กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 28-12-2012, 19:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมถือศีล ๘ แต่ก็มีหน้าที่ที่ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมือง ?
ตอบ : ถ้าดูลักษณะนั้นก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม ดูแค่รับรู้ว่าโลกเป็นอย่างไร ? หรือไม่ก็ดูไปปลงไปก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 19:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 28-12-2012, 19:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มโนมยิทธินี่คือสมาธิใช้งานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : คนละอย่างกัน...มโนมยิทธิเป็นกำลังอภิญญา ใช้ถอดจิตออกไป สมาธิใช้งานหมายถึงสมาธิที่เราทรงตัวก็สามารถทำสิ่งอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้

แต่ถ้าใครทำมโนยิทธิได้คล่องตัวจะสามารถทำสมาธิใช้งานได้ด้วย อย่างเช่นทำงานอยู่ก็จับภาพพระไปได้ด้วย ทำงานอยู่สามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาไปด้วย ลักษณะเหมือนกับแยกจิตทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน แต่สรุปโดยรวมแล้วมโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของสมาธิใช้งาน


ถาม : สมาธิหมายถึงการที่เรามีอารมณ์ปักมั่นเป็นอารมณ์เดียว การแยกทำหลายอย่างก็ไม่ใช่สมาธิ ?
ตอบ : นั่นสำหรับพวกที่อ่านแต่ตำรา ถ้าทำได้จริง ๆ จะเลิกสงสัยไปเอง

ถาม : เรื่องของสมาธิสมาบัติ พวกพราหมณ์เขาก็ทำได้เหมือนกันหรือครับ ?
ตอบ : เขาทำกันจนเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่กำลังเหลือเฟือแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร เราจะเห็นว่าพื้นฐานเขาเหล่านี้ดีมาก พอพระพุทธเจ้าเทศน์จบเดียวก็บรรลุไปตาม ๆ กัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 20:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 28-12-2012, 19:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การฝึกแนวมหาสติปัฏฐาน เขาบอกว่าใช้แค่ขณิกสมาธิ ?
ตอบ : นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้าบอก ในมหาสติปัฏฐานสูตรขึ้นด้วยอานาปานสติ มีอานาปานสติที่ไหนที่ทำแค่อุปจารสมาธิ ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์รุ่นหลัง ๆ ทำไม่ได้แล้วก็มั่วไปเรื่อย ตีความผิดเข้าป่าดงไปจนทุกวันนี้

ถาม : อุทยัพพยานุปัสสนาญาณเขาบอกว่าแค่อุปจารสมาธิ ?
ตอบ : อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าทำถึงปฐมฌานขึ้นไปก็จะเห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้นถ้าไปฟังญาณ ๑๖ ของเขาแล้วคุณอาจจะบ้าตาย..!

ถาม : แล้วสังขารุเปกขาญาณเขาบอกว่าถึงขั้น....?
ตอบ : คุณไม่ต้องไปสนใจว่ากำลังถึงไหน ถ้าทำสังขารุเปกขาญาณได้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระอริยเจ้ากันหมดแล้ว ของเขาสังขารุเปกขาญาณยังไปแค่ครึ่งทางเอง

บุคคลที่สามารถวางสังขารคือการปรุงแต่งของจิตลงได้ กิเลสต่าง ๆ เกิดไม่ได้แล้ว ในเมื่อกิเลสเกิดไม่ได้ก็ต้องเป็นพระอริยเจ้า แต่ของเขาเองตะกายขึ้นไปอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงมรรคญาณ ผลญาณของเขา

ปัจจุบันนี้ยังมีคนเป็นจำนวนมากที่ไปฝึกปฏิบัติตามสายนี้แล้วหลงว่าตัวเองเป็นพระโสดาบัน เพราะไปสรุปว่าถ้าผ่านถึงญาณ ๑๖ จะเป็นพระโสดาบัน แต่ญาณ ๑๖ ของเขาบางคนกระทั่งปฐมฌานยังขึ้นไม่ถึง ไปเก็บเอาอาการตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อยมา แล้วก็สรุปว่าได้ญาณนั้นญาณนี้

อาตมาเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เล่มหนึ่ง หลายปีมาแล้ว แต่ต้องให้เรียนจบปริญญาเอกก่อนแล้วค่อยเผยแพร่ เพราะเขียนด่าเขาโดยตรงตั้งแต่แรกจนจบเลย มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่เขาก็ชูเส้นทางนี้ ขืนออกตอนนี้มีหวังโดนไล่ออกไปด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 28-12-2012, 19:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จิตสังขาร คืออะไรครับ ?
ตอบ : ความคิดของคุณนั่นแหละ จะปรุงไปทางดีหรือชั่วก็ตาม เขาเรียกว่าจิตสังขาร คือการปรุงแต่งของใจ เริ่มคิดเมื่อไรก็เป็นจิตสังขารเมื่อนั้น ถ้านับแล้วอยู่ในส่วนของจิตในจิต

ถาม : จิตตานุปัสสนา ?
ตอบ : รู้ว่าตอนนั้นสภาพจิตเป็นอย่างไร มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลงหรือว่าไม่มีก็สามารถที่จะรู้ได้ อย่าลืมว่า “รู้” ไม่ได้แปลว่าสามารถจะชำระจิตให้สะอาดได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2012 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 28-12-2012, 20:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ตอนนี้สามารถรู้ได้เพราะจิตข่มกิเลสลงอยู่ ถ้าเป็นไปตามวิมุติ คือการหลุดพ้น เขาเรียกว่าวิขัมภนวิมุตติ ก็คือหลุดพ้นได้เพราะองค์ฌานข่มเอาไว้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็แปลว่าถ้าฌานเสื่อมเมื่อไรกิเลสก็เกิดใหม่ ไม่ใช่การกำหนดรู้อนุสัย แค่รู้ว่ากิเลสหยาบเกิดขึ้นมาทำอันตรายเราไม่ได้เท่านั้น ส่วนกิเลสอื่น ๆ ยังรอจังหวะอยู่ เผลอเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น

ความจริงเรื่องนี้เขาปฏิบัติกันมานาน น่าจะสรุปผลได้นานแล้ว แต่ก็สรุปไม่ได้ สมัยที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์ผมคนนี้เก่งมาก นั่ง ๒๓ ชั่วโมงไม่กระดิกเลย” ถามว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ? ท่านว่า “สึกไปมีเมียแล้ว” ก็น่าจะสรุปได้แล้วว่าวิธีนี้ผิด แต่เขาก็ยังอุตส่าห์สอนกันมาจนทุกวันนี้


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : สภาพจิตของเรามีกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดอยู่ ถ้าสภาพจิตสามารถที่จะละเอียดถึงตรงจุดไหน ก็จะก้าวข้ามกิเลสที่หยาบกว่าตรงส่วนนั้นไป นั่นก็คืออาการที่เปลื้องจิตออกจากกิเลสตัณหาต่าง ๆ ตามลำดับไป แต่คราวนี้ก็ต้องดูด้วยว่า สภาพปัญญาตอนนั้นยอมรับแล้วกำลังมีเพียงพอไหม ? ถ้าไม่ยอมรับ กำลังไม่พอก็แค่ได้เห็นเท่านั้น ได้รู้ขั้นตอนเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถที่จะทำให้เป็นของเราเองได้

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คุณไปดูตรงท้ายมหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพ บทสรุปจะอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะหมวดไหน ตอนไหนก็ตาม ท่านจะลงไว้ว่า น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ เราจะไม่ยึดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ ลงตรงนั้นก็จบแล้ว ไม่ต้องทะลึ่งไปดูอย่างอื่นให้เสียเวลาหรอก

แสดงว่าคุณอ่านตำรามากเกิน อ่านมากไม่เป็นไร อ่านมากแล้วจับจุดไม่ถูกก็จะงงต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าเราดูตั้งแต่ต้นจนปลายของมหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพ เขาสรุปลงตรงนี้ที่เดียว เราจะปฏิบัติแค่ตรงนั้นที่เดียวเลยก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2012 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 28-12-2012, 20:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การภาวนาคาถายาว ๆ พร้อมกับจับลมหายใจเข้าออกทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาที่เราถนัด คุณจะว่ายาวตลอดเข้า ยาวตลอดออกก็ได้ คุณจะว่าทีละคำก็ได้ ว่าเป็นคู่ก็ได้ อยู่ที่เราหายใจสะดวกไหม ? เขาไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะต้องภาวนาอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2012 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 28-12-2012, 20:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โยมกำลังดูหนังสือพระเครื่องอยู่ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เมื่อก่อนทิดตู่ก็เป็นแบบนี้แหละ เปิดดูไปแล้วกิเลสเกิด พวกวัตถุมงคลของเก่า ถ้าไม่เคยเห็นของจริงอย่าไปเล่น ต้องได้เห็นของจริงมามากพอจนกระทั่งมั่นใจแล้วถึงไปเล่นได้

วัตถุมงคลเหมือนกับต้นไม้ นึกออกไหม ? ถ้าคุณรู้จักต้นไม้มองดูเมื่อไรก็รู้ว่านี่คือต้นนี้ ต้องดูให้ได้แบบนั้น มองไปถึงต้นนั้นเราก็จะรู้ว่า อ้อ..ต้นคูณ เวลาเขาเอาต้นคูณมาเรามองเมื่อไรก็รู้ว่าต้นคูณ เรื่องของการเล่นวัตถุมงคลจะต้องรู้ให้ซึ้งก่อน ไม่อย่างนั้นไปเปิดหนังสือมองแบบนั้นรับรองได้ว่ามีค่าครูอีกเยอะ..!

บรรดาพวกเซียนต่าง ๆ มักจะมีตำนานมา มีที่มาอย่างนั้นอย่างนี้ เราไปฟังตามตำนานเมื่อไรตายคาที่ทุกราย เล่นพระต้องเล่นด้วยตาไม่ใช่เล่นด้วยหู ดูให้เข้าใจอย่างแท้จริง ศึกษาให้รู้ว่าแต่ละพิมพ์ แต่ละเนื้อมีลักษณะอย่างไร เช่น ถ้าเขาบอกว่า “ผิดเนื้อผิดพิมพ์” เขาวางเลย เวลาเขาเอาต้นมะรุมมาดันบอกว่าเป็นต้นมะขาม ใบคล้ายกันแต่คนรู้จักมองดูก็รู้แล้วว่านี่ต้นมะรุม"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2012 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 28-12-2012, 20:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ต้องการทำบุญด้วยการทำความสะอาดพระพุทธรูป ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ...ทำความสะอาดถือว่าดี แต่ต้องเป็นพระพุทธรูปพวกทองเหลือง อย่าเอาพระพุทธรูปที่ปิดทอง เพราะถ้าไปทำความสะอาดเดี๋ยวทองหลุดหมด หรือไม่ก็ไม่ต้องทำความสะอาด ซื้อแบบมีตู้ครอบถึงเวลาก็เช็ดแต่ตู้เท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2012 เมื่อ 02:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 28-12-2012, 20:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้นะว่า ทอง ๒๔ เค คือทอง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๑๘ เคเป็นทองประมาณ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ภาษิตจีนเขามีอยู่บทหนึ่งว่า “ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผา” ไม่ใช่ว่าเผาแล้วไม่ละลาย คำนี้เขาหมายถึงว่าหลอมอย่างไรก็เป็นเนื้อทอง แต่ถ้าทองปลอมพอหลอมแล้วโลหะอื่นจะโผล่ ทองคำแท้ไม่กลัวไฟเผาก็คือของจริงไม่กลัวการพิสูจน์

สมัยนี้เขาเล่นกันจนร้านทองเองตามไม่ทัน เสียท่าเขามาเยอะแล้ว เขาเล่นตีทองโปร่งไปหุ้มโลหะอื่น แล้วทำเป็นรูปพรรณอย่างดีเลย พวกนี้ต้องสุดยอดฝีมือเลยนะ แต่คราวนี้ด้วยความที่เขาหุ้มโลหะอื่น น้ำหนักก็จะมากกว่าเดิมหลายเท่า พอเอาไปขายแล้วส่วนกำไรจะได้เยอะ

เขาให้หินลองทอง ใช้น้ำยาป้ายดูก็เป็นทอง เพราะข้างนอกเอาทองหุ้มไว้ ช่วงที่ทองไมครอนออกใหม่ ๆ ตัดดูเนื้อข้างในก็เหลืองอร่าม แต่ว่าไม่ใช่ทอง นั่นเป็นไพไรต์ ที่ซาอุดิอารเบียเขามีภูเขาทอง เป็นทรายทองทั้งภูเขา เขาใส่ขวดเล็ก ๆ ขายให้เป็นที่ระลึก อันนั้นเป็นไพไรต์ทั้งหมด

เขาบอกว่าไพไรต์ ๑ ตันจะหลอมได้ทอง ๒ บาท ๑,๐๐๐ กิโลกรัม จะได้ทอง ๓๐.๔ กรัม ลองดูบ้างไหม ? แค่ค่าถ่านค่าฟืนก็ไม่ไหวแล้วนะ ที่ซาอุฯ เขาบอกว่าถ้าจะตั้งโรงงานผลิตทองจริง ๆ ก็คุ้ม แต่คราวนี้ซาอุฯ เขารวยจนไม่รู้จะทำไปทำไม ก็เลยเอาไว้ให้นักท่องเดียวดู และเอาใส่ขวดเล็ก ๆ ขายเป็นที่ระลึก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2012 เมื่อ 02:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 28-12-2012, 20:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทางมหายานเขากล่าวถึงพุทธเกษตรที่มีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ เป็นไปอย่างนั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : สุขาวดีพุทธเกษตรของเขาก็คือสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นที่อยู่ของบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่ามีหลายจักรวาล แล้วมีพุทธเกษตรต่าง ๆ แสดงว่าสวรรค์ชั้นดุสิตมีหลายที่จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเจอพระที่เป็นมหายาน ถามท่านดูแล้วกัน อาตมาเป็นพระเถรวาท วันก่อนไปวัดธรรมปัญญารามบางม่วง ไปดูสุขาวดีพุทธเกษตรของเขา เขาใช้ทรายสี ๆ โรยทำเป็นแมนดาล่าหรือมัณฑะเลย์ เขาทำได้งามจริง ๆ อาตมาถึงได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วการปฏิบัติธรรมไม่ใช่นั่งเฉย ๆ การปฏิบัติธรรมต้องใช้งานจริงได้ ทำสมาธิค่อย ๆ โรยทราย แล้วบางอันเขาประกอบขึ้นมาคล้ายกับแบบย่อส่วนเล็ก ๆ แต่รายละเอียดเหมือนกับของจริงทุกอย่าง เขาทำด้วยความศรัทธาจริง ๆ

ทางสายมหายานโดยเฉพาะทิเบต เขาเชื่อในพลังของอัญมณีต่าง ๆ เขาจะมีการใช้ปะการังกับพลอยขี้นกการเวกประดับ อาตมาก็นึกว่าต้องใช้จำนวนมหาศาล แต่ปรากฏว่าไปเจอมัสยิดในซินเกียงกับในรัสเซีย โดมมัสยิดเขาประดับด้วยพลอยขี้นกการเวกทั้งโดมเลย ต้องใช้เวลาตกแต่งนานขนาดไหน ? เพราะต้องทำเป็นชิ้นแล้วค่อย ๆ ติดจนเต็มทั้งอัน ไม่ต้องไปประมาณศรัทธาคนเลยว่าราคาเท่าไร แค่เทอร์คอยซ์เราก็ไม่มีปัญญาจะซื้อแล้ว แล้วยังบวกแรงศรัทธาไปอีกตั้งเท่าไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-12-2012 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 30-12-2012, 07:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แม่เขาชอบฝันเห็นก้อนเนื้อ ?
ตอบ : มีเปรตชนิดหนึ่งเรียกว่า มังสเปสิกเปรต เป็นก้อนเนื้ออย่างเดียว

ถาม : แล้วควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อย ๆ

ถาม : แล้วทำไมจำเพาะจงกับแม่ด้วยครับ ?
ตอบ : มีกรรมเนื่องกันมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 30-12-2012, 08:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่บอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำหน้าที่รักษาการณ์พระศาสนา คำว่า “รักษาการณ์พระศาสนา” หมายความว่าอะไรครับ ?
ตอบ : สรุปง่าย ๆ ว่าทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า เช่น ทางโลกเราอาจจะมีพระสังฆราช แต่บุคคลที่ท่านมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนจะเป็นใครก็อีกเรื่องหนึ่ง

ถาม : พระส่วนใหญ่มักจะทราบใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าพระที่ได้ตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไปมักจะทราบ เรื่องนี้ถ้าไปพูดวัดแถว ๆ ปทุมฯ เขาไม่ยอมนะ เขามั่นใจว่าต้องเป็นอาจารย์เขา

หลังจากมีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ มีการแตกออกเป็นมหายาน เถรวาท และนิกายต่าง ๆ รวมแล้ว ๑๐ กว่านิกาย มาดูในปัจจุบันบ้านเรา ถ้าเอาคำว่านิกายห้อยท้ายไปจะเห็นชัดเลย อย่างเช่น นิกายสันติอโศก นิกายธรรมกาย เพราะว่ามีวัตรปฏิบัติที่ต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ไปด้วยกับคนอื่นเขา

ถ้าไปศึกษาดูคำสอนของเขา เป็นคำสอนที่จะดึงคนให้สร้างประโยชน์ให้กับเขาให้มากที่สุด เช่น ในเรื่องของสวรรค์ ๖ ชั้น เขาบอกว่าบุคคลที่จะไปสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชจะต้องทำทานประมาณนั้นประมาณนี้ ไปชั้นดาวดึงส์ต้องทำทานให้ยิ่งขึ้นกว่า ไปชั้นยามาต้องทำทานยิ่งกว่าดาวดึงส์ ไปชั้นดุสิตต้องทำทานยิ่งกว่ายามา เพิ่มไปเรื่อย สรุปว่าเน้นตรงทานอย่างเดียวเพื่อให้บริวารสร้างทานเยอะ ๆ แล้วพวกทานนั้นก็จะส่งผลคือความสุขความสบายของพวกเขา

ตรงจุดนี้พอนาน ๆ ไปบรรดาท่านที่ศรัทธาก็จะเชื่อถือและยึดมั่น คำสอนนี้ก็จะเป็นอาจาริยวาท ก็คือยึดมั่นในคำสอนของอาจารย์ เรื่องของอาจาริยวาทนี่แหละที่ทำให้บรรดามหายานก็ดี เถรวาทก็ดี แตกออกเป็นสารพัดสาย เป็นนิกายนั้นนิกายนี้เต็มไปหมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2013 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 30-12-2012, 08:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรียกว่าลัทธิได้ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เราจะเรียกหรือไม่ จะลัทธิหรือนิกายเราก็จะเห็นว่าต่าง ในเมื่อเราเห็นต่างคนอื่นเขาก็ต้องเห็นด้วย เพียงแต่ว่าคนอื่นเขาเห็นแล้วจะพูดหรือเปล่า ? เป็นที่น่าเสียดายว่าธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านสอนถึงพระนิพพาน แต่วัดธรรมกายที่มีผู้คนนับถือมากที่สุดในประเทศไทยช่วงนี้สอนแค่ดุสิตบุรี

ถาม : แล้วจะไปได้จริงไหมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูว่ามุ่งมั่นจริงหรือเปล่า ? สมัยก่อนเพื่อนหลายคนก็เข้าไปคลุกอยู่ในนั้น แล้วก็อธิษฐานขอถึงซึ่งพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้า ก็เลยถามว่าแล้วทำไมคุณไม่ขอให้ไปได้ชาตินี้เลย มักจะได้ยินคำถามย้อนกลับมาว่า “พระนิพพานไปชาตินี้ได้ด้วยหรือ ?” ก็ต้องบอกว่าถ้ากำลังใจพอก็ไปได้ ถ้ากำลังใจไม่พอก็ไปไม่ได้

ถาม : อย่างนั้นเป็นมานะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่มานะ เป็นมิจฉาทิฐิ หนักกว่ามานะหลายล้านเท่า มิจฉาทิฐิคือความเห็นผิด เป็นที่น่าเสียดาย ก่อนหน้านี้มีอาจารย์ที่สอนว่าสวรรค์ไม่มี นรกไม่มี พระนิพพานสูญ ท้ายสุดพอท่านตายก็ลงเลยอเวจีไปอีก พอมาเจอสอนลักษณะอย่างนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะไปทางไหน คงต้องรอดูกันต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 21-03-2015 เมื่อ 18:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 30-12-2012, 08:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ผ้าที่ทอจากขนสัตว์ บาลีเขาเรียกว่า ผ้ากัมพล เขาจะมีสาณัง ผ้าป่าน อย่างเช่นทอจากป่านศรนารายณ์ ผ้าใยกัญชาพวกนั้น โขมัง ผ้าเปลือกไม้ กัปปาสิกัง ผ้าฝ้าย โกเสยยัง ผ้าไหม กัมพะลัง ผ้าขนสัตว์ ภังคัง ผ้าแกมกัน อย่างสมัยนี้พวกผ้าโทเรผสม มีฝ้าย ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเทคนิคสมัยก่อนเขาเก่งกว่า เขาทำผ้าแกมกันได้มานานแล้ว

ผ้าที่สำคัญในพระศาสนาที่กล่าวถึงไว้ ก็คือผ้าสิงคิวรรณ สิงคิแปลว่าทองคำ สิงคิวรรณแปลว่าสีเหมือนทองคำ ที่ปุกกุสสะมัลลบุตรถวายพระพุทธเจ้าก่อนปรินิพพาน แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เก็บไว้ใช้เองผืนหนึ่ง มอบให้พระอานนท์ผืนหนึ่ง พระอานนท์ไม่กล้าใช้เอามาถวายคืน พระพุทธเจ้าจึงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง เสร็จแล้วรัศมีพระกายเปล่งปลั่งผิดปกติ พอพระอานนท์ถามถึงได้รู้ว่า วันก่อนตรัสรู้กับวันก่อนปรินิพพานจะสวยที่สุด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 30-12-2012, 08:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องทำบารมี ๓๐ ทัศไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าใคร ถ้าจะเข้าพระนิพพานต้องทำทั้งหมด เพียงแต่ว่าจะทำแค่ไหน ทำแค่ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป หรือ ๒ อสงไขย หรือ ๔ อสงไขย หรือ ๘ อสงไขย หรือ ๑๖ อสงไขย แต่อยู่ใน ๓๐ ทัศทั้งหมดเพราะมีหยาบ กลาง ละเอียดเหมือนกัน แบ่งเป็นสามัญบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมีเหมือนกัน

ถาม : แล้วมหากัปนานแค่ไหนครับ ?
ตอบ : ต้องเริ่มจากอันตรกัป ให้ตั้งเลข ๑ ขึ้นมาต่อด้วยเลขศูนย์ ๑๔๐ ตัว ระยะเวลาผ่านไปร้อยปีลดลง ๑ ปี ร้อยปีลดลง ๑ ปีไปจนเหลืออายุขัยแค่ ๑๐ ปี แค่นี้ครึ่งอันตรกัป ต้องร้อยปีเพิ่มอีก ๑ ปีไปเรื่อยจนได้เลข ๑๔๑ หลักเหมือนเดิม ถึงจะได้ ๑ รอบอันตรกัป ๖๔ รอบอันตรกัปจะได้ ๑ อสงไขยกัป ๔ อสงไขยกัป ถึงจะ ๑ มหากัป แค่อันตรกัปเดียวก็หมดสภาพแล้ว ต้องลูบภูเขาเหล็กสึกเสมอพื้นไป ๑ ลูก

ถาม : แล้วกำไรแสนกัปหมายถึงอะไรครับ ?
ตอบ : คำว่ากำไรก็คือเกินมา ได้กำไรคือได้เกินมา เกินมาอีกแสนกัป แสดงว่าไม่เข้าใจภาษาโบราณใช่ไหม ? ถ้าขาดทุนคือเสียไป ถ้ากำไรคือเกินมา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 30-12-2012, 08:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นิตยโพธิสัตว์นี่ต้องทรงอยู่ในสังขารุเปกขาญาณไหมครับ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..ยกเว้นช่วงที่อารมณ์ใจท้าย ๆ ที่เทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ถึงจะรู้จักสังขารุเปกขาญาณ กิเลสเต็มหัวแต่อารมณ์เท่าพระอรหันต์ ฟังแล้วเท่สุด ๆ เลยนะ กิเลสท่วมหัวแต่กิเลสเกิดไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 30-12-2012, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ฝนเริ่มน้อยลง ถ้าฝนแล้งแล้วอาตมาจะส่งข้าวสารอาหารแห้งไปให้ที่บ้านจะแก บ้านจะแกมีโรงเรียนอยู่ ชื่อโรงเรียนบ้านหินตั้ง เป็นโรงเรียนที่น่าสงสารมาก ครูบาอาจารย์จะได้ลาก็ต่อเมื่อปิดเทอม โดยเฉพาะหน้าฝนจะเข้าออกไม่ได้ อยากจะเข้าออกก็ได้แต่ว่าต้องใช้เวลาเดินเข้าออกประมาณ ๕ วัน สรุปว่าถ้ามีวันลาแค่ ๕ วัน เดินไปแล้วก็เดินกลับ ไม่ต้องไปไหนหรอก

เขามีหน่วย ตชด. อยู่ที่นั่น จะมีเฮลิคอปเตอร์เข้าไปส่งเสบียงเดือนละ ๓ ครั้ง วันที่ ๒ วันที่ ๑๒ และวันที่ ๒๒ ของแต่ละเดือน ปรากฏว่าบางทีครูทำหนังสือลาแล้วก็ไปไม่ได้ จะอาศัยเฮลิคอปเตอร์ออกมาก็มีแต่คนป่วย มาลาเรียขึ้นสมองชักกระตุกบ้าง หรือไม่ก็โดนหมูป่าขวิดไส้ไหลเรี่ยราด ต้องให้คนป่วยออกไปก่อน คนดี ๆ อยู่ไปเถอะ รอปิดเทอมแล้วค่อยออกมา

เมื่อหลายปีก่อนมีข่าวว่าผู้อำนวยการโรงเรียนออกมาติดต่อราชการที่อำเภอทองผาภูมิ ขากลับเข้าไปสาบสูญไปกลางทาง เพื่อนตามไปก็เจอแต่รอยตีนเสือกับเลือด"


ถาม : ต้องเดินเท้าหรือครับ ?
ตอบ : เดินเท้า..ขนาดโฟร์วีลยังหนาวเลย คุณลองนึกถึงตอนฝ่าทุ่งใหญ่ในวันฟ้าฉ่ำฝนดูสิ โฟร์วีลยังไปไม่รอด ทั้งขุดทั้งเข็น มีอยู่เที่ยวหนึ่งมีรถขับเคลื่อน ๔ ล้อติดรอกไฟฟ้าด้วย ถ้าติดหล่มจะได้ดึงตัวเองขึ้นได้ ปรากฏว่าพอรถติดเข้าจริง ๆ ก็ลากรอกไปโอบกอไผ่รวกทั้งกอ ดึงเสร็จเรียบร้อยกอไผ่ลอยติดรถมา ไม่ใช่รถขึ้นจากหล่ม เพราะว่าดินเละมาก ต้นไม้ก็เลยไม่ติดพื้น ลอยตามรถมาเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 30-12-2012, 08:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนที่ธุดงค์ไป เห็นความลำบากของเขาก็เลยอยากจะช่วย โดยเฉพาะที่วัดจะแก กะว่าจะเอาเครื่องปั่นไฟเข้าไปให้เขา เขาบอกว่าไม่ต้องหรอก ซื้อน้ำมันก๊าดให้เขา ๒ ปีบจะดีใจมากกว่า เพราะเครื่องปั่นไฟเวลาน้ำมันหมดก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้เดินออกมา ๕ วันเพื่อมาซื้อน้ำมันคงจะมีอารมณ์กันอยู่หรอก

ถาม : ไม่ใช้แผงโซล่าเซลล์ล่ะครับ ?
ตอบ : ...(หัวเราะ)...แสดงว่าไม่เคยอยู่ป่า ในป่าเวลาหน้าฝนจะมืดจนมองอะไรไม่เห็น จะเอาแสงอาทิตย์ที่ไหนมา อย่างกับเมืองในหมอกดี ๆ นี่เอง

ถาม : ทึบขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : ก็ป่าทุ่งใหญ่..ทึบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?

ถาม : มีที่รวมไฟฟ้าเก็บไว้ได้
ตอบ : รวมได้ แต่ไม่มีให้รวม อย่างผู้ใหญ่บ้านที่ทุ่งเสือโทน ห่างจากจะแก ๙๓ กิโลเมตร เขาใช้เซลล์นี่แหละเพื่อที่จะต่อโทรศัพท์คุยกับโลกภายนอก อาตมาต้องโทรแล้วโทรอีกกว่าจะติด เพราะวันไหนที่มีแดดก็จะติดเพราะมีไฟชาร์จแบตฯ ๗ - ๘ วันกว่าจะโทรได้สักที หมดอารมณ์ไปตาม ๆ กัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 30-12-2012, 08:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลานั่งกรรมฐานจะรู้สึกปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ โบราณเขาเรียกว่าขันธมาร ไม่มีอันตรายอะไรหรอก เขาแค่ก่อกวนเราไม่ให้ทำสมาธิเท่านั้น ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ถ้าสมาธิทรงตัวเมื่อไรอาการที่ว่าจะหายไปเลย

ถาม : หรือไม่เขาก็พยายามจะครอบงำใจเรา ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าคำตอบอยู่ตรงสมาธิ พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นคุณไสยชั้นต่ำหรือพวกใช้ผีคุม ถ้าเราทรงสมาธิตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป กำลังเราจะเท่ากับพรหม แล้วผีที่ไหนจะสู้ได้เล่า ? ฉะนั้นบอกเขาว่าภาวนาให้สมาธิทรงตัวให้ได้ ทรงตัวเมื่อไรเขาก็เจ๊งไปเอง

ถาม : แล้วอย่างของผมเวลานั่งกรรมฐานรู้สึกแน่นตรงลิ้นปี่ ?
ตอบ : เขาให้ตัดสินใจว่าตายเป็นตาย พวกขันธมารจะกลัวคนรู้ทันและหน้าด้าน ถ้าเราตั้งใจว่าเราทำความดีอยู่ ตายอย่างไรเราก็ไปดีอยู่แล้ว ตัดสินใจยอมตาย ทำต่อไปเขาจะถอย แต่ถ้าเราตัดสินใจไม่ได้...เรากลัวตาย เราเลิกทำเสียก่อน ถ้าอย่างนั้นทำเมื่อไรก็ติดอยู่ตรงนั้นแหละ

ไปลองใหม่ ลองดูซิว่าตัดสินใจได้ไหม ? ถ้าตัดสินใจได้ว่าตายเป็นตายก็จะก้าวผ่านไปเอง ครูบาอาจารย์สายอีสานท่านถึงได้บอกว่า “ธรรมะอยู่ฟากตาย” ถ้ายังอยู่ฟากเป็น เอาไม่อยู่หรอก ต้องตัดสินใจยอมตายกันไปข้างหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2012 เมื่อ 09:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 30-12-2012, 08:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,284 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราเมื่อยขาเมื่อยแขนเวลานั่งสมาธิ ควรขยับร่างกายให้หายหรือว่าทนดูต่อไปครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัตถุประสงค์ของเรา ถ้าเราต้องการทำสมาธิเพื่อรักษาสภาพจิตใจให้ผ่องใสธรรมดา ก็กำหนดสติให้มั่นคงแล้วก็ขยับได้ แต่ถ้าเราต้องการดูเวทนาอย่าไปขยับ นั่งแช่ไปเรื่อย ดูว่าเวทนาจะมาสักเท่าไร เวทนาเป็นของเราจริงไหม ? หรือว่าเวทนาเป็นของร่างกาย หรือเวทนาไม่ได้เป็นของอะไรเลยนอกจากมาแหกตาเรา

ถาม : แต่ปวดจริงนี่ครับ
ตอบ : ปวดจริง...แต่พอถึงเวลาดูเข้าไปแล้วกัน ตอนนี้เฉลยไม่ได้หรอกเดี๋ยวความลับแตกหมด อาตมานั่งจนเหงื่อไหลลงมากลางหลังอย่างกับงูเลื้อยเลย ก้นเหมือนกับบางลง ๆ กระดูกจะทะลุออกมาแล้ว อาการพวกนี้จะเกิดขึ้นหลังจากชั่วโมงที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไปแล้ว

ถาม : ต้องนั่งขนาดนั้นเลยหรือครับ ?
ตอบ : ไม่นั่งขนาดนั้นก็ไม่รู้สิ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ลองดู...พอถึงเวลาจะได้รู้ว่าเขาหลอกเราเก่งขนาดไหน นึกถึงหลวงตาบัวบอกว่า ท่านนั่งจนก้นพองเป็นเม็ด ๆ แล้วแตก
นึกถึงแล้วของอาตมาก็แบบนั้นแหละ เพียงแต่ว่าอาตมานั่งไม่นานพอที่จะเป็นแบบนั้น แต่ก็รู้สึกว่าก้นร้อนขึ้น ๆ เหมือนกับเนื้อบางลง ๆ กระดูกจะทะลุมานอกเนื้อแล้ว ความจริงอย่างคุณนี่น่าจะนั่งได้นานนะ กว่าจะบางคงหลายชั่วโมง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 31-12-2012 เมื่อ 21:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:25



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว