|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถามเรื่องปรอท ?
ตอบ : ชิ้นนี้ยังตายไม่จริง ถ้าตายจริงจะไม่เป็นอย่างนี้ แบบนี้ยังอันตรายอยู่ อย่าเผลอเอาเข้าปาก โดนตัวยังพอรับไหว แต่ถ้าเข้าปากอันตรายมาก เพราะว่ายังขยายตัวได้มากตามปกติ คนทำแบบนี้ถึงตายได้ เขาหลอมปรอทยังไม่สามารถทำให้ปรอทตายจริง ๆ ได้ ในเมื่อยังไม่ตายจริงก็จะออกลักษณะอย่างชิ้นนี้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2018 เมื่อ 20:05 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของอาตมา ร่างกายแข็งแรง อายุยืน อย่างไม่มี ๆ ก็ ๗๐-๘๐ ปี นั่นก็คือการที่ทำงานหนักทั้งวัน เท่ากับออกกำลังอยู่ตลอดเวลา แล้วยุคนั้นอากาศไม่เป็นพิษเหมือนอย่างกับสมัยนี้ อาตมาจำได้ว่าเรียนอยู่ชั้น ป.๒ แล้ว ถึงได้มีรถยนต์คันแรกเข้ามาในหมู่บ้าน เป็นรถจี๊ปหน้ากบที่หลงเหลือจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ คนที่ซื้อมาขับก็คือกำนัน เด็ก ๆ วิ่งตามดูกันทั้งตำบลเลย..ไม่เคยเห็นรถ แล้วเราลองคิดดูว่า บรรยากาศลักษณะอย่างนั้นอากาศจะเป็นพิษได้อย่างไร ?
ส่วนอาหารก็ไม่มีสารพิษมากมายเหมือนกับสมัยนี้ เพราะว่าอยู่กินกันอย่างธรรมชาติ ปุ๋ยที่ใส่เป็นปุ๋ยคอก ก็คือขี้วัวขี้ควาย เมื่ออาหารดี อากาศดี ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ก็แข็งแรง อายุยืน ของพวกเราสมัยนี้ต้องบอกว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป ถ้าเรายังไม่พยายามแก้ไขปัญหาเหมือนทางยุโรป แค่เรื่องมลพิษจากยานยนต์ต่าง ๆ ก็มากพอที่จะทำลายชีวิตของเราแต่ละคนให้สั้นไปหลายปีเลย” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2018 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
![]()
“ทางยุโรปเขาเอาจริงเอาจัง ถึงเวลาเขาแก้ปัญหามลพิษในน้ำ มลพิษในอากาศต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กัน รถยนต์จะวิ่งเข้าเขตเมืองต้องฉีดน้ำล้างรถก่อนทั้งคัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไป ปัจจุบันนี้มาตรฐานเครื่องยนต์ของเขาไปถึงยูโร ๕ แล้ว ก็คือเกือบจะไม่มีมลพิษออกสู่อากาศแล้ว ส่วนบ้านเราได้แค่ยูโร ๒ และก็ไม่จริงจัง ถ้าเราสงสัยว่าทำไมมียุคหนึ่งที่รถเมล์ ขสมก.ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเรียกว่า “รถเมล์ยูโร” ? นั่นก็คือรถเมล์ที่ผ่านมาตรฐานยูโร ๒ ปล่อยมลพิษน้อย
พวกเราคิดที่จะทำ แต่ว่าไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากทางรัฐบาล ก็คือการให้รถเมล์ติดก๊าซ พอถึงเวลาออกแนวคิดซื้อรถเมล์ติดก๊าซ แต่ละบริษัทที่เซ็นสัญญาก็จ่ายค่าคอมมิชชันกันกระจาย หลังจากนั้นก็ทิ้ง..ปล่อยให้ตายไปเลย ไม่ได้มีการสนับสนุนต่อ จนกระทั่งทุกวันนี้เรื่องของรถเมล์ NGV ก็ยังคงคาราคาซังกันอยู่ เพราะว่าไม่มีความจริงจังจริงใจในการแก้ปัญหา เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก โอกาสมาถึงแต่ไม่ทำ ละทิ้งไปจนปัจจุบันนี้บรรยากาศจะกอบกู้กันแทบไม่ไหวอยู่แล้ว แม้กระทั่งเรื่องการรายงานมลพิษทางอากาศก็ใช้วิธีฉีดน้ำรอบ ๆ บริเวณเครื่องวัด ในเมื่อเราฉีดน้ำเป็นฝอยขึ้นไป ก็ไปดึงเอาพวกหมอกควันเม็ดฝุ่นลงมาหมด ถึงเวลาเครื่องวัดก็วัดว่ามลพิษไม่มีหรือมีน้อย รายงานไปตามตัวเลขที่เครื่องรายงานมา แต่หารู้ไม่ว่าโดนลูกน้องแหกตา บ้านเราสามารถที่จะทำอะไรต่อมิอะไรในลักษณะสร้างประโยชน์ให้เฉพาะตัวเท่านั้น ไม่ได้สร้างประโยชน์เพื่อส่วนรวม” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2018 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
![]()
“ฝรั่งตัวใหญ่มาก ๆ ใหญ่กว่าเราเยอะ ยอมทนนั่งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าคันเล็ก ๆ เพื่อที่จะให้อากาศบ้านเขาดี ต้องบอกว่าเขาทำเพื่อบ้านเมืองของเขา ทำเพื่อลูกหลานของเขา ยอมสละประโยชน์สุขส่วนตนเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม รู้สึกคุ้น ๆ ไหมว่าเป็นพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราเอง พระองค์ท่านตรัสแล้วตรัสอีก เราไม่ค่อยจะยอมทำกัน ทั้ง ๆ ที่ข้าราชการคือผู้สนองงานของพระราชา ส่วนบ้านเขาทำโดยจิตสำนึกสาธารณะ ก็คือเพื่อส่วนรวม เพื่อลูกหลาน เพื่อบ้านเมือง
อีกไม่รู้ว่านานเท่าไร ที่พวกเราจะได้เห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราบ้าง ก็คือคนส่วนมากพร้อมใจกันทำเพื่อส่วนรวม” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2018 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวกับผู้ถวายสังฆทานว่า “พระพุทธรูป..ถ้าทำสังฆทาน เกิดเป็นเทวดานางฟ้าจะมีรัศมีกายสว่างมาก ข้าวปลาอาหารทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์ หรืออิ่มทิพย์ ผ้าไตรจีวรทำให้มีเครื่องประดับเป็นทิพย์ เพราะฉะนั้น..มีให้ครบ ๆ อย่าขาด”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2018 เมื่อ 03:31 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “ใครที่ยันต์เกราะเพชรกระโดดหนีไป หาเจอตัวหรือยัง ?
ไปนึกถึงหลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม ของท่านทำวัตถุมงคลไว้ ถ้าหากว่าลูกศิษย์ทำไม่ดี วัตถุมงคลจะหนีกลับไปหาท่าน ท่านก็จะวางพานปูผ้าขาวรอไว้ พอเสียงดังแกร๊ก ก็..มาอีกแล้ว ..(หัวเราะ).. ไปนึกถึงพระครูน้อยสมัยที่อยู่วัดท่ามะขามด้วยกัน ถามพระครูน้อยว่า “ทำอะไรหายอีกหรือเปล่า ?” ท่านบอกว่า “ไม่หายครับ” ออกบิณฑบาตก็ถามย้ำอีกว่า “พระครูน้อย..ทำอะไรหายหรือเปล่า ?” ท่านก็ตอบว่า “ไม่หายครับ” จนฉันเช้าเสร็จ ๘ โมงกว่าท่านมาบอกว่า “อาจารย์ครับ ตะกรุดเมฯ หายครับ” บอกไปว่า “มาอยู่กับผมตั้งแต่ตี ๕ แล้ว ถามคุณแล้วบอกว่าไม่หาย ผมจะอมไว้อยู่แล้ว..!”” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2018 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวถึงแผ่นยันต์เกราะเพชรที่เปิดให้บูชาว่า “ถ้าหมดแล้วโปรดประกาศด้วย คนจะได้รู้ว่าหมดแล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกที่มาได้เฉพาะวันอาทิตย์ก็นั่งน้ำตาเล็ดอีก นี่ขนาดจำหน่ายเสาร์นะ ถ้าจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ก็น่าจะหมดไปแล้ว วันศุกร์ญาติโยมมารอกันมาก หลายคนมาจากต่างจังหวัดไกล ๆ คราวนี้เจ้าหน้าที่ยังนับไม่เสร็จ ไม่กล้าจำหน่าย เพราะว่ากลัวพลาด โดยเฉพาะเจออยู่ถุงหนึ่งหายไป ๘ แผ่น ไม่อย่างนั้นถ้ายกถุงขายให้เขาไป ก็เสียหายหลายแสนเลย กลายเป็นว่าโกงชาวบ้านอย่างไม่รู้ตัว ถ้าถามว่าเป็นความผิดของคนซื้อไม่ใช่หรือที่ไม่เช็คยอดเสียก่อน ? ก็เราลองคิดดูว่าถุงไม่ได้แกะ เขาก็ย่อมเชื่อมั่นว่าจำนวนถูกต้อง โดยเฉพาะคนวัดคนวาเป็นคนจำหน่าย ถ้าเราเองไม่แกะออกมาตรวจสอบก่อน จะว่าไปแล้วต้องนับเป็นความผิดพลาดของเรา ไม่ใช่ไปโบ้ยให้คนซื้อผิด ลักษณะโบ้ยให้คนซื้อเขาเรียกว่า "ปัดสวะให้พ้นตัว" ผลักภาระรับผิดชอบ..ไม่ได้เรื่อง” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2018 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
![]()
เด็กน้อยก้มลงกราบ ท่านสอนว่า "กราบพระต้องนั่งคุกเข่านะลูก ไม่ใช่นั่งขัดสมาธิ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-12-2018 เมื่อ 14:34 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
![]()
พูดถึงกิจกรรมปั่นจักรยาน Bike อุ่นไอรัก "คณะผู้จัดงานปีนี้เตรียมการได้ดีมาก อาจจะเป็นพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ด้วย เมื่อวานนี้เรื่องการแจกเสื้อ แจกหมวก ทำได้เรียบร้อยแล้วก็รวดเร็วมาก โดยปกติคนจำนวนมากขนาดนั้น โอกาสที่จะเสร็จเร็วแบบนั้นคงจะยาก ถ้าใช้ภาษาทหารของอาตมาก็คือ "ทำดีก็ทำได้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่ทำ ?"
สมัยก่อนตอนรับราชการอยู่ ถึงเวลาผู้บังคับบัญชาก็จะด่า "ทำดีก็ทำได้ แล้วทำไมไม่ทำ ?" ก็ได้แต่หวังว่าหลังวันที่ ๙ ไปแล้ว การขี่จักรยานเพื่อสุขภาพจะยั่งยืนกว่านี้อีกหน่อย อาตมาดูชมรมคนรักจักรยานของทองผาภูมิแล้วอนาถใจ ตอนก่อตั้งชมรมสมาชิกเป็นร้อย เดี๋ยวนี้มีปั่นอยู่ ๒ คน แล้ว ๒ คนนี่อยู่บ้านเดียวกันด้วย การจะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จทั้งทางโลกทางธรรมนั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือความจริงจังและสม่ำเสมอ ใครที่เป็นคนจริงจังสม่ำเสมอก็จะประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้น..ถ้าทำกันแบบไฟไหม้ฟาง ฉาบฉวย ทำแค่ผู้บังคับบัญชาสั่ง ทำแค่เบื้องสูงสนใจ ถ้าอย่างนั้นก็ชาตินี้ก็เอาดีได้ยาก ตั้งแต่ได้รับการทูลเชิญขึ้นครองราชย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ก็ทรงมีโครงการ พูดง่าย ๆ ว่าปลอบขวัญประชาชน เพราะว่าทุกคนรู้สึกเหงาหรือว้าเหว่ที่สูญเสียในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไป พระองค์ท่านก็จัดโครงการอุ่นไอรักขึ้นมา ตอนนี้ก็ปั่นจักรยานต่อจากยุค Bike for Mom เรื่องแบบนี้ต้องบอกว่าเป็นข้างบนลดพระองค์ลงมาใกล้ชิดกับชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านไม่เหงา ไม่ว้าเหว่ รู้ว่าอยู่ในพระเนตรพระกรรณ คราวนี้ก็อยู่ที่พวกเราว่าจะจริงจังและสม่ำเสมอสักเท่าไร ถ้าหาก "ขี้เกียจ" นำหน้าอยู่เหมือนเดิมก็เห่อแค่พักเดียว แบบเดียวกันท่านที่ซื้อเครื่องออกกำลังกายไปไว้ที่บ้าน มีความเพียรพยายามอยู่ไม่เกิน ๒ อาทิตย์ หลังจากนั้นก็เอาไว้ตากผ้า..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-12-2018 เมื่อ 14:37 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
![]()
"มีโยมถวายจักรยานออกกำลังกายไปให้ อาตมาปั่นจนกระทั่งสายพานขาด แล้วก็ให้พระท่านรื้อออกมา ซื้อสายพานมาใส่กันเอง ปั่นใหม่จนใกล้จะขาดอีกแล้ว ก็คือในเมื่อเขาต้องการให้ใช้งาน ก็ต้องเอาจริง ถามว่าปั่นจักรยานไม่เสียเวลาหรือ ? ไม่เสียหรอก ครึ่งชั่วโมง อาตมาปั่นไป อ่านหนังสือไป จักรยานไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนอยู่แล้ว เพราะว่าไม่มีล้อ ก็แค่ปั่นออกกำลังเฉย ๆ พอเหงื่อท่วมตัวดีก็นั่งอ่านหนังสือต่อได้อีก ๒๐ - ๓๐ นาทีกว่าเหงื่อจะแห้งแล้วค่อยไปสรงน้ำ
ดูตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านทรงงานหนักขนาดไหนก็ตาม ไม่เคยทิ้งการออกกำลังพระวรกาย ถ้าจำไม่ผิด พลตำรวจเอกวศิษฐ์ เดชกุญชร ตอนสมัยเป็นนายตำรวจติดตาม ทูลถามว่า ทำไมถึงต้องทรงออกกำลังด้วย ? พระองค์ท่านตอบว่า "ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็ดูแลประชาชนได้ไม่ดี" อาตมาเองก็ไปนึกถึงหลวงปู่มหาอำพัน หลวงปู่อายุ ๘๐ กว่าปี ปั่นจักรยานออกกำลังวันละ ๑ ชั่วโมง อาตมากราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "ปั่นไปทำไมครับ ?" ท่านตอบแบบที่อาตมาอึ้งมาก "หมอสั่ง..เป็นคนไข้อย่าดื้อกับหมอ" หลวงปู่ท่านอายุ ๘๐ กว่า ปั่นจักรยานวันละชั่วโมง อาตมานวดให้ท่านนี่ขาท่านแข็งเป๊กเลย กล้ามเนื้อดีกว่าหนุ่ม ๆ เยอะเลย นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ท่านโรคภัยไข้เจ็บน้อย อยู่จนอายุ ๘๘ ปี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-12-2018 เมื่อ 14:40 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
![]()
"ส่วนอาตมาเองเป็นคนงานมาก ไม่ว่าจะงานหลวง คือตามสายบังคับบัญชาของพระสงฆ์ หรือว่างานราษฎร์ คือการสงเคราะห์ญาติโยม สงเคราะห์หน่วยราชการหน่วยงานต่าง ๆ งานมาก รับตำแหน่งหน้าที่ ๑๗ - ๑๘ ตำแหน่ง จนจำไม่หมดว่าตัวเองมีตำแหน่งอะไรบ้าง พอเขาเรียกประชุมทีหนึ่งก็ต้องมานั่งปรับสมองกันทีว่าเรื่องนี้ไปถึงไหนแล้ว
ตำแหน่งล่าสุดที่เขาเพิ่งจะโหวตเสียงเป็นเอกฉันท์ให้มา ก็คือประธานศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีศูนย์ปฏิบัติธรรมอยู่ ๒๙ แห่ง แล้วมีที่กำลังจะตั้งอีกหลายแห่ง ในเมื่อพรรคพวกเพื่อนฝูงเห็นความสามารถ ผู้บังคับบัญชาท่านเห็นความสามารถ ปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์ ก็ต้องรับไว้ คราวนี้การที่จะทำงานได้ดี ร่างกายก็ต้องแข็งแรง ไม่อย่างนั้นไปประชุมแค่ในเมือง นั่งรถไปกลับ ๒๘๐ กิโลเมตร มีใครอยากไปบ้าง โดนรถเขย่าอย่างเดียวก็ปางตายแล้ว บอกว่าอยู่กาญจนบุรี โยมว่า "โอ๊ย..ใกล้นิดเดียว" บอกว่า "อยู่ทองผาภูมิ" โยมร้องจ๊ากทุกราย ทองผาภูมินี่เป็นตัวอำเภอ แต่ห่างจากจังหวัด ๑๔๐ กิโลเมตร แล้วขึ้นเขาไปด้วย ๑๔๐ กิโลเมตร ไปกลับก็ ๒๘๐ กิโลเมตร นั่งรถไปทีเท่ากับข้ามภาคเลย กรุงเทพฯ - เมืองกาญจน์ ๑๒๙ กิโลเมตร ข้าม ๓ จังหวัด ข้ามนครปฐม ข้ามราชบุรี ด้วยใช่ไหม ? กว่าจะถึงกาญจนบุรี แต่จากอำเภอเมืองไปอำเภอทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร ไกลกว่า ๓ จังหวัดอีก ในเมื่อโยมเขาเมตตาซื้อเครื่องออกกำลังให้ก็ใช้งานให้เขาสักหน่อย ร่างกายแข็งแรงขึ้น จะได้ทำงานได้มากขึ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-12-2018 เมื่อ 14:42 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกบรรดาเซียนพระเขามีความอดทนมาก เขาจะเทียวไปเทียวมา ไปเยี่ยมอยู่ตลอด ปี ๑ ก็แล้ว ๒ ปีก็แล้ว ๓ ปีก็แล้ว "พี่วัน" ของอาตมาตามจีบพระปิดตาหลวงปู่โต๊ะ ๒๐ ปีแล้วยังไม่เลิก น่าจะท้อได้แล้วนะ
บางคนเขามาโวยวายว่าทำไมอาตมาออกวัตถุมงคลราคาถูกมาก บอกไปว่าแค่นี้เขาไม่มีปัญญาจะบูชากันแล้ว บางอย่างในท้องตลาดราคาแพงจริง ๆ อย่างหนุมานหลวงพ่อสุ่น ถ้าหน้าโขนที่สวย ๆ ระดับ ๘ ล้านบาท ๑๐ ล้านบาทคนก็เอา อาตมาออกแค่ ๓๐,๐๐๐ บาท ๕๐,๐๐๐ บาท บ่นกันจัง อุตส่าห์ตั้งชื่อว่ากระทู้คนมีเงินฯ แล้วนะ ไว้จะเอาตัวที่พกอยู่มาออก ตัวนี้เป็นเนื้องาหายากหน่อย พกมาหลายปีเต็มทีแล้ว ใครเจอหนุมานเนื้องา ราคาพอรับได้ ให้รีบคว้าไว้ก่อน เพราะถึงแม้จะไม่เป็นตามตำรา คือไม่ได้สร้างจากรากพุดซ้อน แต่เนื้องานี่บรรดาเซียนเขาคำนวณไว้นานแล้ว เผื่อเหลือเผื่อขาดเต็มที่มีไม่เกิน ๓๐๐ ตัว เขาคำนวณจากระยะเวลาที่ช่างจีนเขาแกะ ว่าหนุมานตัวหนึ่งใช้ระยะเวลาแกะนานเท่าไร ระยะเวลาที่ช่างอยู่รับใช้หลวงปู่นานเท่าไร สรุปแล้วว่าไม่เกิน ๓๐๐ ตัว ปีก่อนโน้นอาตมาปล่อยไปตัวหนึ่งเป็นพิมพ์พิเศษ ปกติจะมีหนุมานจับเข่า หนุมานพนมมือ คราวนี้หนุมานยกหัวนิ้วโป้ง วันก่อนเพิ่งได้หนุมานหน้าพระพิฆเณศวร์มา ตายห่..พิมพ์นี้ก็มีด้วยหรือ ? ถามท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์บอกว่าชีวิตผมเพิ่งเห็นเป็นตัวที่ ๒ ถือว่าเราโชคดี เพราะว่าฝีมือแกะก็ใช่ ลายมือจารก็ใช่ ไม่สามารถจะเอาเป็นของคนอื่นได้ นอกจากของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน แต่หนุมานอะไรหน้าพระพิฆเณศวร์ ? ช่างคงอยากได้ก็เลยแกะออกมาอย่างนั้น แต่ว่าองค์นี้เป็นรากพุดซ้อน ถ้าหากว่าเป็นเนื้องา โก่งราคาเป็น ๑๐ ล้านก็ได้แน่เลย พิมพ์พิเศษแบบนี้หายาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 03:53 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ชะราธัมมาหิ ความจริงคำนี้ต้อง ธัมเมหิ แต่ผิดจนกลายเป็นถูกไปแล้ว ชะราธัมเมหิ ชะรัง อะนะตีโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นความแก่ไปได้
เมื่อเช้าบอกน้องกวางว่าหยุดสวยเสียบ้าง เพราะว่าอาตมาเห็นคนแก่สวยแล้วช้ามาก งานที่วัดท่าขนุนจะมีท่านเจ้าคุณเพิ่ม เจ้าอาวาสวัดเหนือ (วัดเทวสังฆาราม) ถามว่าวัดเหนือคือวัดอะไร ? วัดหลวงปู่ดี ถามว่าวัดหลวงปู่ดีสำคัญอย่างไร ? ก็เป็นวัดที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๙ คือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ท่านบวชเณรที่นั่น ท่านเจ้าคุณเพิ่มจะไปวัดท่าขนุนทีไรก็จะชวนญาติโยมเก่า ๆ หลายคนไป แต่คณะเจ้าคุณเพิ่มไปไม่เคยทันสวดมนต์เลย พอถึงเวลานั่งลงก็จับมือ “ขอโทษท่านอาจารย์เล็ก” ถามว่าทำไม ? “โยมช้า” สงสัยว่าทำไมช้า? อ๋อ...คนแก่ ค่อย ๆ แต่งหน้า ๒ ชั่วโมง แก่แล้วกลัวว่าจะไม่สวยค่อย ๆ แต่งหน้าไป ๒ ชั่วโมง ท่านเจ้าคุณก็อดทนมากเลยนะ...รอ ถ้าเป็นอาตมาไปนอนรอที่วัดท่าขนุนแล้ว อีก ๒ ชั่วโมงค่อยตามไปก็แล้วกัน แต่ท่านก็รอ ต้องบอกว่าท่านเมตตาโยม อาตมาไม่ค่อยเมตตาหรอก ถ้าช้าก็ทิ้งเลย ลองมานึกถึงว่าคนแก่นั่งแต่งหน้า ๒ ชั่วโมง เหนื่อยนะ..เหนื่อยมากด้วย เพราะต้องทำอย่างนั้นทุกวัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 03:54 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
![]()
"ถึงได้เตือนสาว ๆ ว่าอย่าสวยมาก ถ้าเกิดเคยชินแล้ว ไม่แต่งแล้วจะออกจากบ้านไม่ได้ อาตมาเห็นใครมีแฟนแล้วไม่แต่งหน้า คุณเอ๋ย...โชคดีที่สุดในชีวิตเลย ไม่อย่างนั้นเงินเดือนคุณไม่พอให้แฟนแต่งหน้าหรอก ยิ่งถ้าอายุเริ่มมากแล้วด้วยละก็
อาตมาไปยุโรป เพื่อนพระเข้าร้านปลอดภาษีซื้อครีมหน้าเด้ง ซื้อคนหนึ่ง ๗๐,๐๐๐-๘๐,๐๐๐ บาท ถามว่า “เฮ้ย...เป็นพระเอาไปทำอะไรวะ ?” “โยมฝากซื้อ” คนขายก็ประเภทเป็นที่เข้าใจกัน ไปถึงก็บอก “เอาครีมป๋าเบิร์ด” เขารีบจัดให้ แสดงว่าป๋าเบิร์ดใช้แล้วได้ผล กลายเป็นพรีเซ็นเตอร์โดยไม่รู้ตัว ถามว่าป๋าเบิร์ดอายุขนาดไหน ? ก็รุ่นอาตมานี่แหละ ป๋าเบิร์ดยังหน้าเด้งอยู่เลย อาตมานี่เหี่ยวหมดแล้ว ถ้าหากว่าใจเรายอมรับความเป็นธรรมดาก็จะสบาย มีความสุขดี ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อตัวเองมาก แก่แล้วก็ต้องอ้วน แก่แล้วก็ต้องเหี่ยว แก่แล้วก็ต้องเดินหลังค่อม แก่แล้วก็ทำอะไรไม่ได้อย่างใจ ถ้ายอมรับธรรมดา...ก็ไม่เหนื่อย ถ้าไม่ยอมรับนี่ต้องดิ้นรนให้ดูไม่แก่ จะเหนื่อยมาก ไม่เหนื่อยอย่างเดียว เปลืองสตางค์อีกด้วย ใครที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัว ลองเก็บเงินค่าแต่งหน้าแต่งตัวดู อาตมาว่าไม่กี่ปีหรอก...ซื้อบ้านได้เป็นหลัง สมัยอาตมายังวัยรุ่นอยู่มีเพลงของสังข์ทอง สีใส “เครื่องสำอางขวดเท่านิ้วก้อย ร้อยสองร้อยเที่ยวหาซื้อมา ห่วงแต่แต่งตัว แม่ทูนหัวลืมซื้อน้ำปลา” เข้าครัวไปไม่มีน้ำปลา...ผัวโกรธ แต่งเพลงด่าเมียเลย รุ่นอาตมาน้ำปลาขวดหนึ่ง ๒ บาท สิบสลึง เครื่องสำอาง ๑๐๐-๒๐๐ บาทซื้อได้ น้ำปลา ๑๐ สลึงลืมซื้อ ใครมีแฟนแบบนั้นก็ทน ๆ เอาก็แล้วกัน ก็ดันไปชอบคนสวยเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 03:56 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#135
|
||||
|
||||
![]()
"บางคนก็กลัวไม่สวยกลัวไม่หล่อ พึ่งมีดหมอครั้งแล้วครั้งเล่า อาตมาชื่นชมคนพวกนี้มาก ชื่นชมตรงที่ว่ากฎของกรรมไม่ตามหา ก็ยังทะลึ่งวิ่งไปหาเอง ก็คือเรื่องของกรรมปาณาติบาตเก่านี่อย่างไรเราก็ต้องเจ็บ ก็ต้องป่วยอยู่แล้ว อันนี้วิ่งไปหาความเจ็บเอง เต็มใจชดใช้เขาเลย ชื่นชมมาก ไม่เหมือนอาตมาหรอก...หนีได้หนีสุดชีวิต ไม่ค่อยจ่ายหรอก ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไปหาเจ้ากรรมนายเวร ถึงเวลาโดนเข็มบ้าง โดนมีดบ้าง ฯลฯ กลับมาแต่ละทีหน้าตาหัวหูบวมจนดูไม่ได้ ทนเจ็บไปเป็นอาทิตย์ ๆ
เต็มใจชดใช้กฎของกรรมอย่างน่าชื่นชม แต่อย่าไปทำเลยนะ...เจ็บ ความอดทนไม่พอสวยไม่ได้หรอก บางคนพอมาสวยไม่ได้ดั่งใจต้องไปแก้ใหม่อีก เจ็บแล้วเจ็บอีก เป็นอันว่าเก่งกว่าอาตมา อาตมาจะยอมทนก็ต่อเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ส่วนของโยมเขาวิ่งไปหาความเจ็บปวดเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2018 เมื่อ 20:03 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#136
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์หยิบปฏิทินขึ้นมา "นี่คือเครื่องวัดสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ปีไหนเศรษฐกิจดีปฏิทินจะเยอะมาก ถ้าปีไหนเศรษฐกิจไม่ดีก็มีแค่ไม่กี่หน่วยงานที่กล้าทำปฏิทินแจก แต่ว่าทางภาคอีสานทำปฏิทินรูปอดีตนายกฯ ทักษิณ กับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดนทหารตามถึงบ้าน
อาตมาดูแล้วก็ขำ ๆ ถ้าตำรวจทหารบ้านเราขยันจับอาวุธสงครามหรือยาเสพติดเท่ากับจับปฏิทิน บ้านเราคงจะเจริญกว่านี้อีกเยอะ บางอย่างก็ต้องบอกว่าผู้บังคับบัญชาไม่รู้ แต่บรรดาลูกน้องโง่แล้วขยัน กลัวคะแนนเสียงเจ้านายจะดีเกินไป ช่วยจับให้ ความซวยก็มาเยือนเจ้านาย โดนด่าไปเถอะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 03:58 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#137
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมเอายาลมมาถวาย "อัมพฤกษ์ อัมพาต คือ โรคที่เกิดจากลม หรือลมเดินไม่ดี โบราณของเรามีภูมิปัญญาในการแก้ไข อย่างหนึ่งก็คือใช้ยาแก้ลม
ยาแก้ลมบ้านเราที่ติดตลาดมาจนทุกวันนี้ ก็อย่างยาหอมตราห้าเจดีย์ ยาหอมภูลประสิทธิ์ ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ ยาหอมอินทรโอสถ ตราแท่งทอง อันนี้ไม่ต้องโฆษณาให้เขา ของเขาดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกยาแก้ลม ๑๐๘ โบราณเขารู้อยู่แล้วว่าร่างกายคน ประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ถ้าอย่างไหนบกพร่องหรือว่าเกิน โรคภัยไข้เจ็บก็จะเกิดขึ้น แต่ว่าในเรื่องของการแก้ธาตุลมนี้ ยังมีอีกวิชาการหนึ่งคือการนวด นวดเพื่อให้เลือดลมเดินดีขึ้น หมอนวดเก่ง ๆ นี่คิวยาวจนกระทั่งบอกไม่ถูก มีหมอนวดไทยคนหนึ่งไปชนะเลิศการนวดแผนโบราณของโลก ฝรั่งจองคิวยาวข้ามปีเลย ค่าตัวแพงมาก ชั่วโมงละ ๒,๕๐๐ บาท ก็เลยไปนึกถึงที่คนโบราณบอกว่า ‘อันความรู้รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล จะได้ชักเชิดชูฟูสกนธ์ ถึงคนจนพงศ์ไพร่คงได้ดี’ ช่วยให้วงศ์ตระกูลเจริญไปด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 19:04 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#138
|
||||
|
||||
![]()
"ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ทรงมีวิสัยทัศน์ยาวไกลมาก ระดมสรรพความรู้เอาไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดโพธิ์ โดยเฉพาะความรู้ด้านการนวดแผนโบราณ ด้านกายบริหารเพื่อแก้โรคภัย เพราะฉะนั้น..ตำรานวดหรือว่าตำราฤๅษีดัดตน ถ้าใครขยันทำก็เหมือนกับสมัยนี้ที่เขานิยมเล่นโยคะ ถึงเวลาก็บอกว่าท่านี้แก้ลมในอก ก็ดัดไปตามฤๅษี ไปเดินดู ๆ เอาก็แล้วกัน พักเดียวก็จำได้หมดแล้ว แต่ว่าบางท่านี่แค่เห็นก็ท้อแล้วว่าเราจะดัดไหวไหม นี่เป็นภูมิปัญญาโบราณ
สมัยนี้ก็ต้องบอกว่าถ้ารู้จักรักษาสุขภาพก็ไม่ต้องหาหมอบ่อย ๆ ถ้าไม่รักษาสุขภาพก็ต้องกินยาแทนข้าว เพราะฉะนั้น..ถ้าแก่แล้วรู้สึกร่างกายไม่ปกติ ถามว่าแก่แล้วนี่ต้องขนาดไหน ? ก็หลัง ๓๐ ปีไปแล้ว เริ่มหายาลมมาเก็บ ๆ ไว้บ้าง ใกล้มือใกล้ไม้ถึงเวลาจะได้ช่วยได้ ถ้าถามว่ายาลมประเภทไหน ? เอายาแก้ลม ๑๐๘ ครอบจักรวาลไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็พอช่วยได้ แต่ถ้าขนาดเป็นลมไปแล้วก็โน่น...พวกยาหอมภูลประสิทธิ์ ตราพระอาทิตย์ดั้นเมฆ แรงสุด ๆ อาตมาชิมไปทีหนึ่ง ยี่ห้อนี้คนตายยังฟื้นเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2018 เมื่อ 19:06 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#139
|
||||
|
||||
![]()
พระวัดอื่นขอพระวัดท่าขนุนให้ไปอยู่ช่วยงานที่วัด "ท่านขอให้ไปช่วยท่าน เพราะว่าปีนั้นท่านแทบจะไม่มีพระอยู่เลย ที่แน่ ๆ ญาติโยมแถวนั้นติดใจพระวัดท่าขนุน เพราะไปแล้วช่วยทำให้วัดวาอารามสะอาดสะอ้าน ทำนั่นทำนี่ คนอื่นเขาอยู่เฉย ๆ อาตมาแค่สอนพระไม่ให้ขี้เกียจเท่านั้นแหละ ไม่ได้สอนอะไรมากมาย อย่างที่เขาบอกว่าพระอาจารย์เล็กอบรมพระดี ไม่ได้อบรมหรอก...ส่วนใหญ่ผมด่า...!
วัดต่างจังหวัดในช่วงพรรษา พระทั้งตำบล ๕-๖ วัดรวมกันจะได้ ๔๐ รูปก็ยากแล้ว วัดท่าขนุนเองขนาดออกพรรษาแล้วยังเหลือ ๔๐ กว่ารูป ต่างจังหวัดออกพรรษาส่วนใหญ่จะเหลือแต่เจ้าอาวาสกับเณร หรือไม่ก็เหลือแต่เจ้าอาวาสรูปเดียว มีวัดหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอรูปหนึ่ง อยู่รูปเดียวมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว นั่นท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอนะ เจ้าคณะอำเภอนี่ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย บวชพระปีหนึ่งไม่ใช่น้อย ๆ แต่พระไม่สามารถจะอยู่ได้ โบราณถึงได้บอกว่า ต้นไม้ใหญ่โคนต้องเย็น ถ้าโคนไม่เย็นก็ไม่มีอะไรอาศัยได้ เตลิดเปิดเปิงไปหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2018 เมื่อ 01:06 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#140
|
||||
|
||||
![]()
"วันก่อนพระครูบุญยงค์ สมณศักดิ์ของท่านก็คือ พระครูภาวนาวิริยานุโยค เป็นพระครูสายวิปัสสนา ท่านบอกว่า “ท่านอาจารย์เล็ก...ขอแม่ชีหน่อยสิ ที่วัดผมนี่มีพระอยู่ ๓ รูป แล้วไม่มีแม่ชีเลย ทำอะไรลำบากมาก หาคนประเคนของยังไม่ได้เลย” ก็เลยบอกท่านว่า "ท่านอาจารย์เกลี้ยกล่อมเอาเองแล้วกัน แม่ชีวัดผมเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ตั้งหลายรูป ถ้าเขายอมไปผมก็ยกให้เลย" แม่ชีที่วัดไปเรียนวิปัสสนาภาวนาที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมธรรมโมลีอยู่หลายรูป ก็เลยบอกให้ไปเกลี้ยกล่อมเอาเองก็แล้วกัน
แม่ชีที่วัดมีเยอะ...รำคาญ...เรื่องมาก ส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงเรื่องเล็กเรื่องน้อยอะไรก็ไม่รู้ เก็บเอามาคิดหมด เก็บมาคิดอย่างเดียวไม่พอ ยังทำเอาเจ้าอาวาสปวดหัวไปด้วย กลัวว่าตัวเองจะปวดหัวคนเดียว ชอบเอาเรื่องโน้นมาฟ้อง เอาเรื่องนี้มาฟ้อง ฟ้องแล้วไม่ได้กล่าวหาตรง ๆ นะ “อ้อมข้าง” อาตมาเองก็บอกว่า บังเอิญอาตมาเป็นเจ้าอาวาสที่ค่อนข้างจะโง่ ถ้าไม่บอกตรง ๆ นี่ฟังไม่เข้าใจหรอก ปล่อยเขาไปทะเลาะกันเอง" ถาม : ทำไมผู้หญิงส่วนใหญ่จึงเป็นแบบนั้นคะ ? ตอบ : ก็เพราะว่าส่วนน้อยไม่ไปบวช..! ชอบคิดเล็กคิดน้อย เรื่องไม่ควรเก็บก็เก็บ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2018 เมื่อ 01:08 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|