กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #81  
เก่า 20-12-2011, 18:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านอนุสาวรีย์ที่คับแคบ แต่ดูอบอุ่นกว่า เขาชอบนั่งเบียด ๆ กัน บ้านวิริยบารมีกว้างกว่ามากกลับนั่งกันได้ไม่นาน พอมาทำบุญเสร็จก็กลับ (หัวเราะ) แปลกดีนะ..บ้านนี้พื้นที่เหลือเฟือ อยากจะนั่งตรงไหนก็ได้ กลับไม่นั่ง บ้านก่อนที่แคบ ๆ ไม่ค่อยมีที่จะนั่ง กลับเบียดกันเข้าไป"

ถาม : ที่กว้าง ๆ รู้สึกว้าเหว่ค่ะ
ตอบ : เพราะเราปล่อยให้ความรู้สึกมานำ ใจไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน พอเริ่มนึกคิดปรุงแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง ก็เกิดขึ้น ความเหงาเป็นปฏิฆะ พอปฏิฆะกระทบเข้ามาแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราจะปรุงไปด้านดีหรือด้านร้าย ถ้าปรุงไปในด้านดีก็เป็นราคะ ถ้าปรุงไปด้านร้ายก็เป็นโทสะ

ถาม : ความเหงานี่นะคะเป็นโทสะได้ ?
ตอบ : ใช่..ถึงเวลาก็โกรธ น้อยใจคนอื่น ทิ้งเราอยู่คนเดียว กลายเป็นโทสะ หรือว่าเหงาคิดถึงแฟน กลายเป็นราคะไปแล้ว บอกแล้วว่าอยู่ที่การปรุง และสภาพจิตของเรานี่สุดยอดเลย ปรุงมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน พอจะให้หยุดจึงหยุดยาก

ถาม : ถือว่าเป็นฝีมือของมารหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นฝีมือของมารโดยตรง ที่จะรั้งเราให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร ปกติธรรมชาติมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่เราต้องมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า ท้ายสุดทุกคนก็ตาย ไม่มีใครอยู่ร่วมกับเราได้ตลอดกาล

ถ้ารู้อย่างนี้ก็ต้องมีปัญญามองเห็นว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษาตัวรักษาใจของเราไว้ได้ ก็คือรักษาใจให้ผ่องใส ไม่ให้เศร้าหมองกับสิ่งรอบข้าง ไม่อย่างนั้นพอคนนี้จากไป คนนั้นตายไป ก็จะเกิดความเศร้าหมองทับถมมาเรื่อย ๆ กลายเป็นกดให้เราตกต่ำ จมอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องไปไหน

แต่ถ้าเราสามารถชำระใจของเราให้ผ่องใสขึ้นมาได้ มีสติรู้เท่าทัน มีปัญญาเห็นสภาพความเป็นจริงว่า ธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้นเอง ถ้าเราไม่รักษาใจของเราเองไว้ ถึงเวลาเราก็เดือดร้อนเอง ให้กลับมารักษาตัวรักษาใจของเรา ดึงใจของเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ชำระใจของเราให้ผ่องใส รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และท้ายสุดกินเราไม่ได้เลย เราก็รอด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #82  
เก่า 20-12-2011, 18:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เราฟังคำสอนมาว่า เราคือตัวคนเดียวท่องเที่ยวไป พอเกิดอารมณ์รักขึ้นมา เราก็มาคิดว่า เออ..ผลสุดท้ายก็ตัวคนเดียว แต่มีความรู้สึกว่าเป็นแค่สัญญา ยังไม่ใช่ปัญญา
ตอบ : ไม่ใช่ปัญญา นั่นอยู่ในลักษณะประชด ถ้าประชดชีวิตลักษณะนั้น ผิดพลาดขึ้นมาจะกลายเป็นโทสะ

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะเป็นปัญญาจริง ๆ ?
ตอบ : ถ้าใจยอมรับโดยไม่กำเริบใหม่ ถึงจะเป็นของจริง

ถาม : เวลาคิด..?
ตอบ : ต้องคิดไปก่อน คิดย้ำบ่อย ๆ เป็นจินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิดไปก่อน ถือว่าช่วยได้ระดับหนึ่ง หลังจากนั้นจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญารู้แจ้งเพราะเห็นตามความเป็นจริงแล้วจิตยอมรับ ถ้าอย่างนั้นก็จะถอนตัวหลุดออกมาได้

ถาม : คิดบ่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คิดบ่อย ๆ ก่อน พอกำลังสมาธิถึง ก็จะช่วยปัญญาตรงนั้นตัดขาดเลย แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่ถึง ปัญญาดีแค่ไหนก็ไปไม่รอด
ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเชือก ๓ เกลียว ฟั่นอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไรก็ใช้งานไม่ได้

ถาม : หลายครั้งจัดการตัวเองไม่ได้ค่ะ แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ใช้วิธีเอาตัวรอดว่า เออ..เราโง่ที่เกิดมาเอง เดี๋ยวก็จบ เดี๋ยวก็ตาย ตรงนั้นจะตัดได้ไหมคะ ?
ตอบ : อย่างนั้นถือว่าเป็นการตัดระดับหนึ่ง ในเมื่อเรื่องใหญ่เกินกำลังของเรา เราต้องมีปัญญารู้ว่าแก้ไขไม่ได้ ก็ต้องวาง จัดเป็นอุเบกขา ถือว่าเป็นการตัดในระดับหนึ่ง จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าเราไม่ไปแบกไว้ตั้งแต่แรก เราก็ไม่ต้องวาง ส่วนใหญ่จะไปแบกกันเสียเยอะ ก็เลยต้องมาวาง

ถาม : ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราไม่มีปัญญาจะจัดการ เราก็ตัดไปเลย ?
ตอบ : เหมือนกับเรารู้ว่าไฟนั้นร้อน จะต้องไหม้เราแน่ ๆ เราก็ไม่แหย่มือเข้าไป เราก็ไม่ไปยุ่งกับไฟ แต่ถ้ามีปัญญามากกว่านั้น รู้ว่าไฟเกิดจากอะไร เราไม่ไปยุ่งกับสาเหตุนั้น ไฟก็ติดขึ้นมาไม่ได้ ก็ทำอันตรายเราไม่ได้ ถ้ามีปัญญาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็จะไปตัดที่ต้นเหตุอย่างนี้

เหมือนรถม้าที่วิ่งจนจะตกหน้าผา เราก็รั้งไว้สุดชีวิต เราจะได้ไม่ตาย แต่หลังจากนั้นก็อย่าทะลึ่งไปขึ้นรถม้า จะได้ไม่ต้องไปตกหน้าผาแบบนั้นอีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #83  
เก่า 21-12-2011, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ตอนนั้นหนูขับรถอยู่แล้วภาวนา รู้สึกว่าเรานิ่ง เพลงก็ได้ยิน รอบข้างก็เห็น แต่สงสัยว่าเราขับไปเอง โดยที่เราไม่ได้คิดหรือจากการสั่งงานของสมอง ?
ตอบ : นั่นเป็นความชำนาญ ความชำนาญภาษาพระเรียกว่า "วสี" พอเราเข้าถึงความชำนาญก็เหมือนกับเป็นระบบอัตโนมัติไปเอง แต่จริง ๆ แล้วยังคุมด้วยตัวเราที่เข้าถึงความชำนาญนั้น ก็คือเอาประสบการณ์ที่เคยผ่านมานั้นมาใช้งาน แต่เราใช้งานในลักษณะที่แบ่งความรู้สึกเป็นหลายส่วน จนส่วนนั้นบางมากแล้วเรารับรู้ไม่ได้ หรือไม่ก็รับรู้ได้น้อยจนคิดว่าทำไปเอง

ถาม : จิตหนูภาวนาไม่ละเอียดจนถึงขั้นที่จะรับรู้การทำงาน ?
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดกว่านั้นจะรับรู้ชัดเจนเท่ากันทุกส่วน

ถาม : อ่านเจอภาวะบาดเจ็บในสมอง เขาวิจัยว่ามีผลต่อพฤติกรรม แต่ในเมื่อจิตเป็นตัวขับเคลื่อนสมองและพฤติกรรม ถ้าเรารักษาที่จิต อาการจะหายไหมคะ ?
ตอบ : จิตเหมือนคนขับรถ ร่างกายเหมือนกับรถ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้ารถพังมาก คนขับก็เอาไปไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าจะรักษาก็ต้องควบกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #84  
เก่า 21-12-2011, 10:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ไปเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม ๑๐ วัน แบบมหาสติปัฏฐาน ยุบหนอพองหนอ ประมาณวันที่ ๕ มีสภาวธรรมเกิดขึ้น รู้สึกว่าใจเป็นสุข สนุกกับการได้กำหนด ความคิดเรื่องอื่น ๆ ไม่ปรากฏ บางทีเผลอคิดบ้างแต่ก็กำหนดว่าคิดหนอ ๆ มีความอิ่มใจมาก บางทีเหมือนรู้วาระจิตคนอื่นค่ะ
ตอบ : สภาพจิตเริ่มอยู่ในอุปจารสมาธิขั้นปลาย จะเกิดปีติสุขขึ้นมาจนเกือบจะทรงเป็นฌานแล้ว แต่ทางสำนักนั้นเขาจะไม่ให้ทรงเป็นฌาน เขาจะให้ทรงในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิเท่านั้น ก็เลยต้องสกัดด้วยคิดหนอ ๆ ทำให้ไม่สามารถที่จะดำเนินไปมากกว่าจุดนั้นได้

ขั้นแรกที่ทำมีประโยชน์สำหรับคนหัดใหม่ แต่ถ้าต้องการตัดกิเลสจริง ๆ กำลังจะไม่พอตัดกิเลสเพราะสมาธิไม่ได้ลึกไปกว่านั้น

ถาม : บางทีไม่ได้กำหนดภาวะคิดหนออย่างเดียว ไปคิดถึงเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาค่ะ
ตอบ : นั่นเรียกว่าแหกคอกเขา ไม่ได้ไปตามเขา แต่แหกคอกแบบนี้ถูกแล้ว เพราะถ้าเราไม่ได้คิดให้เห็นในเรื่องความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขา การเข้าถึงวิปัสสนาญาณที่แท้จริงจะไม่มี

เราต้องเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นตามความเป็นจริงแล้วสภาพจิตยอมรับ ในเมื่อยอมรับแล้วก็ปล่อยวางว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ตอนแรกที่ทำมีประโยชน์ก็ทำไปเถอะ

ถาม : มีอาการตัวโยกตัวโคลง สะบัดออกท่าฤๅษีดัดตน
ตอบ : พวกนั้นเป็นส่วนของปีติทั้งหมด พอเริ่มก้าวเข้าสู่อุปจารสมาธิจะเกิดปีติขึ้นมา จากนั้นจะเป็นความสุข ไม่อิ่มไม่เบื่อไม่หน่าย แต่ไม่เข้าไปถึงเอกัคตารมณ์เพราะต้องคิดหนออยู่เรื่อย

น่าเสียดายตรงที่ว่าการปฏิบัติสายพองหนอ ยุบหนอ ถ้าหากว่าคนที่ทำเข้าไม่ถึงจริงก็จะทำให้ติดอยู่แค่นั้น ไปต่อไม่ได้ เมื่อไปต่อไม่ได้ ไม่สามารถที่จะบอกทางต่อได้ เราก็เสียประโยชน์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #85  
เก่า 21-12-2011, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมชอบกำหนดพุทโธควบกับลมหายใจครับ พอมีความคิดแทรกขึ้นมาพุทโธก็จะไม่จับ ผมใช้หลายวิธีครับ บางทีก็ชอบนึกเป็นตัวอักษรว่าพุทโธ บางทีก็นึกคำขึ้นมาเฉย ๆ พอทำไปเรื่อย ๆ พุทโธก็หายไปครับ บางทีก็ฟุ้งซ่าน บางทีหลับก็มีครับ ผมอยากจะขออุบาย
ตอบ : ไม่ต้องขอ..ที่ทำอยู่นั้นดีแล้ว เพียงแต่เราไม่เข้าใจอารมณ์นั้น จริง ๆ แล้วถ้าฟุ้งซ่านขึ้นมาให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกใหม่ รู้ตัวเมื่อไรให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจทันที

แต่พอทำไประยะหนึ่ง พอจิตเริ่มทรงตัวมากขึ้น ลมหายใจจะเบาลง บางทีคำภาวนาก็หายไป เรามีหน้าที่กำหนดรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น อย่าอยากให้เป็นและอย่าอยากให้หาย เรามีหน้าที่ตามดูอย่างเดียว สมาธิจะดำเนินไปเอง มีลมหายใจก็รู้ว่ามีลมหายใจ ลมหายใจเบาลงก็รู้ว่าลมหายใจเบาลง ไม่มีลมหายใจก็รู้ว่าไม่มี ลมหายใจ ถ้าเริ่มต้นอะไรไม่ถูกให้กลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่

ถาม : ถ้าเราใช้ความคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ว่า วันนี้เราทำอะไรบ้าง จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..แต่บางอย่างเราควบคุมได้ไหม ? ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เวลาเราคิดก็จะเตลิดเปิดเปิงไม่รู้จบ คือคิดไปตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ พอค่ำเสร็จหมดวันแล้วก็เริ่มต้นคิดใหม่ตั้งแต่เช้าอีก ความรู้สึกของเราจะวนรอบไปเรื่อย ๆ

ถ้าจะคิดก็ให้คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น คิดถึงคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คิดว่าศีลมีคุณอย่างไร ? ทานมีคุณอย่างไร ? คิดถึงว่าสภาพร่างกายของเรานี้ไม่ดีอย่างไร ? คิดว่าท้ายสุดแล้วเราก็ตาย ตายแล้วเราจะไปไหน ? หรือไม่ก็พิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงอย่างไร ? เกิดขึ้นมาค่อย ๆ โตขึ้น เดี๋ยวก็แก่ลง ท้ายสุดแล้วก็ตาย

เป็นทุกข์อย่างไร ? ระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ เกิดก็ทุกข์ เจ็บก็ทุกข์ แก่ก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ เศร้าโศกเสียใจก็ทุกข์ ปรารถนาไม่สมหวังก็ทุกข์ แล้วท้ายสุดมีอะไรเป็นเราเป็นของเราบ้าง

หัวหูหน้าตาทั้งหมดนี้เราลองชี้ดู..มีอะไรที่เป็นของเรา จิ้มไปตรงไหนก็ไม่ใช่ทั้งนั้น ตรงนี้ก็หน้า ตรงนั้นก็ตัว ตรงนั้นก็นิ้ว ตรงนี้ก็เท้า สรุปว่าร่างกายนี้เกิดจากธาตุ ๔ รวมกันขึ้นมาให้เราได้อาศัยอยู่ชั่วคราว ท้ายสุดก็พังไป ยึดถือเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เหมือนรถยนต์คันหนึ่ง พอรถหมดอายุก็พัง เราที่เป็นคนขับรถก็ต้องไปหารถยนต์คันใหม่

ถ้าเราทำความดีไว้มากก็ได้รถดี ๆ ก็คือเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทวดา เป็นพรหม ถ้าทำความชั่วไว้มาก ก็ได้รถห่วยแตกใช้การไม่ได้ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบ ในเมื่อเราอยากจบมีที่เดียวคือพระนิพพาน

คราวนี้พระนิพพานเราเองก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ก็ต้องเอาสิ่งที่แทนพระนิพพาน ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากอยู่ที่พระนิพพาน เราก็นึกถึงพระองค์ท่าน เอาใจเกาะพระองค์ท่านไว้ ว่าพระองค์ท่านอยู่ที่ไหน ถ้าเราตายก็ขอไปอยู่ที่นั่นด้วย พอความคิดมาลงตรงจุดนี้เราก็ภาวนาต่อ ภาวนาจนกำลังใจไปต่อไม่ได้ก็คลายออกมาคิดใหม่

ถ้าเราไม่หาเรื่องดี ๆ ให้ใจคิด เดี๋ยวใจก็จะคิดเอง ถ้าใจคิดเองก็จะฟุ้งซ่านไป รัก โลภ โกรธ หลง แล้วจะฟุ้งซ่านแรงมาก เพราะได้กำลังจากสมาธิของเราไปฟุ้ง เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาภาวนาเสร็จทุกครั้ง ควรจะพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราไว้ด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #86  
เก่า 21-12-2011, 12:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การตั้งสติอยู่กับหน้าที่การงานเป็นสมาธิไหมครับ ?
ตอบ : เป็น..แต่เป็นโลกียสมาธิ ความก้าวหน้าทางการปฏิบัติจะไม่มี

ถาม : ต้องอยู่ในพุทโธหรือครับ ?
ตอบ : อย่างน้อย ๆ อนุสติ ก็คือนึกถึงให้อยู่ในด้านดีเข้าไว้ อยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่กับทาน อยู่กับศีล อยู่กับพระนิพพาน เป็นต้น

ถ้าหากว่าได้มากกว่านั้นก็ทำ พิจารณาให้เห็นจริงเลย เกิดมาชาตินี้เราก็ไม่เหมือนคนอื่นเขา อวัยวะก็ไม่ครบถ้วน ๓๒ (พิการทางสายตา) ถ้าเราเกิดมาเป็นอย่างนี้อีก เราก็ทุกข์อย่างนี้อีก ขึ้นชื่อว่าทุกข์อย่างนี้เราไม่เอาอีกแล้ว พยายามพิจารณาให้เห็นจริง ท้ายสุดเอาใจเกาะพระ เอาใจเกาะพระนิพพานแล้วภาวนาไป ให้ทำสลับกัน ภาวนาแล้วมาพิจารณา พิจารณาแล้วกลับมาภาวนา

ถาม : ทำสลับกันได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ว่าทำสลับกันได้ แต่ต้องทำสลับกัน เหมือนคนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวทีละขาถึงจะไปได้ เพราะก้าวขาเดียวไปไม่ได้ ต่อไปให้ภาวนาแล้วพิจารณา พิจารณาแล้วภาวนา ทำสลับกันไปเรื่อย ๆ ถึงจะก้าวหน้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #87  
เก่า 21-12-2011, 15:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า ปัญหาใหญ่ปัจจุบันของเด็กไทยคือสมาธิสั้น ต้องเร่งแก้ไขด่วน

ถ้าจะเร่งแก้ไข อาตมาอยากจะเสนอว่า ให้ลดอาหารบำรุงทุกอย่างที่แม่กินตอนตั้งท้องลง เท่านี้ปัญหานี้ก็จะจบเลย เพราะที่เด็กทุกวันนี้พลังงานล้นเกิน เนื่องจากแม่บำรุงมากเกินตั้งแต่เด็กอยู่ในท้อง พอคลอดออกมา สติสมาธิของเขาเท่ากับเด็กทั่ว ๆ ไป แต่พลังงานล้นเกินจึงอยู่นิ่งไม่ได้ พออยู่นิ่งไม่ได้ ความสนใจจึงไม่ได้อยู่กับที่ กลายเป็นเด็กสมาธิสั้นไปด้วย

รุ่นที่เกิดมาแล้วก็ช่างเถอะ ส่วนรุ่นใหม่ถ้าไม่อยากมีปัญหา คุณแม่อย่าไปบำรุงขนาดนั้น รุ่นที่เกิดมาแล้วก็จับฝึกสมาธิ จับเล่นกีฬา ใช้พลังงานให้หมด จะได้มีสมาธิมากขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะมีลูกลิงอยู่ในบ้าน นิ่งไม่ได้ แล้วก็โทษเด็กไม่ได้ด้วย เพราะเด็กเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาเป็นอย่างนั้น

คนเป็นพ่อเป็นแม่พอรู้ว่าเด็กอยู่ในท้องก็รีบบำรุงเต็มที่เลย พอบำรุงมากเกิน พลังงานล้นเกิน การแสดงออกก็เกิน ๆ อย่างที่เห็น

รุ่นของอาตมาไม่มีหรอกที่พลังงานล้นเกิน เพราะได้กินแต่กล้วยกับข้าวบด สมัยนี้มีสารพัดนม ผสมน้ำผึ้ง ผสมวิตามิน โฟเลทสูง แอลลีนสูง ฯลฯ คาดว่าปัญหานี้พวกบริษัทที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เขารู้อยู่ แต่ไม่มีอะไรที่จะขายง่ายไปกว่าขายให้กับความรักของพ่อแม่ ในเมื่อรู้สึกว่าดีต่อลูกก็พยายามซื้อกันใหญ่ ถ้าไปบอกว่ากินแล้วไม่ดีต่อลูกใครเขาจะไปซื้อ เพราะฉะนั้น..ต่อให้รู้เขาก็ไม่พูด"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #88  
เก่า 21-12-2011, 16:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ช่วงการปฏิบัติธรรมที่ผ่าน ๆ มา ดีใจที่มีเด็กหลายคนไปปฏิบัติด้วย แม้จะอยู่ในลักษณะที่อยู่นิ่งไม่ได้ แต่เขาก็พยายามควบคุมตนเอง ต้องบอกว่าพวกนี้บุญเก่าเขาดี ถึงได้เลี้ยวไปถูกทาง ถ้าพยายามฝึกฝนดีตั้งแต่เล็ก ๆ โตไปจะเป็นคนที่มีสมาธิมั่นคง ส่วนคนที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนเลยก็กรรมใครกรรมมัน โดยเฉพาะกรรมของพ่อแม่นั่นแหละ ทำเองก็รับไปเถอะ..!

ผู้ใหญ่สมัยนี้โดนแรงโฆษณาทำเสียเยอะ โดยเฉพาะพวกกินนมแคลเซียมสูง กระดูกผู้ใหญ่งอกไม่ได้แล้วเหมือนกับเด็ก เมื่อเป็นดังนั้นก็จะไปงอกอยู่ ๒ ที่ ที่หนึ่งคือภายในโพรงฟันตัวเอง ถ้างอกมาก ๆ เข้าก็จะไปบีบประสาทฟัน แล้วจะปวดฟันโดยหาสาเหตุไม่ได้ ที่สอง ก็คือจะไปงอกตรงโคนเล็บ เพราะเล็บยังงอกได้อยู่เรื่อย ๆ เมื่อมากเกินกว่าที่จะงอกออกมาเป็นเล็บ กระดูกนิ้วมือของพวกที่กินนมแคลเซียมสูงก็จะบวมเป็นก้อน

ดังนั้น..ระมัดระวังด้วยนะจ๊ะ กระดูกจะแข็งแรงขึ้นอยู่ว่าได้รับแสงแดดพอไหม ? ออกกำลังพอไหม ? ไม่ใช่กินแต่นมแคลเซียมสูงอย่างเดียว ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าว่า อะไรที่พอดีเป็นทางสายกลางถึงจะดี ถ้ามากเกินเมื่อไรย่อมเป็นโทษเมื่อนั้น

กินอาหารที่มีแคลเซียม อย่างเช่น พวกปลาเล็กปลาน้อยบ้าง ออกกำลังบ้าง รับแสงแดดบ้าง กระดูกจะแข็งแรงพอ ปู่ย่าตาทวดมีบ้างไหมที่เขากินนมแคลเซียมสูง ? ก็เห็นเขาแข็งแรงดี อายุยืนอีกต่างหาก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #89  
เก่า 21-12-2011, 16:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลแต่ละคนมีพื้นฐานจิตใจไม่เหมือนกัน เมื่อเข้ามาปฏิบัติธรรมก็ค่อย ๆ ฝึกฝนกล่อมเกลาไปเรื่อย ๆ ลองมานึกดูว่าคนเราเหมือนกับลูกเต๋าลูกหนึ่ง มาถึงก็วางทื่ออยู่ตรงนั้นเลย พอนานไป ค่อย ๆ ฝน ค่อย ๆ ลบ เกลาไปเรื่อย ๆ เหลี่ยมก็น้อยลง..น้อยลง ค่อย ๆ กลม กลิ้งจนเคลื่อนที่ได้ จนกระทั่งกลมเต็มที่ คราวนี้จะกลิ้งไปไหนก็ได้

การปฏิบัติธรรมพอถึงระดับนั้นก็เหมือนกับหยาดน้ำบนใบบัว ก็คือกลิ้งไปกลิ้งมาแต่ไม่ติดอยู่กับใบบัวนั้น นั่นคือสภาพจิตที่ประกอบไปด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นเครื่องกันเราไม่ให้ยึดติดอยู่กับโลก ถ้าหากว่าถึงระดับนั้นก็มีโอกาสการก้าวถึงความหลุดพ้นได้

แต่ถ้ายังขัดเกลาตัวเองไม่พอ ยังเป็นเหลี่ยมเป็นมุมอยู่ ก็จะขัดตาอย่างบางคนที่เราเห็น แล้วก็พาให้ขัดใจ เราก็เสียเองเพราะใจเราหมองเอง เพราะเราดันไปคิดว่าเราดีกว่าเขา โดนกิเลสหลอกเอาเต็ม ๆ"

ถาม : ถ้าคนที่เข้ามาทางพระไม่นาน แต่คิดว่าตนเองเป็นพระอนาคามีแล้ว ?
ตอบ : เขาอาจจะเป็นจริง หรือไม่เขาอาจจะหลงตัวเอง เพราะว่าการเข้าถึงธรรมไม่ได้อยู่ที่ระยะเวลา แต่อยู่ที่ สติ สมาธิ ปัญญา ที่สั่งสมมา ถ้าเขาสั่งสมมาได้ที่ เข้ามาได้เลยก็มีเหมือนกัน

ถาม : พระอนาคามีต้องไม่มีการเหยียดหยามผู้อื่น ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้จริงอย่าไปตั้งกติกาอย่างนั้น เขาอยากเป็นก็ให้เขาเป็นไป อาจจะเป็นพระอนาคามีของเขา แต่ไม่ใช่พระอนาคามีในแบบของพระพุทธเจ้าก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2011 เมื่อ 17:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #90  
เก่า 22-12-2011, 10:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อารมณ์ของพระโพธิสัตว์ ถ้าจะทรงให้นานที่สุดต้องใช้เมตตาอัปปมัญญาใช่ไหมครับ ถึงจะไปได้ตลอดรอดฝั่ง ?
ตอบ : ต้องมีสมาธิด้วย เมตตาอย่างเดียวไปไม่รอดหรอก เพราะถึงเวลากระทบแล้วใจไม่มั่นคง เพราะฉะนั้น..สำคัญที่ต้องมีสมาธิ พูดง่าย ๆ ว่าต้องมีกำลังที่จะฝืนกระแสโลก ถ้าไม่มีสมาธิกำลังก็ไม่พอที่จะฝืนกระแสโลก

ถาม : อุเบกขาของสาวกกับอุเบกขาของพระโพธิสัตว์ ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อุเบกขาของพระโพธิสัตว์เป็นอุเบกขาในเมตตา วางเฉยแต่ก็พร้อมช่วยเหลือทุกทีที่มีโอกาส ส่วนอุเบกขาของสาวก เบรกทั้งขาทั้งมือ เลิกแล้วเลิกเลย

ถาม : การที่ไปเกิดอยู่นอกเขตพุทธศาสนาเป็นเพราะมิจฉาทิฐิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเพราะไม่มั่นคงในพุทธานุสติ เมื่อไม่มั่นคงในพุทธานุสติ ก็มีโอกาสกระเด็นออกไปนอกเขตพระพุทธศาสนา

ถาม : เมื่อไปอยู่ตรงนั้นจะทำให้บารมีลดลงหรือไม่ครับ ?
ตอบ :
อยู่ที่ไหนก็บำเพ็ญได้ การบำเพ็ญบารมีจะมีแต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

ถาม : พระโพธิสัตว์มาเกิดเป็นคริสต์เป็นมุสลิมมีด้วยหรือครับ ?
ตอบ :
มีเยอะแยะไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้นำเขา

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2011 เมื่อ 12:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #91  
เก่า 22-12-2011, 11:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทุกข์ในอริยสัจกับทุกข์ทั่วไปต่างกันตรงไหนคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คืออย่างเดียวกัน อยู่ที่ว่าเราพิจารณาถึงต้นตอของทุกข์ได้จริงไหม ? ถ้าพิจารณาถึงต้นตอของทุกข์ได้จริง ๆ แม้กระทั่งลมหายใจก็ยังอยากจะโยนทิ้ง เพราะว่าเป็นสาเหตุของทุกข์เหมือนกัน

เพียงแต่ว่าพอกล่าวถึงความทุกข์ในอริยสัจ ท่านรวบยอดใช้คำว่า สิ่งที่ทนได้ยากคำเดียว แต่ทุกข์ทั่ว ๆ ไปท่านแยกออกเป็น สภาวทุกข์ ทุกข์ที่เกิดขึ้นตามสภาพ เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย นิพัทธทุกข์ ทุกข์เนืองนิตย์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย การปวดอุจจาระปวดปัสสาวะ

ปกิณกทุกข์ ทุกข์จรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามา อย่างเช่น กระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ได้สิ่งที่ไม่รัก ไม่ได้ในสิ่งที่รัก ก็แค่แยกแยะละเอียดลงไปเท่านั้นเอง ท้ายสุดก็เลยรวมลงไปตรงคำว่า สิ่งที่ทำให้เราต้องทนลำบาก

ถาม : แล้วพวกอภิธรรมที่เขาแยกทุกข์ทั่วไป ?
ตอบ : เกินความรู้ของเรา นั่นสำหรับคนที่จะไปเป็นครูสอนเขา คือคนที่จะไปเกิดไปเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ก็ศึกษาให้ละเอียดเข้าไว้ แต่ถ้าเราต้องการแค่บรรลุธรรมก็ไม่ต้องไปศึกษาตรงนั้น

ถาม : ทุกข์ทั้งโลกนี่คือทุกข์ในอริยสัจ ?
ตอบ : ใช่...รวมอยู่ในทุกข์ของอริยสัจ

ถาม : แล้วตัวอวิชชาที่ท่านอธิบายว่า รู้ไม่จริงในทุกข์ ท่านแยกเป็นฉันทะกับราคะ ตัวฉันทะพอเข้าใจ แต่ตัวราคะไม่เข้าใจ ?
ตอบ : ดอกไม้สวยไหม ? ถ้าสวยก็เกิดความพอใจขึ้นมาก็คือฉันทะ ในเมื่อเกิดความพอใจขึ้นมาก็เกิดความอยากมีอยากได้ ราคะก็คือความอยากมีอยากได้

ถาม : นั่นคือตัณหา ?
ตอบ : ก็คือสิ่งที่เรากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดไปยินดีพอใจ อยากมีอยากได้ขึ้นมา หรือไม่ก็กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วไม่พอใจ ก็ผลักไสไม่ต้องการ..เจ๊งทั้งคู่

ถาม : ฉันทะกับราคะแยกกันไม่ได้
ตอบ : ถ้าจิตไม่ละเอียดจริงก็แยกกันไม่ได้ เพราะทันทีที่เกิดฉันทะ อารมณ์ใจจะปรุงเร็วมากเลย ชอบหรือไม่ชอบ ชอบก็เป็นราคะ ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสะ แต่ว่ารวมแล้วก็คือ ความไม่รู้ทำให้จิตไปปรุงแต่ง จึงได้บอกว่า ต้องสักแต่ว่าเห็น ต้องสักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส อย่าให้เข้ามาในใจของเรา ถ้าเข้ามาเมื่อไรก็จะทำอันตรายเราทันที

ดีแล้ว...รักษาอารมณ์ไว้ เพียงแต่ลดความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่รู้แล้วไม่ช่วยให้ตัดกิเลส ทางเราก็จะไปสะดวกขึ้น

ถาม : เวลาฟังธรรมหรืออ่านหนังสือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกเกิดความเคารพรักท่าน เป็นเพราะว่าเราฟังแล้วเรายึดติดในตัวท่าน ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น หรือเป็นเพราะจิตเราคล้อยตามเพราะเราพัฒนาขึ้น ?
ตอบ : ถ้าพัฒนามากขึ้นจะสังเกตว่า เรายิ่งอ่าน เราก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน บางส่วนอาจจะรู้สึกว่าคราวที่แล้วเราอ่านไม่พบ คราวนี้ทำไมเราอ่านพบ ก็คือว่าสภาพจิตตอนนั้นยังหยาบอยู่จึงมองข้ามไป แต่พอจิตเราละเอียดพอ เราอ่านก็สะดุดใจ เข้าใจทันที เป็นพัฒนาการที่มากขึ้น ๆ

ในเมื่อเกิดขึ้นจากคำสอนของท่าน เราก็เห็นคุณของความเป็นพระสงฆ์ของท่าน ว่านี่คือสังฆคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ร่างกายของท่าน แต่นั่นคือความดีของท่านที่ท่านรู้ธรรมแล้วนำมาสอนเรา เราก็จะเกิดความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ ไม่ใช่เคารพแต่เปลือก

ถ้ามีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจเมื่อไร ก็แปลว่าบันไดขั้นแรกเราแตะได้แล้ว ให้เหยียบให้มั่นคงโดยเสริมศีลให้ดี สร้างสมาธิให้เกิด ตั้งใจว่าถ้าตายแล้วขอไปพระนิพพาน ถ้าทำอย่างนั้นได้ครบ ก็แปลว่าบันไดขั้นแรกเรายึดได้แน่นอนแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-12-2011 เมื่อ 14:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #92  
เก่า 22-12-2011, 12:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สำหรับพระโพธิสัตว์ บารมี ๓๐ ทัศอย่างเดียวไปไม่รอดใช่ไหมครับ จะต้องรู้ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านเคยทรงปฏิบัติมาก่อนใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บารมี ๓๐ ทัศก็เกินพอแล้ว

ถาม : ไม่ต้องไปค้นหาธรรมะที่แท้จริงหรือครับ ?
ตอบ : ปัญญาบารมีเอ็งเอาไว้ทำอะไรวะ..?! ไม่มีใครตะกายไปทำทั้ง ๓๐ ทัศหรอก ทำอย่างเดียวก็พอแล้ว

คนที่จะให้ทานได้ก็ต้องมีปัญญา เห็นว่าการให้ทานนั้นดีถึงจะให้ คนที่จะให้ของคนอื่นได้จิตก็ต้องประกอบไปด้วยเมตตา บุคคลที่จิตประกอบด้วยเมตตาศีลก็ต้องมี ลองไล่ไปดูสิเดี๋ยวก็ครบ ๑๐ ข้อ เพียงแต่ว่าทำจริงให้ได้สักข้อ เดี๋ยวข้ออื่นก็มาเอง

ถาม : ที่ผ่าน ๆ มา ความโกรธดับไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
ตอบ : ชาติหน้าบ่าย ๆ โน่น..! พระโพธิสัตว์ที่ไหนดับโกรธได้ คนที่จะดับโกรธได้ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป พระโพธิสัตว์ท่านจะไปตรัสรู้ดับกิเลสเอาชาติสุดท้าย

ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ความโกรธของท่านยังมีอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ท่านที่บารมีสูงมาก ๆ จะรู้เท่าทันความโกรธนั้น เห็นว่าสาเหตุของความโกรธนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร แล้วท่านก็ไม่ไปยุ่งกับสาเหตุนั้น ไม่เอาไม้ขีดไปแหย่ใส่ แล้วเชื้อเพลิงจะติดไฟได้ไหม ? ก็ไม่ได้..แค่นั้นเอง

ท่านยังมีโทสะอยู่เต็ม ๆ เพียงแต่ไม่ไปจุดไฟขึ้นมา ถ้าหากความโกรธของเรายังงอกงามอยู่เป็นปกติ แสดงว่ากำลังของเรายังต่ำอยู่ ต้องเร่งการปฏิบัติให้มากขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 13:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #93  
เก่า 22-12-2011, 12:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การแยกพิจารณาร่างกายในอารมณ์ของพระอริยเจ้าระดับต่างกัน จะมีความละเอียดต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : พระโสดาบันเห็นว่าร่างกายนี้ต้องตายแน่นอน พระสกิทาคามีกับพระอนาคามีจะเห็นว่าร่างกายนี้สกปรกโสโครก มีแต่ความน่ารังเกียจ ไม่มีอะไรน่ายินดี พระอรหันต์ท่านจะเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อไม่ใช่ของเรา ของคนอื่นก็ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่อยากได้ร่างกายของใครเขา

ถาม : ถ้าพิจารณาแล้วมันตายด้านครับ เป็นแค่สัญญา?
ตอบ : การพิจารณาต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก จนจิตไม่เถียงเรา พอบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่เลย

เมื่อหลายปีก่อนพระสมุห์กอล์ฟ เขามีคำถามว่า พยายามพิจารณาว่าร่างกายสกปรก แต่เวลาสาวมาหาทีไร เขาอาบน้ำแต่งตัวมาเต็มที่ทุกทีเลย ก็เลยไม่เห็นว่าสกปรก แสดงว่าท่านมีปัญญาไม่พอ ติดอยู่แค่เปลือกเท่านั้น

ต้องมองทะลุเข้าไปสิว่า ร่างกายประกอบด้วยอะไร มีเลือด มีน้ำเหลือง มีอวัยวะภายในเยอะแยะยั้วเยี้ยไปหมด นั่นแสดงว่าเปลือกบดบังอยู่ ปัญญาไม่พอ แต่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่น่าสรรเสริญ คือว่าตัวเองมองต่อไปไม่ได้ ก็ยังบอกออกมาว่าเป็นอย่างไร เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย

คราวนี้การพิจารณาให้โอปนยิโก คือน้อมนำเข้ามาในกายของเรา ให้เห็นชัดเจนจนใจไม่เถียงแล้ว ว่าร่างกายคนอื่นก็เหมือนเรา สัตว์อื่นก็เหมือนเรา อย่าไปพิจารณาเพศตรงข้าม โดยเฉพาะพวกจิตใจไม่เข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นปัญญาจะโดนกิเลสบัง พิจารณาที่ตัวเองก่อนจนช่ำชองชำนาญแล้วค่อยขยายออกไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-12-2011 เมื่อ 15:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #94  
เก่า 22-12-2011, 12:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การพิจารณาอสุภกรรมฐาน ถ้าเราไปดูการผ่าพิสูจน์ศพที่โรงพยาบาล จะช่วยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพจิต ถ้าสภาพจิตไม่ดื้อมากก็ช่วยได้ ถ้าดื้อมากก็จะเจอประสบการณ์เหมือนอย่างพวกอาตมา

พี่สุรินทร์เป็นลูกป้ากิมกี ป้ากิมกีคือลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรก ๆ ที่เปิดร้านขายอาหารอยู่ในวัดท่าซุง พี่สุรินทร์เป็นเจ้าหน้าที่นิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ถ้ามีศพเข้ามาก็จะโทรศัพท์มาบอกพวกเรา พวกเราก็ลาหลวงพ่อไปโรงพยาบาลกันที ๔-๕ รูป ไปพิจารณาศพ

ตอนแรก ๆ แค่เหยียบเข้าไปก็อาเจียนแทบไม่เหลือ เห็นครั้งแรกก็แหวะ..! กินข้าวไม่ได้ไป ๓ วัน พอนานไป ๆ ปัญญาไม่ถึง ก็เริ่มตายด้านกับศพ เวลาผ่าศพผู้หญิงเราก็ไม่ดูตรงที่เขาผ่า เราไปดูตรงที่ยังดี ๆ นี่คือปัญหาที่เจอมาด้วยตัวเอง ดังนั้น..ปัญญาไม่ถึงอย่าไปพิจารณาเพศตรงข้าม ไม่อย่างนั้นเจ๊งหมด..!

อย่างเรื่องฤๅษีกไลยโกฏิบำเพ็ญตบะมานาน ถึงขนาดทำให้ฝนแล้งไป ๓ ปี ชาวบ้านเดือดร้อนไปหมด ไม่มีใครสามารถทำให้ฤๅษีคลายตบะได้เลย พระราชธิดาจึงอาสาพระราชบิดาไปจัดการให้ พอฤๅษีเจอพระราชธิดาก็สงสัย ถามว่า "เจ้าเป็นตัวอะไร?" เพราะไม่เคยเจอคนมาก่อน พระราชธิดาบอกว่า "ดิฉันเป็นมนุษย์"

ฤๅษีถามว่า "ทำไมเจ้าจึงมีเขาอยู่ที่อก ?" พระราชธิดาบอกว่า "ไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมาก็มีอย่างนี้แล้ว ประหลาดมาก..เพราะเขานี้ไม่ได้แข็งเหมือนเขาสัตว์ทั่ว ๆ ไป พระคุณเจ้าลองสัมผัสดูก็ได้" พอสัมผัสพระคุณเจ้าก็ตบะแตกเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2011 เมื่อ 15:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #95  
เก่า 22-12-2011, 13:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีหนังสือที่กล่าวว่า รัชกาลที่ ๖ กลับมาเกิดใหม่ แล้วจะมาบริหารประเทศให้เจริญ
ตอบ : ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ต้องไปกลุ้มใจ ไม่ต้องไปสงสัย เดี๋ยวท่านก็โผล่มา คนสำคัญขนาดนั้นต่อให้เอาขยะไปกลบก็กลบไม่อยู่หรอก

ถาม : ตามพระบรมรูปทั้งหลายมีเทวดาทำงานแทนท่านอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ามีคนไปการกราบไหว้บูชาอยู่ ก็ยังมีเทวดาทำหน้าที่แทนอยู่เป็นปกติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 13:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #96  
เก่า 22-12-2011, 13:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิไปเรื่อย ๆ ถ้าต้องมีการถอย ?
ตอบ : ไม่ถอย..มีแต่ขึ้นหน้า สันดานแก้ไม่ได้ เหมือนโดนบังคับให้ขึ้นหน้าอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 13:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #97  
เก่า 22-12-2011, 13:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เมื่อก่อนต้องบริกรรมแล้วถึงจะนิ่ง แต่ตอนนี้ไม่ได้บริกรรมก็นิ่งเลย ต้องย้อนกลับไปบริกรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง...ถ้ามีความคล่องตัวแล้ว สมาธิจะกระโดดไปจุดที่ตนเองต้องการเลย ยกเว้นว่าเราต้องการซักซ้อมความชำนาญ ก็ฝึกการลดลงมาหรือขึ้นไป หรือสลับไปสลับมา ไม่อย่างนั้นจะพรวดเดียวไปเลย

ถาม : พอระดับสมาธิขึ้นสูงไปแล้ว เราก็ดึงกลับมาบริกรรมใหม่ ?
ตอบ : เสียเวลา...ยกเว้นเราจะซ้อมเอาความชำนาญ แต่อยากจะให้ซ้อมเข้าสมาธิสูงสุดให้ชำนาญที่สุด พอถึงเวลารัก โลภ โกรธ หลงมา ทันทีที่เรารู้ตัวให้รีบเข้าไปสู่อารมณ์สมาธิของเรา กิเลสจะกินไม่ได้

ถาม : หนีไปสู่สมาธิระดับสูง
ตอบ : เข้าสู่สมาธิของเรา กิเลสก็ทำอันตรายเราไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในลักษณะหนีปัญหา แต่ว่าต้องหนีก่อนเพื่อไม่ให้จิตใจขุ่นมัว หลังจากนั้นค่อยใช้กำลังของปัญญามาพิจารณาตัดเอาภายหลัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2011 เมื่อ 14:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #98  
เก่า 23-12-2011, 10:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อาหารที่เขาตั้งใจถวายพระ ถ้าเราเอามากินก่อนจะเป็นเปรตไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าเขาตั้งใจถวายพระ ก็เป็นแน่นอน ตัวอย่างก็กากะเปรต

ถาม : อาหารอร่อย ?
ตอบ : เราไปทำอย่างนั้นก็จะซวยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาตั้งใจถวายสงฆ์แต่ยังไม่ได้ถวาย เขาเรียกว่า ของกึ่งกลางระหว่างสงฆ์ ของตัวเองก็ไม่ใช่เพราะตั้งใจถวายไปแล้ว จะเป็นของสงฆ์ก็ไม่ใช่เพราะสงฆ์ยังไม่ได้รับ ถ้าไปกินถือว่าติดหนี้สงฆ์เหมือนกัน

ถาม : ถ้าชิมละคะ ?
ตอบ : ถ้าปรุงอาหารก็จำเป็นต้องชิม ตอนนั้นไม่เป็นไร แต่เมื่อปรุงเสร็จแล้วอย่าไปชิมเพิ่มก็แล้วกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2011 เมื่อ 12:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #99  
เก่า 23-12-2011, 12:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "นักศึกษาญี่ปุ่นเคยทำวิจัยแล้วสรุปว่า ประเทศไทยนอกจากในหลวงแล้วโกงทุกคน นี่เขาเหมาพระไปด้วยนะ..(หัวเราะ)..ความจริงเขาไม่ได้โกงหรอก เขาแค่รับในส่วนที่เขาคิดว่าควรจะได้รับเท่านั้น ความคิดนี้ฝังรากลึกใน dna แล้ว แก้ไม่ได้

ระบบนี้มาจากเมืองจีน สมัยก่อนพ่อค้าจีนต้องการความคล่องตัวในการดำเนินกิจการต่าง ๆ จึงหาของจิ้มก้องไปให้แก่บรรดาเจ้าเมืองหรือข้าราชการ พอคนจีนเข้ามาเมืองไทยก็เอาระบบนี้มาใช้ที่เมืองไทย นาน ๆ ไป คนที่ให้ของขวัญ ให้เงิน ก็ได้รับความสะดวก ส่วนคนที่ไม่ให้ก็ไม่ได้รับความสะดวก จึงต้องให้กันทุกคน จนกลายเป็นอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน ฝังรากลึกอยู่ใน dna ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว

ใครจะรับก็ไม่ว่านะ แต่มีนรกขุมหนึ่งที่เป็นยมโลกียนรก มีไว้สำหรับพวกคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ..!"

ถาม : พวกที่กินอิฐ หิน ปูน ทราย พอลงไปนรกต้องกินอย่างนั้นไหมคะ ?
ตอบ : เปล่า...ยมโลกียนรกขุมนั้นเป็นภูเขาเหล็กลุกแดงโร่ ๒ ลูก หมุนบี้เข้าหากัน แล้วคนพวกนี้ก็อยู่ตรงกลาง เหมือนลูกกลิ้ง ๒ ลูกกลิ้งเข้าหากัน ถ้าหนีทันก็แล้วไป ถ้าหนีไม่ทันก็ถูกบี้ป่นเป็นแป้ง พอไปอีกฝั่งเกิดใหม่ก็มีภูเขาลูกใหม่มาอีก ถ้าเป็นภูเขาธรรมดาก็พอทน แต่ภูเขานี้ลุกเป็นไฟแดงโร่เลย พวกที่อยู่ในนรกแห่งนี้ถ้าเกิดใหม่คงแข่งวิ่ง ๑๐๐ เมตรได้ที่ ๑ ทุกคนเพราะต้องวิ่งหนีอยู่ตลอดเวลา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-12-2011 เมื่อ 12:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #100  
เก่า 23-12-2011, 12:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,781
ได้ให้อนุโมทนา: 152,265
ได้รับอนุโมทนา 4,421,602 ครั้ง ใน 34,371 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เกิดจันทรุปราคาจะมีผลอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปหนักใจ..ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง สิ่งภายนอกจะมีผลกระทบน้อยมาก ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงก็จะมีผลเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว