|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
ถาม : เปิดร้านสปาที่เยอรมัน เปิดมาได้สองเดือนแล้ว แต่ก็ยังเงียบ ๆ อยู่ครับ มีคนคาดว่าร้านอยู่ตรงทางสามแพ่ง มีคนแนะให้นำอาหารคาวหวานไปเลี้ยงและทำบุญให้กับเขาครับ ?
ตอบ : ต้องแอบทำ เพราะถ้าไปทำแบบนั้นตอนกลางวัน อาจจะเจอข้อหาทำความสกปรกให้เขาอีก ลองดูได้..แต่ว่าต้องแอบทำ ไปทำกลางวันต่อหน้าต่อตา จะกลายเป็นท้าทายกฎหมายของเขา ถาม : จะทำอย่างไรถึงให้ค้าขายดีขึ้น ? ตอบ : หาธงแดง (ธงมหาพิชัยสงคราม) ของวัดท่าซุงไปติด แล้วอธิษฐานขอให้ท่านสงเคราะห์ อาราธนาไว้ทุกวัน ถาม : อยู่ตรงทางสามแพ่งจะมีผลอะไรบ้าง ? ตอบ : ถ้าหากว่าประตูหน้าเป็นกระจกก็ไม่มีผล แต่ทำไปเถอะ..เพื่อความสบายใจ คนเยอรมันเป็นคนประหยัดมาก บ้านเขาแต่ละคนจะเก็บเงินเดือน ๓๐ เปอร์เซ็นต์เป็นเงินออม เพราะฉะนั้น..เขาไม่มีโอกาสที่จะไปเที่ยวมากมายแบบบ้านเรา ที่เขามาบ้านเราแล้วไปเที่ยวตามสปา ตามคลับ ตามบาร์ ฯลฯ เพราะว่าบ้านเราเงินเล็ก เขามาแล้วเขาไม่รู้สึกเสียดาย เพราะเงินเขาใหญ่กว่าเยอะ แต่พอไปอยู่บ้านเขาแล้ว พวกสปากลายเป็นของฟุ่มเฟือย ของแพง ไม่ใช่ว่าเขามาเที่ยวบ้านเราเยอะ เราไปทำกิจการแบบนี้ที่บ้านเขาแล้วจะดี ถ้าอยู่เยอรมันจริง ๆ ถ้าทำร้านอาหารไทยจะดีกว่า แต่พวกร้านอาหารนี่เขาตรวจจุกจิกมาก เจอแมลงสาบตัวเดียวเขาสั่งปิดร้านเลย เจ้าหน้าที่เขาเอาสเปรย์มาฉีดไล่ตามซอก ถ้ามีแมลงสาบวิ่งออกมานี่คุณเสร็จเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2015 เมื่อ 16:09 |
สมาชิก 222 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
ถาม : พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ท่านอยู่ที่เดียวกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ๔ องค์อยู่ที่พระนิพพาน อีก ๑ องค์อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต ถาม : แล้วถ้าเป็นสถานที่มี ๕ แท่นละคะ ? ตอบ : อีกแท่นหนึ่งเขาเตรียมรอไว้ให้ท่าน เพราะเทียบเวลาแล้วของท่านแค่นิดเดียว ถาม : เราจะต้องขอพรขอบารมีอย่างไรจึงจะได้อยู่กับท่าน ? ตอบ : ไม่ต้องขออะไรหรอก ตั้งใจทำเพื่อพระนิพพาน เดี๋ยวท่านก็สงเคราะห์เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-02-2015 เมื่อ 16:10 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อคืนนี้ฝันเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านดุค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะมาแบบนั้นตลอด ดูเหมือนเคร่งขรึม ดุมาก แต่จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนจริงจัง ใครตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมจริง ๆ ท่านจะรักมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : วันก่อนหนูไปโรงพยาบาลแล้วหมอเขาเอาเข็มปักที่คอ จังหวะที่เข็มกำลังจะปักที่คอ ตัวหนูเองออกไปยืนที่ข้างเตียงค่ะ ร่างกายก็รู้สึกอยู่ แต่ไม่เจ็บ หนูคิดไปเองหรืออย่างไรคะ ?
ตอบ : พยายามคิดให้ได้อย่างนั้นบ่อย ๆ ถาม : เหมือนกับพุ่งออกไปเลยค่ะ ? ตอบ : ทำให้ได้อย่างนั้นบ่อย ๆ โดยเฉพาะคราวหน้าอย่าออกไปแบบไร้จุดหมาย ถ้าออกไปให้ตั้งใจไปกราบพระหรือไปพระนิพพานเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เขาเอาใจแยกออกจากตัวได้ เป็นปัญญาของเขาหรือว่า.. ?
ตอบ : ไม่จำเป็น สมาธิอย่างเดียวก็พอแล้ว ถาม : เขาก็ต้องมีความรู้สึกว่าต้องแยกกายออกจากกัน ใช่หรือไม่คะ ? ตอบ : เกิดจากความกลัว กลัวแล้วหนี คราวนี้กำลังเพียงพอที่จะหนี ก็เลยหลุดออกไปได้ ถาม : แล้วการที่เราออกไปพระนิพพานเป็นเพราะตอนนั้นกลัว ? ตอบ : ไม่ใช่...ที่อยากไปพระนิพพานแล้วไปได้เพราะอยากไป ในเมื่อเขาไม่ได้อยากไป ออกมาก็ไม่รู้จะไปไหน ได้แต่ยืนดูตัวเอง ความจริงการอยากไปก็ยังไปพระนิพพานไม่ได้ ให้ตั้งใจไว้ว่าจะไป หลังจากนั้นลืมความตั้งใจนั้นเสีย แล้วภาวนาไปเรื่อย ถ้ากำลังพอก็จะไปได้เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "จีวรสีพระราชนิยมจริง ๆ ก็คือจีวรที่เป็นสีกรัก ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่าสีกรักทอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงขอให้สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ช่วยค้นคว้าพระไตรปิฎกดูว่า สีกรักที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตนั้นมีลักษณะอย่างไร ? ท้ายที่สุดสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ก็สรุปออกมาเป็นสีกรักทอง
ในพระวินัยกล่าวถึงพระมหากัสสปะ ไปถึงเมืองอาฬวีแล้วคนแตกตื่นหนีพระกัน ถึงขนาดเหลือบไปเห็นวัวก็โดดหนี คิดว่าเป็นจีวรพระ ในที่สุดเปรียบเทียบกันแล้วท่านก็สรุปของว่าเป็นสีอย่างนี้ ส่วนสีของด้านพระธรรมยุติสายวัดป่าที่เป็นสีกรักค่อนข้างจะเข้มนั้น เนื่องจากท่านอยู่กับป่า กับเขา กับดิน กับทราย ถ้าย้อมสีเข้มหน่อยก็ดูเปรอะเปื้อนยากขึ้น ซึ่งถ้าสายวัดป่าก็จะคงสีกรักออกเขียว หรือไม่ก็กรักออกดำ ส่วนสายพระบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นห่มแบบสีกรักก็ดี ห่มแบบสีเหลืองก็ดี ถ้าเข้าวังต้องเปลี่ยนเป็นสีนี้ทั้งหมด เพราะถือว่าในหลวงทรงโปรดสีนี้ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสีที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่สุด ก็เลยเรียกกันง่าย ๆ ว่าสีพระราชนิยม ตอนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปรับพัดในวังก็เปลี่ยนเป็นสีนี้ พวกเราไม่คุ้นตากัน อาตมาเองถ้าไปรับปริญญาของ มจร. ก็ต้องเปลี่ยนไปห่มสีเหลือง เหตุที่ห่มสีเหลืองนี่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ แต่เนื่องจากมีเจ้าภาพถวายผ้าไตร ซึ่งเป็นสีเหลืองทั้งหมด โดยมารยาทของพระ เมื่อเขาถวายแล้วก็ต้องฉลองศรัทธา อาตมาฉลองครั้งเดียวแล้วรู้สึกว่ายุ่งยากมาก ก็เลยใช้วิธีห่มผืนตอนรับปริญญาตรีนั้นเข้าไปรับตอนปริญญาโทใหม่ ผ้าไตรที่รับมาใหม่ก็เก็บใส่รถไป เพราะผืนเก่าเป็นสีเดียวกันอยู่แล้ว เดี๋ยวตอนรับปริญญาเอกก็จะห่มผืนนั้นไปอีก ตอนนี้เขียนไว้แล้วว่ารับปริญญาตรีวันที่เท่าไร รับปริญญาโทวันที่เท่าไร ต่อไปก็รับปริญญาเอกวันที่เท่าไร หลังจากนั้นก็นำออกประมูล..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
ถาม : เห็นมีเณรเล็ก ๆ ค่ะ ?
ตอบ : ยังอุตส่าห์เห็นนะ ถาม : เณรเล็ก ๆ เต็มไปหมดเลย ใครเจ้าคะ ? ตอบ : ไม่มีใครหรอก บรรดาท่านทั้งหลายที่ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์อาตมาอยู่ ถาม : ทำไมท่านต้องเป็นเณรคะ ? ตอบ : ถ้าหากว่าไม่บังคับให้เป็นเณรก็จะซน เป็นเณรอย่างน้อยบังคับให้อยู่ในสมณสารูปได้ ถาม : ....(ไม่ชัด).. ตอบ : เวลาไปไหนแล้วก็มักจะอุทิศส่วนกุศลให้เขา ท่านทั้งหลายเหล่านี้กตัญญู สบายไปแล้วก็อยากจะช่วยเหลือ อยากจะรับใช้ จึงตามมา คราวนี้ถ้าไม่บังคับไว้ด้วยพระธรรมวินัย เดี๋ยวก็ซนไปตามเรื่อง อาจจะมีบางคนเดือดร้อนก็ได้ ถาม : วิระทะโย หมายความว่าอย่างไรคะ ? ตอบ : พระคาถาอย่าไปหาความหมาย เขาว่าแปลแล้วจะไม่ขลัง ไม่มีอะไรหรอก อาตมาใช้พระคาถานี้เป็นปกติ จะเอาวิธีของอาตมาไปใช้ก็ได้นะ จับบวชให้หมด ในเมื่อจับบวชแล้วก็ซนมากไม่ได้ เพราะมีศีลเป็นกรอบอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนเช้าอาราธนาวัตถุมงคลไว้ แล้ววันนั้นเอามือสอดไปใต้ใบมีด รู้สึกว่าโดนมีดเฉือนมือและเจ็บ แต่พอชักมือออกมาก็ไม่เป็นอะไร ไม่เจ็บด้วย คำถามคือ ณ จุดนั้นต้องมีสมาธิด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีแล้วทำได้อย่างไร ? ความตั้งใจก็คือสมาธิอยู่แล้ว แต่จะเป็นสมาธิมากน้อยเท่าไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางอย่างตั้งใจมากเกินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะอยู่ในจุดที่เกินความต้องการ ถ้าน้อยเกินไปก็ไม่ก่อประโยชน์ เพราะไม่ถึงจุดที่ต้องการ ต้องพอดี ๆ ถาม : สมาธิที่ต้องมี เป็นตอนที่โดนมีดหรือตอนอาราธนา ? ตอบ : ตอนที่อาราธนา ถาม : แปลว่า ถ้าเราอาราธนาได้ก็เรียบร้อยแล้ว ? ตอบ : หลังจากนั้นกำลังจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ตอนอาราธนาขอให้กำลังใจทรงตัวก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 11:48 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่กลัวครูจะรู้สึกสนุกกับการเรียน แต่ถ้าเป็นลูกศิษย์ที่กลัวครูจะรู้สึกทุกข์ทรมาน อาตมาไปเรียนแต่ละครั้ง ไปด้วยความกระตือรือร้นว่าอาจารย์จะมีอะไรใหม่ ๆ มาให้เรา เวลาไปที่มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นโยม พออาตมาปรารภเรื่องอะไรเขาก็จะกระตือรือร้นทำให้ หนังสือบางอย่างให้ท่านเซ็นรับรอง ท่านก็เซ็นเผื่อมาให้เลย
คนอื่นเขาถามว่า "เพราะว่าเป็นอาจารย์เล็กหรือเปล่า เขาก็เลยช่วยขนาดนั้น ?" อาตมาบอกว่าไม่ใช่ เกิดจากการที่อาตมายกย่องให้เกียรติท่านมาแต่แรก บางคนเป็นเด็กในสำนักงาน แต่ว่าอาตมาไม่เคยมองข้าม ถึงเวลาจะเรียกใช้ไหว้วานอะไร ก็อยู่ในลักษณะให้เกียรติ ขอให้เขาช่วย คนเรามักจะรู้สึกดี ๆ ถ้าหากว่ามีคนให้เกียรติ และเห็นว่าเขามีความสามารถที่จะทำอะไรให้ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นบ่อย ๆ เข้า ก็เลยกลายเป็นว่าเขาเต็มใจที่จะช่วยทุกครั้ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 15:38 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ใครดูรายงานข่าวฟุตบอลจุฬา ธรรมศาสตร์บ้าง ? ขบวนสิ้นสติอีท่าไหนถึงได้แต่งชุดดำกัน อาตมาขอบอกว่า ของบางอย่างเป็นลางร้าย ตอนที่ "สมเด็จย่า" จะสิ้นพระชนม์ ผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องพร้อมใจกันแต่งดำ ผู้ประกาศข่าวนอกสถานที่ก็พร้อมใจกันใส่ชุดดำ แม้กระทั่งผู้รายงานข่าวกีฬาก็ใส่สีดำ อาตมาบังเอิญนั่งอยู่หน้าทีวีที่บ้านโยมพอดี เลยชี้ดูว่า "นี่โบราณเขาถือ อยู่ ๆ แต่งดำพร้อมกัน ถือเป็นลางร้ายบางอย่าง" แล้วก็จริง ๆ ด้วย "สมเด็จย่า" สวรรคต นี่เขาคิดอะไรขึ้นมา ถึงได้แต่งดำทั้งขบวน ? จำให้แม่น ๆ นะ ดูว่าภายใน ๗ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ลางบางอย่างบอกเหตุ อย่างเช่นว่ากรุงศรีอยุธยาจะแตก หลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง มีน้ำพระเนตรไหลถึงพระนาภี องค์หลวงพ่อวัดพนัญเชิงใหญ่ขนาดไหน ถ้าเอาหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบายว่าความชื้นในองค์พระระบายออกมา ก็คงไม่มากขนาดนั้น แล้วมีอีกาบินไปชนยอดนพศูลบนพระเจดีย์วัดใหญ่ไชยมงคล เสียบตายคาอยู่อย่างนั้น เป็นไปได้ที่ไหน บางอย่างอยู่ในลักษณะของเทพสังหรณ์ แสดงเหตุให้รู้ แต่ว่าเราต้องช่างสังเกตด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเตือนนักเตือนหนา ใครซื้อรถสีอะไรก็ได้ ยกเว้นสีดำ เพราะว่าโบราณเขาถือว่าสีดำเป็นการไว้ทุกข์ แต่อาตมาดูปัจจุบันนิยมรถสีดำกันจัง กลัวชีวิตจะไม่ทุกข์ แล้วอย่าถามนะว่าซื้อสีดำมาแล้วจะทำอย่างไร ? ไปหาวิธีแก้ไขกันเอาเอง เห็นเขาเขียนกันว่ารถคันนี้สีขาว..! เอาเป็นว่าใครที่ชอบใส่ชุดสีดำ ให้ลองสังเกตดูว่าตั้งแต่ใส่มาจนถึงป่านนี้ ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอดหรือเปล่า หรือว่าสะดวกดีทุกประการ ? ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวก็เปลี่ยนสีได้แล้ว ส่วนใครที่ผิวดำไม่ต้องเปลี่ยน ยกเว้นว่ายอมถลกหนังตัวเอง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2015 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เป็นวันพฤหัสบดี ญาติโยมที่ไปร่วมงานหล่อพระอาจจะมาลำบากนิดหนึ่ง เพราะว่าเป็นวันทำงาน ยกเว้นว่าใครจะลาป่วย ลากิจ ลาพักร้อนในฤดูหนาวก็ว่ากันไป ครูบาอาจารย์ที่นิมนต์ไป ทั้งที่นั่งปรกคุมธาตุและเจริญชัยมงคลคาถา น่าจะมีหลายท่านที่ไปก่อน อาตมาจองรีสอร์ทให้ท่านพัก ปรากฏว่าเหลืออยู่แค่ ๙ ห้อง ถ้าไม่พอคงต้องให้ท่านมานอนเบียดกันในวัด
เนื่องจากว่ารีสอร์ทที่ไปจองนั้น มีอยู่ด้านหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนบ้านส่วนตัว มีที่พัก มีห้องน้ำ มีห้องครัว เขาคิดคืนละ ๘๐๐ บาท ถ้าใครเช่ารายเดือน คิดแค่เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท คนเลยเช่าเต็มยาวไปครึ่งค่อนปี สบายกว่าไปเช่าบ้านอื่นอยู่ ไม่ต้องดูแลอะไร มีคนทำความสะอาดให้ด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2015 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
มีผู้เอา หนังสือ "สมบัติพ่อให้" เข้าไปสอบถาม เกี่ยวกับรายละเอียดของยันต์ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้สร้างไว้
ถาม : ธงท้าวมหาชมพู ? ตอบ : จริง ๆ แล้วมีแค่รูปยันต์นั่นแหละ นอกนั้นเกินมา อันนี้เป็นมหาอุตม์ อันนี้เป็นปืนแตก อันนี้กันโรคระบาด หลวงพ่อท่านเพิ่มให้ ถาม : ธงเขียว ? ตอบ : ธงเขียวคือธงท่านปู่พระอินทร์ จริง ๆ แล้วมีแค่ ๓ คำ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเพิ่มให้ เพราะอยู่ ๆ มีแค่นั้นก็ดูน้อยเกินไป ถาม : แล้วธงพระแม่โพสพ ? ตอบ : ธงพระแม่โพสพจริง ๆ มีแค่รูปเท่านั้น ถาม : ยันต์ของเสด็จในกรมหลวงชุมพร ? ตอบ : ยันต์นี้บังคับด้วยว่าต้องเป็นผ้าสีม่วงอย่างเดียว วัสดุอื่น ๆ ทำไม่ได้ ของท่านปู่พระอินทร์ก็เป็นผ้าเขียวอย่างเดียว ผ้ายันต์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสีแดง เห็นมีแต่ของท่านปู่พระอินทร์กับของเสด็จในกรมหลวงชุมพรที่บังคับสีไว้ ถาม : ยันต์ค้าขาย ? ตอบ : จริง ๆ ไม่ใช่ยันต์ค้าขายหรอก หลวงพ่อท่านทำเอาไว้ แล้วคนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรก็ใส่ไปเรื่อย ไปค้นเจอจะเข้าไปถามก็คงเกรงใจ ถาม : ตะกรุดเดินป่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจารยันต์อะไรครับ ? ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยแกะดู แต่ว่าไม่ใช่ตะกรุดเดินป่าหรอก ตอนนั้นท่านเพิ่งไปอยู่วัดท่าซุงไม่นาน ทำแจกที่ศาลาเก่าเพื่อหาทุนสร้างวัด แล้วคนแย่งกันรับจนกระทั่งศาลาทรุดไปด้านหนึ่ง ท่านก็เลยสร้างใหม่เป็นตึกกองทุนขึ้นมา ก็คือตะกรุดรุ่นนี้แหละ ท่านเองไม่ได้แจก เก็บเอาไว้ตั้งหลายสิบปีกว่าเขาจะไปค้นเจอใหม่ ถาม : การทำธงเขียว ? ตอบ : การเสกของท่านจะมีพิธีต่างหาก แล้วก็ต้องมีผ้าแพร สมัยก่อนเรียกว่าผ้าขาว วางซ้ายขวาอย่างละพาน ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)... ตอบ : ไม่ใช่..ผ้าแพรก็คือผ้าขาวนั่นแหละ ตำราโบราณขาดพวกนี้ไม่ได้ เพราะถือเป็นเครื่องไหว้ครูอย่างหนึ่ง สมัยก่อนเวลาไหว้ครู ฆราวาสก็เอาผ้าขาวม้าไป พระก็เอาผ้าไตรไป อันนี้ของเขาไหว้ครูพรหมครูเทวดา ก็เอาผ้าขาว แต่คนโบราณเรียกว่าผ้าแพร ถาม : แล้วทำไมเขาเรียกผ้าแพรครับ ? ตอบ : ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผ้าแพรในความรู้สึกของอาตมาก็คือแพรปังลิ้นที่ลื่น ๆ แต่สมัยก่อนผ้าแพรก็คือผ้าขาว ถาม : แล้วผ้าเพลาะละครับ ? ตอบ : ผ้าเพลาะคือผ้าที่เขาเอามาเย็บติดกัน คำว่าเพลาะก็คือเอามาต่อกันเป็นชิ้น ๆ เป็นภาษาโบราณอีกเหมือนกัน สมัยนี้ไม่ค่อยได้ยินแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ของท่านปู่ท่านบอกว่าให้เอาดินสอที่เขียนไปวางไว้ด้วย ท่านใช้คำว่าดินสอนะ สมัยนี้ส่วนใหญ่ใช้ปากกาเขียนกัน ฉะนั้น..อะไรที่เขียนคุณก็เอาใส่ลงไปด้วย คำว่า "สอ" สมัยก่อนก็คือการเคลือบ การโบก คราวนี้ดินสอก็คือดินที่สมัยก่อนเขาเอามาโบกบ้าน ตอนหลังเขาเอามาทำเป็นดินสอสำหรับเขียน ก็ยังเรียกดินสอเหมือนเดิม อย่าง "สอปูน" ก็คือ "โบกปูน" ภาษาโบราณนาน ๆ ไปคนรุ่นหลังไม่รู้ ถึงได้ว่าพระไตรปิฎกต้องมีอรรถกถามาอธิบายพระไตรปิฎก พอนาน ๆ ไปเป็นร้อยปีก็ต้องมีฎีกามาอธิบายอรรถกถา แล้วก็มีอนุฎีกามาอธิบายฎีกา มีเกจิอาจารย์มาอธิบายอนุฎีกา ไล่กันไปเรื่อยตามยุคสมัย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2015 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
ถาม : ไปบอกเพื่อนเรื่องคาถาบูชามีดหมอเพชราวุธ ส่วนที่ว่า "ศัตรูมาบีฑาวินาศสันติ" เพื่อนเขางง..เพราะไม่รู้จักคำว่า "บีฑา" ?
ตอบ : "บีฑา" ก็คือเบียดเบียน ถ้าบีฑาไม่รู้ ปลาตก็ไม่รู้ใช่ไหม ? "ปลาต" แปลว่าหลีกไป หนีไป จากไป ต้องดูบริบทว่าหมายถึงอะไร มีชีวิตอันไปปราศแล้ว คือตายแล้ว จะว่าไปแล้วคำโบราณของเราสละสลวยแล้วมีใช้งานเยอะมากเลย ต้องบอกว่าบรรพบุรุษของเรารวยคำ ดูอย่าง กู ข้า ฉัน ผม ข้าพเจ้า เกล้าฯ แม้กระทั่งข้าพระพุทธเจ้า ขะโยม สารพัด ฝรั่งใช้ I คำเดียว ขะโยมก็อันว่าตัวข้าพเจ้า ภาคเหนือหรืออีสานยังใช้อยู่นะ ขะโยมก็คือตัวข้า “ขะโยมเจียขะแมร์ บองสะราญโอน เจริญเจริญ” วันก่อนไปพูดในห้องเรียน ลูกศิษย์หัวเราะก๊ากเลย ปรากฏว่าในห้องเรียนมีพระเขมรมาเรียนด้วย ชื่อ สุคนธี ฉายา สัทธาธโน แต่เขาเขียนเป็นภาษาอังกฤษ คนอ่านไม่ค่อยจะออก เพื่อนหันไปถามว่า "ใช่หรือเปล่าสุคนธี ?" ท่านพยักหน้าว่า "ใช่ พระอาจารย์พูดถูก" แสดงว่าภาษาเขมรของอาตมายังพอใช้ได้อยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2015 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...
ตอบ : จะใช้อย่างนั้นก็ได้ อาตมาถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แล้วเขียนตะบึงไปเลย ไม่ต้องสนใจ ง่ายกว่าตั้งเยอะ ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง บางทีนึกถึงอะไรก็ว่าไปเรื่อย สำคัญตรงที่เรานึกถึงพระได้หรือเปล่า ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2015 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผู้บริหารบริษัทสหพัฒนพิบูลย์ จำกัด บ่นว่าบะหมี่สำเร็จรูปขายไม่ค่อยออก สาเหตุใหญ่ก็คือลูกศิษย์วัดท่าขนุนเอาสตางค์ไปบูชาวัตถุมงคลหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่สตางค์จะกินบะหมี่ซอง ใช่หรือเปล่า ? สรุปแรงไปไหม ?
บ้านเราหากเศรษฐกิจแย่ บะหมี่สำเร็จรูปจะขายดี แต่ถ้าขายไม่ออกนี่บอกอะไรเราบ้าง ? บอกว่าคนเราระมัดระวังค่าใช้จ่าย เปลี่ยนจากการกินบะหมี่ซองละ ๕-๖ บาท เปลี่ยนไปกินผัดกระเพรา จานละ ๑๐๐ บาทแทน..! ฟังเขาออกมาแก้ตัวแล้วเข้าท่าดี เห็นว่าเป็นทหารด้วยกันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เลยช่วยหาข้อแก้ตัวให้ บอกว่าร้านเขาบรรยากาศหรู บริการดีเต็มที่เหมือนโรงแรมชั้น ๑ จึงต้องคิดจานละ ๑๐๐ บาท พวกเราลองไปขายจานละ ๑๐๐ บาทดูสิ รับประกันว่าโดนแน่..! ต่อไปข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท จะเป็นเรื่องปกติ ฟังดูน่ากลัวไหม ? คาดว่ารุ่นของเรา ๆ นี่ยังทันเป็นจำนวนมาก ขอให้ทราบว่าอาตมาพูดมาหลายปีแล้วว่าข้าวแกงจานละ ๑๐๐ บาท ตอนนี้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-02-2015 เมื่อ 11:49 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
เก็บตกเดือนกุมภาพันธ์ปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
ขออนุญาตนำเอาข้อความจาก งานหล่อพระสมเด็จองค์ปฐม วันที่ ๒๖ ก.พ. ๕๘ มาลงไว้ที่นี่นะคะ เนื่องจากเนื้อหามีไม่มาก
พระอาจารย์กล่าวว่า “สำหรับการหล่อพระที่นี่ ไม่มีการจำหน่ายแผ่นทอง ไม่มีการจำหน่ายแท่งทอง ถ้าอยากได้แผ่นทอง มีร้านขายทองในทองผาภูมิอยู่ ๕ แห่ง ไปหาซื้อกันได้ เนื่องจากว่าท่านเจ้าภาพใหญ่ที่รับดำเนินการ คือ พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโมนั้น ท่านมอบหมายให้เป็นภาระของช่างไปทั้งหมด ซึ่งช่างได้นำเอาทองเหลืองมาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ถ้าญาติโยมอยากจะร่วมทำบุญด้วย ก็ทำบุญเป็นปัจจัย เพื่อมอบหมายให้กับทางเจ้าภาพนำไปใช้งานตามปกติ ไม่ต้องมาบ่นว่าทำไมที่นี่หล่อพระไม่เหมือนกับที่อื่น เหตุที่ไม่เหมือนที่อื่นเพราะเป็นที่นี่..! อาตมาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมต้องไปประกาศว่าทำบุญแต่ละครั้งจะได้อานิสงส์อย่างไร จะต้องจำหน่ายแผ่นทองเท่าไร จำหน่ายแท่งทองเท่าไร ถ้าท่านไม่รู้ว่าทำแล้วได้อานิสงส์อย่างไรแล้วมาหล่อพระทำไม..?”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2015 เมื่อ 15:02 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “แจ้งให้หลายท่านทราบว่า ที่ส่งของมาให้บรรจุโปรดมารับคืนไปด้วย ถ้าไม่รับคืนจะยึดเป็นของหลวง..! พระที่วัดนี้หล่อแล้วไม่มีการบรรจุใด ๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นว่าเป็นพระที่หล่อด้วยคอนกรีตอย่างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่หน้าวัด ถึงจะมีการบรรจุ
ก่อนจะทำอะไรโปรดคิดว่า ท่านจะสร้างความลำบากให้กับพระหรือเปล่า ? ไม่ใช่คิดแต่จะเอาบุญอย่างเดียว พอถึงเวลาคิดจะเอาบุญแล้วก็ส่งโน่นส่งนี่มาเยอะแยะไปหมด นอกจากจะเป็นการใช้พระ แล้ว ยังเป็นการเพิ่มภาระงานให้โดยใช่เหตุ สิ่งที่ทำอาจจะไม่ได้อานิสงส์อย่างที่ต้องการและอาจจะเกิดโทษอีกด้วย..! ก่อนจะทำบุญให้ตั้งสติดี ๆ อาตมาหล่อพระทองคำหน้าตัก ๑๖ นิ้ว เขาเขียนหน้าซองมาว่า ร่วมบุญหล่อพระทองคำหน้าตัก ๕๐ ศอก..! ถ้าอยากทำขนาดนั้นก็โปรดไปสร้างเอง ส่วนหลายท่านที่ขนเอาหนังสือมาให้แจก ถ้าอยากได้อานิสงส์เต็ม ๆ ก็โปรดเอาไปแจกเอง เพราะว่ากลายเป็นการเพิ่มภาระและเป็นการใช้พระด้วย โดยเฉพาะอาตมาเองที่เป็นคนแจก หลายท่านอยากได้อานิสงส์ธรรมทาน เอาหนังสือธรรมะมาถวายอาตมา ขอบอกว่า “ได้โปรดเอาไปอ่านแล้วปฏิบัติเอง ไม่ใช่เอามาถวายอาตมา” ต่อไปจะบุญอะไรโปรดระมัดระวังนิดหนึ่ง ไม่ใช่คิดว่าเราต้องการอานิสงส์เราก็ทำ อาจจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ และโปรดหาข่าวให้ดี ๆ สมัยนี้ถามเฮียกู้ได้ ไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีรายละเอียดให้ทุกอย่าง ไม่ใช่หล่อพระหน้าตัก ๑๖ นิ้วก็บอกว่า ๕๐ ศอก ไปเอาที่ไหนมา ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2015 เมื่อ 15:05 |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “หลังจากบวงสรวงแล้ว อาตมาจะไปนั่งรับญาติโยมที่ตั้งใจทำบุญกันในศาลาใหญ่ ใครจะร่วมทำบุญก็ไปพบกันในที่นั้นได้ ท่านใดทำบุญจะมีวัตถุมงคลเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้เป็นที่ระลึก ซึ่งตอนนี้ทุกท่านก็คงทราบแล้วว่า วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน นอกจากจะหมดเร็วแล้ว ราคายังขึ้นเร็วเป็นจรวดเลย
ฉะนั้น..ท่านใดที่ประเภทตั้งใจหากำไร ก็โปรดเก็งกันเอาเองว่ารุ่นไหนจะดังกว่ากัน อาตมาเองยังตกใจ ของออกจากวัดราคาห้าหมื่นว่าแพงโคตรแล้ว เขาเอาไปปล่อยแสนหนึ่ง แล้วก็ดันมีคนสิ้นสติแย่งกันบูชาด้วย..!”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2015 เมื่อ 15:06 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|