ที่มีมากกว่าคนปกติคือความเคารพในพระรัตนตรัย ความสมบูรณ์ของศีล และมีปัญญาที่มองเห็นสภาพความเป็นจริงว่า อย่างน้อยเราก็ต้องตาย มีต่างกับคนธรรมดาอยู่ตรงนี้เอง

ถาม : พระโสดาบันยังมีความกลัว ?
ตอบ : ก็มีเป็นปกติ ต้องบอกว่าท่านกลัวแบบมีสติ รู้ว่ามรณภัยมาถึงก็มีความกลัวเหมือนกัน แต่มีความมั่นใจว่าคติคือที่ไปของตนนั้นดีแน่ แล้วก็มีที่ยึดเกาะของตนก็คือพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้น ฉะนั้น..ความกลัวของท่านเป็นความกลัวลึก ๆ เพียงแต่ว่าสภาพจิตของท่านมุ่งตรงและมีที่ยึดเกาะคือพระรัตนตรัย ก็เลยทำให้ไม่ได้กลัวจนขาดสติเหมือนกับพวกเรา

เรื่องกลัวจนขาดสตินี่ต้องคุณย่าของอาตมาเอง ก่อนท่านตาย ๗ วัน ท่านเห็นคนจะมาเอาชีวิต พวกเราที่เป็นลูกเป็นหลานเข้าไปเรียกให้กินข้าวท่านไม่ฟังเสียง ไม้เท้าในมือจะหวดไม่เลือกหน้า เข้าไปแต่ละทีนี่แทบจะเสี่ยงชีวิต ย่าคิดว่าเขาจะมาเอาชีวิตอย่างเดียว ไม่ได้สนใจว่าเป็นลูกเป็นหลานหรือเปล่า พอเข้าใกล้ก็ตีไว้ก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 29-07-2013, 14:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อุทธัจจะจริง ๆ เป็นตัวท้าย ๆ แล้ว คือความฟุ้งซ่านอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล อย่างเช่นเห็นบุญยังดีก็ทำ เลยกลายเป็นติดดีไป เราต้องไม่ลืมว่าอุทธัจจะสังโยชน์นั้นเลยสังโยชน์ ๕ ไปแล้ว บุคคลที่ล่วงพ้นสังโยชน์ ๕ คือพระอนาคามี

ในเมื่อเป็นพระอนาคามี เราก็มาดูว่าความฟุ้งของท่านยังมีอย่างไรอยู่ ก็เหลือแค่ว่าจิตที่มีสภาพเป็นกุศล อย่างเช่นว่ายังเห็นว่าผลบุญนั้นดี ผลบุญนี้ดีก็ยังทำอยู่ ขณะเดียวกันก็เห็นว่าตนเองยังเข้าไม่ถึงความเป็นอรหัตผล ก็ยังมีจิตฟุ้งต้องการอรหัตผลอยู่ ต้องเรียกว่าเป็นการฟุ้ง ถ้าสำหรับคนทั่ว ๆ ไปก็คือคิดดี แต่ของท่านก็คือความฟุ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 29-07-2013, 14:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องบันทึกการเดินทางไปยุโรปเดี๋ยวไว้มีโอกาสจะเขียนให้ ตอนนี้เรื่องไปอินโดฯ ยังไม่จบ ไปเขมรกับไปจีนยังไม่ได้เริ่ม แต่ไปยุโรปอีกแล้ว มีคนเขาถามว่าจำอะไรได้หนักหนาขนาดนั้น อาตมาบอกไปว่า “ถึงเวลาก็เปิดเทปดูย้อนหลังสิวะ” ง่ายจะตายไป

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า การบันทึกประจำวันเท่ากับเป็นอตีตังสญาณอย่างหนึ่ง เพราะเราต้องนึกว่าเราทำอะไรไปบ้าง ฉะนั้น..ตอนที่ท่านสอนให้ฝึกอตีตังสญาณ ท่านให้ย้อนจากนาทีเป็นชั่วโมง จากชั่วโมงเป็นครึ่งวัน จากหนึ่งวันเป็นวันที่แล้ว ๒ วัน วันที่แล้ว ๓ วัน ท่านให้ซ้อมไปเรื่อย สามารถย้อนไปได้จนกระทั่งอยู่ในท้องแม่ แล้วก็ก่อนที่จะเข้าท้องแม่ ย้อนหลังไปได้เรื่อย ๆ

ถ้าสมาธิไม่มั่นคง ถึงเวลาเริ่มเลือนก็ถอยออกมาเข้าสมาธิใหม่ ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัวใหม่ แล้วค่อยย้อนใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ชัด ระยะหลัง ๆ จะไม่รู้เรื่องก็เริ่มต้นใหม่ เข้าสมาธิแล้วก็ไปใหม่

แต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน บุคคลที่ระลึกได้ไม่จำกัดชาตินี่ในระดับของพระสาวกมีแค่ ๓ - ๔ ท่านเท่านั้น อย่างเช่นพระมหากัสสปะ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระนางพิมพาเถรี นอกนั้นก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่เหลือนี่จำกัด คำว่า "ไม่จำกัด" ก็คือรู้ได้ทุกชาติ ตั้งแต่เกิดชาติแรกมาถึงปัจจุบัน ส่วนที่เหลือ ๆ ก็อาจจะได้สักแสนชาติบ้าง กัปหนึ่งบ้าง ๓ กัปบ้าง ๕ กัป ๑๐ กัปบ้าง"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 29-07-2013, 14:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของทานบารมี หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์คือพระพุทธกัสสปะกับพระพุทธทีปังกร ทั้งสองพระองค์มาด้วยทานบารมี ซึ่งปกติเมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกพระองค์ก็จะมีลาภมากเป็นพิเศษ แต่ทั้ง ๒ พระองค์นี้เนื่องจากเริ่มต้นด้วยทานบารมี ฉะนั้น..ลาภของพระองค์ท่านจะมีหนักกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าบูชาทั้ง ๒ พระองค์นี้ รำลึกถึงเป็นปกติ หลวงพ่อท่านบอกว่าช่วยในเรื่องของลาภผลได้ดี

แต่ว่าทั้ง ๒ พระองค์ก็อยู่ในลักษณะว่าการสร้างทานบารมีไม่เหมือนกัน พระองค์หนึ่งก็นิยมประเภททุ่มทีเดียว อีกพระองค์หนึ่งนิยมทำเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..พระองค์หนึ่งก็ลาภมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสายเหมือนกับน้ำไหล อีกพระองค์หนึ่งมาตูมตามเป็นคลื่นทะเลเลย อาจจะถึงระดับสึนามิก็ได้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 29-07-2013, 14:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สภาพจิตที่เราสามารถเห็นได้เป็นรูปธรรมเลยเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สภาพจิตของเราจะเห็นเป็นรูปธรรมได้ต้องมีทิพจักขุญาณด้วย คราวนี้รูปธรรมที่เราเห็นมี ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือเห็นเป็นลักษณะของดวง จะเป็นดวงกลมใสสว่างตามกำลังบุญของเรา อีกลักษณะหนึ่งคือเห็นเป็นกายเลย ลักษณะร่างกายก็เป็นไปตามกำลังบุญในตอนนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 14:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 29-07-2013, 15:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่วัดต่าง ๆ นำเอากระเบื้องโบสถ์เก่า ๆ มาให้เช่าบูชา เมื่อเราเอามาเช่าบูชาที่บ้าน ถือว่าเป็นการติดหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ติดหนี้สงฆ์ เพราะค่าเช่าบูชาเท่ากับชำระหนี้สงฆ์ไปแล้ว

ถาม : ถ้าเป็นพระกรุละครับ ในกรุแตกแล้วเขาเอามาให้บูชา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องมีคณะกรรมการที่เป็นสงฆ์ มีความเห็นร่วมกันกำหนดราคาขึ้นมา ถ้าทุกคนมีความเห็นร่วมกันว่าราคาเท่านี้ เราไปบูชามาก็ไม่ถือว่าติดหนี้สงฆ์ แต่ถ้างุบงิบทำกันเองแค่ไม่กี่คนก็โดนแน่ ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2013 เมื่อ 16:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 29-07-2013, 15:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระสงฆ์ออกรับบิณฑบาตแล้วพบกับคนชราหรือขอทานที่อดอยาก สามารถให้ทานโดยแบ่งอาหารให้กับผู้นั้นได้เลยหรือไม่ครับ ?
ตอบ : นั่งลงปูผ้าฉันอย่างเป็นทางการแล้วที่เหลือค่อยให้เขา

ถาม : ถ้าเกิดบิณฑบาตอยู่ข้างทางละครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เฉพาะพ่อกับแม่เท่านั้น มีอย่างเดียวคือต้องให้เหลือจากการฉันก่อน แล้วคราวนี้พระเราส่วนใหญ่จะให้เหลือคือต้องฉันแล้ว ถ้าท่านที่เคร่งครัดหน่อย ถึงฉันไปแค่คำเดียวก็คือฉันแล้ว ต้องอดไปเลย ที่เหลือก็เอาให้โยมไป

มีทางเดียวคือปูผ้าฉันอย่างเป็นทางการ เหลือแล้วก็ยกให้โยมไป


ถาม : ถ้าได้รับการจัดแบ่งจากคณะสงฆ์เรียบร้อยแล้ว ออกมาแจกจ่ายได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสังฆทาน ได้รับการอปโลกน์แล้ว ก็กินได้แค่ในวัดเท่านั้น เอาออกจากวัดไปก็ยังมีโทษอยู่ดี

ถาม : ถ้าพระมีปัจจัยแล้วให้โยมไปซื้อข้าวกิน ?
ตอบ : สะดวกกว่าเยอะเลย แต่ต้องเป็นเงินส่วนตัวนะ มีผู้หญิงอุ้มลูกมาหาอาตมา "หลวงพ่อ..ขอเงินกินข้าวยี่สิบ" อาตมาล้วงทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่หกสิบบาท บอกว่า "เอาไปสี่สิบแล้วกัน ยี่สิบจะไปพอกินอะไร" อย่าไปถามและอย่าไปคิดว่าเขาหลอกเราหรือไม่หลอก เป็นบุญลาภอันใหญ่แล้วที่เขามาขอเรา รีบให้ไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-07-2013 เมื่อ 01:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 31-07-2013, 09:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ซองปัจจัยที่โยมถวายมา ถือว่าเป็นของส่วนองค์ของพระถูกหรือไม่ครับ ? เมื่อลาสิกขาแล้ว นำกลับไปใช้ส่วนตัวได้หรือไม่ ? หรือควรนำไปทำบุญให้หมดครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าหาเรื่องลงอเวจีแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า ต่อให้เขาระบุว่าเป็นเงินส่วนตัวก็ต้องใช้ในสิ่งที่สมควรเท่านั้น เช่น เป็นค่ารถ ค่าอาหาร ค่ารักษาพยาบาล ส่วนที่เหลือก็ให้ผลักเข้ากองบุญการกุศลอันใดอันหนึ่ง เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย แต่นี่เขาถวายมาไม่ได้บอกว่าส่วนตัวหรือไม่ ก็ไปยึดเป็นส่วนตัว แปลว่ากำลังหาเรื่องไปที่ดี ๆ แล้ว..!

ถาม : แล้วถ้าเขาบอกว่าอันนี้ถวายส่วนองค์ พอลาสิกขาแล้วเอามาใช้ได้ ?
ตอบ : เงินส่วนตัวตอนเป็นพระ ไม่ใช่เงินส่วนตัวตอนเป็นฆราวาส ถ้าเอาไปใช้ก็สวัสดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 31-07-2013, 09:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ผมอายุ ๒๕ ปี ผมตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมอาการปวดท้องอย่างรุนแรง เหงื่อแตกเยอะมาก หนาวสั่นไปทั้งตัว ก็เลยคิดว่าเรากำลังจะตายแล้ว ผมเริ่มคิดมาก ฟุ้งซ่าน เคยได้ยินคนแก่บอกว่าถ้าตายตอนเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า ยังไม่ได้กินอะไร คนข้างหลังจะสบายเพราะยังไม่ได้กินอะไรไปเลย ผมดูนาฬิกาเป็นตอนตีสอง เห็นว่าตายตอนนี้ได้ไม่เป็นไร นอน ๆ ไป อยู่ดี ๆ ก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งว่า "สุปฏิปันโน พระสงฆ์รักษาโรค" เลยนอนนึกถึงประโยคนี้ไปเรื่อย ทีนี้ได้ยินเสียงมาพูดข้างหูว่า "ลูกศิษย์หลวงพ่อปานไม่ต้องกลัว" ก็เลยลืมตาขึ้นมาดูว่าใคร แล้วอาการที่เป็นอยู่ทั้งหมดก็หายไป ตัวก็อุ่นขึ้นและหลับไปจนถึงเช้า กราบเรียนถามว่า คนที่ใกล้จะตาย ๆ จริง ๆ อยู่คนเดียว เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีใครหรือท่านใดมาบอกข้าง ๆ ตัว ?
ตอบ : เป็นไปได้ทุกคน เพียงแต่อย่าตกใจก็แล้วกัน ส่วนใหญ่ใกล้ตายจะมีนิมิตบอกเหตุ หรือไม่ก็สารพัดท่านที่มาหา แต่ไม่รู้ว่าจะดึงลงหรือดึงขึ้น..!

ถาม : คนที่มาพูดข้างหูผมเป็นใครครับ ?
ตอบ : ถามท่านสิ..ท่านไม่ได้พูดกับอาตมานี่หว่า

ถาม : ถ้าโอกาสหน้ามีอาการอย่างนี้อีก ผมจะภาวนาว่านิพพานัง กับนึกถึงพระองค์ที่ ๑๑ ที่ผมฝันถึง
ตอบ : จงนึกถึงตั้งแต่บัดนี้ ถ้ารอโอกาสหน้าอาจจะไม่มีโอกาสได้นึกทัน

ถาม : ถ้าเกิดทุกขเวทนามาก ๆ แล้วนึกอะไรไม่ออก จะมีวิธีภาวนาอย่างอื่นไหมครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้เริ่มตั้งแต่บัดนี้ ไม่ใช่ไปรอตอนใกล้ตาย ครั้งที่แล้วถือว่าโชคดีที่สุดแล้วที่รอดมาได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 31-07-2013, 11:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตามที่มีกระแสเรื่องการล้างพิษตับด้วยการกินน้ำมันมะกอก เพื่อเอานิ่วหรือตะกอนพิษที่สะสมในตับและถุงน้ำดีออกมานั้น จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนคะ ?
ตอบ : อาตมาไม่เคยทำ ก็เลยยังไม่สามารถบอกได้ ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 31-07-2013, 12:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การแผ่เมตตาไปแล้ว มีการดึงกลับได้ด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ที่อาตมาสอนอยู่นี่ มีการดึงกลับเป็นปกติเลย

ถาม : ถ้าดึงกระแสที่แผ่เมตตาออกไปนั้นกลับมา จะไม่เรียกว่าเราขาดเมตตาในตอนที่เราจะให้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจของคุณปราศจากเมตตาจะเรียกว่าขาดก็ได้ ก็เขากำลังซักซ้อมความคล่องตัวอยู่ จะไปขาดได้อย่างไรเล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 31-07-2013, 12:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : หากจะเอาโสดาปัตติผลให้ได้ โดยใช้พรหมวิหารสี่เป็นหลัก จะต้องมีวิธีการปฏิบัติสำหรับผู้ครองเรือนอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่อให้ใครเขามาฆ่าเรา ก็นอนยิ้มให้เขาฆ่าแต่โดยดี รำลึกถึงความตายว่ามีอยู่เป็นปกติ ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง วินาทีนี้เรามีศีลบริสุทธิ์ ตายแล้วไปพระนิพพาน แค่นั้นแหละ ถ้าไม่เอาพรหมวิหารยังวิ่งหนีได้ แต่นี่เอาพรหมวิหารก็นอนให้เขาเชือดเสียแต่โดยดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-07-2013 เมื่อ 16:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 01-08-2013, 15:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การพึ่งบารมีหลวงพ่อให้คลายทุกข์หนัก ให้คลายสงสัย พอสบายตัวแล้วละเลยหลงลืมการปฏิบัติ อย่างนี้จะมีโทษในเรื่องการอกตัญญูไม่รู้คุณท่านหรือไม่ครับ ? และจะมีโทษหรือมีภัยติดตามมาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอาตมาจะปรับเรื่องปรามาสพระรัตนตรัยมากกว่า ต้องบอกว่าใช้พระ พอสบายแล้วก็ลืม ขอบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนทั่วไป พอเวลาทุกข์ก็นึกถึงพระ ตั้งใจเกาะท่านเป็นที่พึ่งสุดชีวิต แต่พอสบายขึ้นมาก็ลืมท่าน หลงลืมการปฏิบัติ เป็นอย่างนี้แทบทั้งนั้น

จริง ๆ แล้วควรยึดท่านเป็นที่พึ่งและยึดจริง ๆ ไม่ใช่ยึด ๆ ปล่อย ๆ ถ้ายึด ๆ ปล่อย ๆ ก็คือลักษณะของการปรามาสพระรัตนตรัย ลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่เอาจริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 01-08-2013, 15:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เนื่องจากเคยอ่านพบว่า องค์พระจุฬามณีสร้างด้วยแก้วอินทนิลเป็นหลัก ประดับตั้งแต่กลางองค์ถึงยอดด้วยทองคำ ประดับด้วยสัตตพิธรัตนะเจ็ดประการ ภายในประดิษฐานพระเกศโมลี เข้าใจว่าผอบแก้วที่รองรับก็เป็นแก้วอินทนิลด้วย คิดว่าแก้วอินทนิลเป็นแก้วที่คู่ควรกับพระเขี้ยวแก้วเช่นนี้ ใช่หรือไม่ที่ทำให้พระอาจารย์ได้รับแก้วอินทนิลมา ในฐานะผู้รักษาพระเขี้ยวแก้ว ?
ตอบ : อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตอบไม่ได้จ้ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 01-08-2013, 15:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้ามีคนปฏิบัติธรรมได้คุณธรรมระดับพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์ อยากทราบว่าบิดามารดาภรรยาและบุตร จะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกับการบวชพระหรือไม่ครับ ?
ตอบ : บิดามารดาได้ สามีภรรยาบุตรถ้าไม่ยินดีด้วยจะไม่ได้ ถ้าเป็นอาตมาก็เป็นเจ้าภาพบวชพระไปเรื่อย เก็บอานิสงส์การบวชคนอื่นไปก่อน แต่ถ้าบวชใจด้วยการทำตนเป็นพระอริยเจ้าเองได้จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง ทั้งแก่ตนเองและบิดามารดา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 01-08-2013, 15:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าบิดามารดาเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เห็นด้วยกับการทำบุญในเขตพระพุทธศาสนา แต่บุตรซึ่งมีสัมมาทิฐิ ขอเงินจากบิดามารดาโดยกล่าวว่าตนต้องการนำไปใช้ ขอเงินโดยไม่ได้บอกว่าจะนำไปทำอะไร แต่สุดท้ายก็นำไปทำสังฆทานบ้าง วิหารทานบ้าง ธรรมทานบ้าง ตามจำนวนที่ได้รับมา โดยไม่ได้บอกล่าวบิดามารดาให้อนุโมทนา เนื่องจากเกรงว่าท่านจะไม่พอใจ ไม่ทราบว่าบิดามารดาจะได้อานิสงส์จากการทำบุญของบุตรหรือไม่ และจะได้ผลบุญเทียบเท่ากับบุตรหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : ได้ไม่เท่า..เพราะเจตนาในการทำบุญไม่มี แต่อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็มีอยู่ แต่จะอยู่ในลักษณะของกตัตตากรรม คือ การกระทำโดยไม่เจตนา ซึ่งจะเป็นแรงกรรมตัวที่เบาที่สุด ถ้าไม่มีอะไรส่งผลกรรมตัวนี้จึงจะโผล่มา ถ้ายังมีอย่างอื่นส่งผลก็จะโดนกรรมอื่นแซงไปก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 01-08-2013, 16:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เราทำบุญในนามคนอื่น หรือเพิ่มชื่อคนในครอบครัวโดยที่เขาไม่ได้ออกเงินร่วมทำบุญไปด้วย ถือว่าเป็นการมุสาหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นการมุสา อย่างน้อยก็ถือว่าช่วยให้เขามีชื่อฝากไว้ในพระพุทธศาสนาบ้าง ก็ชื่อติดอยู่หน้าซองทำบุญนี่นา

ถาม : แล้วได้บุญไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่โมทนาก็ไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 01-08-2013, 17:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การขออโหสิกรรม ถ้าไม่ได้ขออโหสิต่อหน้าอีกฝ่าย แต่ขอผ่านโทรศัพท์ ผ่าน sms ผ่าน e-mail ผ่าน facebook หรืออื่น ๆ ถ้าอีกฝ่ายตอบว่าอโหสิกรรม ถือว่ากรรมขาดจากกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาด...ขอให้ยอมรับเท่านั้น ถือว่าโจทก์หรือจำเลยรับรู้ทั้งคู่ แล้วยินดีให้อภัยอีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 01-08-2013, 17:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,270 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเราเขียนพินัยกรรมให้ทายาทนำทรัพย์สินส่วนหนึ่งของเรา ไปทำบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์และปิดทองคำแท้หลังเราตายไปแล้ว จะถือว่าเราได้ชำระหนี้สงฆ์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว ถ้าจะให้ปลอดภัยก็ทำเสียก่อนตาย แล้วค่อยเผื่อไว้ว่าอาจจะไปติดหนี้รอบใหม่ ด้วยการทำในพินัยกรรมอีกรอบหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2013 เมื่อ 18:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว