|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องฟ้าผ่าเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือดินผ่าฟ้า ไม่ใช่ฟ้าผ่าลงดิน แต่เกิดจากโปรตอนในพื้นรวมกันมากขึ้น ๆ แล้ววิ่งขึ้นไปหาอิเล็กตรอนในอากาศเอง อาตมาเคยเจอคาตาอยู่ครั้งหนึ่งที่วัดท่าขนุน หน้าฝนพรรษานั้นน่าจะกลางพรรษาปี ๒๕๔๔ กำลังนั่งอบรมพระอยู่ คราวนี้มุมที่อาตมานั่งนั้นหันไปทางเจดีย์ ๘๔ พรรษาสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ๆ เห็นประกายไฟจากฐานเจดีย์พุ่งขึ้นไป จนพระเจดีย์เป็นสีชมพูสว่างจ้าทั้งองค์เลย นั่นคือลักษณะของดินผ่าฟ้า ที่ทางด้านพม่าเรียกว่าอสูรยิงเทวดา กว่าจะหาจรวดพื้นดินยิงสู่อากาศได้คงจะยาก นาน ๆ ถึงจะเกิดที
ที่บ้านหนองบัวทางฝั่งพม่าก็มีต้นจามจุรีต้นหนึ่ง แตกตั้งแต่โคนยันยอดเลย ลักษณะที่โดนดินผ่าฟ้านี่แหละ พุ่งจากข้างล่างขึ้นข้างบนเลย แล้วก็แห้งตาย แต่ความจริงลักษณะนั้นเป็นวัตถุอาถรรพ์นะ เอามาแกะพระได้ แต่ว่าเขาคงไม่มีความรู้กัน ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของดินผ่าฟ้านี่เกิดในทะเลเสียมาก บางทีเรียกกันว่าพรายทะเล คือแสงจะรวมกันสว่างขึ้น ๆ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ถ่อซึ่งเขาปักยึดเรือไว้ บางคนเขาคว้ามีดฟันถ่อขาด ก็ยังพุ่งสว่างขึ้นมาอีก ต้องรีบตัดเชือกปลดโซ่ แล้วก็รีบพายหนีสุดชีวิต เพราะเขาบอกว่าเดี๋ยวฟ้าจะฟาดลงตรงนั้น แต่เขาเรียกพรายทะเล ไม่รู้หรอกว่าเป็นโปรตอนมารวมกันแล้วก็พุ่งขึ้นไป ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ต้องอาศัยสื่อ อย่างพระเจดีย์วัดท่าขนุนแกนในเป็นเหล็ก เขาสานเหล็กเป็นโครงทั้งองค์ก็เลยไม่เป็นไร วิ่งขึ้นไปบนยอด ถึงสายล่อฟ้าก็พุ่งขึ้นไปฟ้าได้ ถ้าอย่างต้นจามจุรีต้นนั้นไม่มีอะไรเป็นแกน อาศัยต้นเป็นแกน เลยรับแรงไฟฟ้าไม่ได้ พอน้ำในต้นเดือดก็ต้นแตกกระจายเลย พวกหาปลาสมัยก่อนที่ใช้เรือฉลอมจะเจอกันบ่อย ถาม : ขวานฟ้าเป็นเหล็กมีไหมครับ ? ตอบ : ขวานฟ้าเหล็กยังไม่เคยเจอเลย เคยเจอแต่ที่เป็นหิน ที่เป็นเหล็กน่าจะเป็นขวานสำริดของมนุษย์โบราณมากกว่า อาตมาก็ยังมีอยู่อันหนึ่ง หน้ากว้างเกือบฝ่ามือ ขวานสำริด สนิมเขียวทั้งอันเลย สมัยที่หัดมวยกับครูเขตร์ ท่านบอกว่าถ้าหาได้เอามาพันไว้ในหลังหมัด ชกคู่ต่อสู้ทีเดียวรู้เรื่องกันไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "ท่านอาจารย์พระมหาสุชาติ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ขออนุญาตสร้างเหรียญหลวงปู่สาย ๑๐๐ ปี ด้านหนึ่งเป็นหลวงพ่ออุตตมะ อีกด้านหนึ่งเป็นรูปหลวงปู่สาย ของวัดท่าขนุนมีรูปเหรียญหลวงปู่สายคู่หลวงพ่ออุตตมะอยู่รุ่นหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นการดำเนินการสร้างโดยคุณสมใจ มาโนช"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนอาตมาฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อวัดท่าซุงถามว่า “ดูซิ..แกเคยเป็นหมาหรือเปล่า?” โอ้โฮ..ฝูงเบ้อเริ่มเลย แล้วที่ตลกที่สุดก็คือ เคยไปเกิดเป็นหมาในนรกด้วย หมาพันธุ์นั้นนี่ถ้ามาอยู่บนโลกคนคงตกใจตาย ตัวใหญ่กว่าเจค็อบอีก รู้จักไหม..? เจค็อบในเรื่องทไวไลท์ เป็นหมาป่าที่สู้กับผีดิบ"
ถาม : แล้วทราบไหมครับ ว่าทำไมถึงเกิดเป็นหมาในนรก ? ตอบ : ตอนนั้นไม่ได้ดู ดูอย่างเดียวว่าเคยเกิดเป็นหมาหรือเปล่า เกิดเป็นหมาในนรกเหนื่อยอย่าบอกใครเลย เหมือนกับโดนตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่า ถ้าเห็นสัตว์นรกต้องโดดใส่ไว้ก่อน เท่ากับไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยจะตายชัก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 02:59 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : คนที่ชื่อยาก อ่านยาก มีผลต่อชีวิตเขาไหมครับ ?
ตอบ : เพื่อนฝูงรังเกียจ เรียกแล้วไม่รู้แปลว่าอะไร ถาม : ขอความเมตตาตั้งชื่อด้วยครับ ตอบ : เสียเวลา..เรื่องของชื่ออย่าเอามาเป็นสาระในชีวิต พวกที่เปลี่ยนชื่อลองสังเกตดูสิ เพื่อนเขาเรียกชื่อใหม่เสียที่ไหน เห็นเรียกกันแต่ชื่อเก่า สังเกตว่าสมัยโบราณต้องเอาชื่อที่น่าเกลียดน่าชังเอาไว้ เพราะว่าผีจะได้ไม่รัก ขนาดสุดยอดวีรบุรุษของประเทศยังชื่อทองเหม็นเลย คนชื่อทองเหม็น ส่วนควายชื่อไพเราะเชียว ควายชื่อบุญเลิศ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:07 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พุทธภูมิที่บารมีเฉียด ๆ ปรมัตถ์ คำอธิษฐานพอจะมีผลไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่อุปบารมีขั้นปลายเริ่มมีผลแล้ว ต้องบอกว่ามีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ก็ดูงานที่ไม่ใหญ่เกินไปสิ เล่นงานใหญ่ยักษ์มหึมาเลยก็ไม่ไหว เอาไว้รอบารมีเต็มแล้วค่อยว่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:08 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
![]()
ในขณะที่เด็กกำลังร้องไห้ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เขาบอกว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง ถ้ากำลังเราไม่พอ สู้เขาไม่ได้หรอก ประเภทตีไปสอนไปแบบอาตมา เอ็งอยากร้องก็ร้องไป แบบนี้ไม่มี ถ้ากำลังไม่พอก็สู้เขาไม่ได้
เขาบอกว่า ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลัง ถึงเวลาต้องรีบบีบน้ำตาไว้ก่อน ถ้าทำไม่ได้ก็พกหัวหอมไว้ ผ่าแล้วก็เช็ดตา สมณชีพราหมณ์มีศีลเป็นกำลัง ถ้าศีลของเราสมบูรณ์บริบูรณ์ เข้าไปสู่สังคมไหนก็ไม่หวั่นไหว มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตน พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า พระองค์ท่านอยู่ในหมู่ท้าวมหาพรหม อยู่ในหมู่ท้าวสักกะ อยู่ในหมู่ของพระมหากษัตริย์ อยู่ในหมู่ของพราหมณ์มหาศาล พระองค์ท่านไม่มีความหวั่นไหวเลย คนอื่นคัดค้านฐานะของพระองค์ท่านไม่ได้ ตถาคตปฏิญาณว่าตรัสรู้ ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่ตรัสรู้ ตถาคตบอกกล่าวทางอันนำไปสู่ความหลุดพ้น ไม่มีใครคัดค้านได้ว่าไม่นำไปสู่ความหลุดพ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:09 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พวกของประจำตัวสัตว์ อย่างพวกเขี้ยวเสือไฟ พวกนี้จะเป็นของใคร ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้เขาจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น..ถ้าตัวเองตั้งใจสร้างบารมีมา บางทีชิ้นส่วนของเขาก็มีเทวดารักษาอยู่ หรือไม่ก็กำลังของตัวเขาเองนั่นแหละ ถาม : อย่างเสือที่มีเขี้ยวไฟ ก็เป็นบุญของเขาที่มีอำนาจ ทีนี้คนที่ได้ไปเนื่องกับเสือตัวนั้นหรือเป็นบุญต่างหากของเขาเองเลย ? ตอบ : น่าจะต้องแยกเป็น ๒ สภาวะด้วยกัน สภาวะแรกก็คือ เคยสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา สภาวะที่สองก็คือ เป็นบุญบารมีของเขาเองที่จะได้ของอย่างนั้นมา เขาเรียกว่าของคู่ตัว ถาม : ถ้าเราเนื่องกับเขา อย่างนี้เวลาเราทำบุญอะไรเราก็ให้เขา ? ตอบ : ให้เขาไปเถอะ ยิ่งให้เขาไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีผู้ช่วยที่มีกำลังมากเท่านั้น พระเจ้าพรหมมหาราชมีของคู่บารมีเป็นเขี้ยวงูใหญ่เท่าผลกล้วยหอม งูประเภทนี้ต่อให้ไปนอนบนหลังคนยังไม่รู้ตัวว่าอยู่บนหลังงู พวกสัตว์ใหญ่ โดยเฉพาะสัตว์มีอำนาจ ถึงแม้ว่าจะเหลือแต่ซากแล้ว คาดว่าพลังอำนาจที่ติดอยู่แผ่ออกมา ทำให้สัตว์อื่นรู้ว่านี่อันตราย..อย่าไปใกล้ ก็เลยทำให้คนที่มีชิ้นส่วนของเขาอยู่นั้นปลอดภัย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:11 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อย่างเขากวาง ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เขากวางจะหาเขากวางคุด ถ้าไม่มีก็ ๓ ยอด ๗ ยอด ๙ ยอด หาไปเถอะ ถ้าจะเอาของขลังจริง ๆ ต้องตายโดยธรรมชาติ เพราะว่าของพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะหนังเหนียว แคล้วคลาด ไม่ค่อยจะตายผิดปกติเหมือนอย่างอื่น ถาม : อย่างฟันคน ? ตอบ : บางคนเขาเรียกเขี้ยวแก้ว ฟันที่เกิดบนเพดานปาก อาตมาเองตอนเด็ก ๆ ตกใจแทบตาย เพราะฟันงอกที่เพดานปาก วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก..คอยเลียอยู่เรื่อย ถาม : ขึ้นตรงกลางเลยหรือคะ ? ตอบ : ตรงกลาง คราวนี้พอเขี้ยวที่เป็นฟันน้ำนมหลุด ก็ค่อยเลื่อนมาจะแทนที่ แต่แทนไม่หมดหรอก มาไม่ถึง เพราะจากที่ลึกเกินไป เลื่อนมาไม่ถึง ถาม : ตอนนี้ฟันยังอยู่กับตัวหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ผุไปแล้ว แสดงว่าตัวเองก็ยังอาศัยไม่ได้ ยังผุอยู่เลย ถาม : นึกว่ามีคนเลี่ยมไปแล้ว ? ตอบ : ไม่รู้หมอเอาเศษฟันไว้ใช้บ้างหรือเปล่า แต่ว่าอุดแล้วอุดอีก ขูดแล้วขูดอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2014 เมื่อ 14:12 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
![]()
สมัยก่อนหลวงปู่กาหลง ที่เขาเรียกว่า หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้ว ท่านทำวัตถุมงคลแล้วก็ท้าว่า ถ้าใครไม่มั่นใจ ให้แบกปืนไปลองได้เลย อาตมาก็เอาปืนไป จะไปยากอะไรเพราะชอบลองอยู่แล้วนี่ ท่านทำตะกรุดอะไรสักอย่าง เห็นว่าเป็นตะกั่วน้ำนมโบราณพัน ๆ ปี ได้มาจากตามพวกปราสาทหิน น่าจะเป็นโลหะที่เขาเทเพื่ออุดร่องยึดร่อง แต่เห็นว่าเป็นพวกตะกั่วป่า ท่านเองก็ทั้งปลุกทั้งเสกอย่างดี มีการจับเขี้ยวแก้วเสกเพื่อเพิ่มพลังด้วย อาตมาขอลองนัดเดียว เปรี้ยงเดียวเหลือติดอยู่นิดเดียว เกือบขาดกลาง เสียของไปเลย..ตั้งแพง พันกว่าบาท
ลืมไปว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเตือนว่า คนที่มีลายมือคัดของ ของดีแค่ไหนก็ยิงออก แล้วอาตมาก็ลืมไปว่า ไม่ใช่แค่หลวงปู่มีเขี้ยวแก้ว อาตมาก็มี ตกลงก็กลายเป็นว่าอาตมามีมากกว่า ตะกรุดหลวงปู่จึงเละไปเลย ตอนเด็ก ๆ ก็ตกใจเหมือนกัน ว่าทำไมฟันมาขึ้นตรงเพดานปากนี้ ได้แต่เลีย ๆ เล่น รำคาญเพราะปลายฟันค่อนข้างแหลม ถาม : เป็นฟันหน้าหรือเปล่าคะ ? ตอบ : เป็นฟันเขี้ยว มาตอนหลังปลายบิ่น เพราะว่าซ้อมมวยไทยกับพระครูแสงตอนเป็นฆราวาส จังหวะศอกกลับ ปกติจะต้องหมุนตัวตีแบบปลาดุกยักเงี่ยง แต่คราวนี้พระครูแสงแหกตำรา แกตีเสยขึ้นเหมือนกับที่เขาเรียกศอกสอยมะม่วง อาตมาเห็นมาผิดจังหวะไขว้มือรับไม่ทัน ทำให้แรงไม่พอที่จะกดศอกเขาไว้ จึงลอดการ์ดเข้ามาที่ปลายคาง เปรี้ยงเดียวฟันกระแทกกัน ปลายเขี้ยวบิ่นไปเลย แปลว่าเขี้ยวแก้วเสื่อมความขลังตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บิ่นเองเลย พอปลายบิ่นแล้วก็เหมือนกับว่าทำให้เป็นเหตุให้ฟันผุ แต่ก่อนคนอื่นเขาคิดว่าพี่น้องตีกันจะตาย เวลาซ้อมมวย อัดกันจริง ๆ จัง ๆ แต่พระครูแสงไม่ค่อยอึด เป็นคนไม่ค่อยทนเจ็บ พอโดนหนัก ๆ เข้าก็มักจะถอดใจไม่เอา ทั้ง ๆ ที่ถ้ามาอีกที คนที่บอกว่าเลิกแล้วก็คืออาตมานั่นแหละ บังเอิญว่าทนกว่ากันอยู่ทีเดียวทุกครั้ง ท่าศอกสอยมะม่วงนี่ สมัยก่อนเห็นมี สมาน ดิลกวิลาศที่ใช้ พวกเราเกิดไม่ทันหรอก เพราะว่ารุ่นของสมาน ดิลกวิลาศ เป็นรุ่นเดียวกับ อภิเดช ศิษย์หิรัญ ดีไม่ดีเป็นรุ่นพี่ด้วย แต่คราวนี้สังคมสมัยนั้นเหมือนกับนิยมนักสู้ เด็ก ๆ ก็ชอบเลียนแบบวีรบุรุษ ถึงเวลาเล่นกัน เอ็งเป็นคนนั้น ข้าเป็นคนนี้ ถ้าวันไหนผู้ใหญ่มาบอกว่า คนนั้นชนะคนนี้ คนนี้ชนะคนนั้น โอ๊ย..เฮกันใหญ่ แต่ต้องชมว่าครูมวยสมัยก่อนท่านเก่งจริง ๆ ถ้าครั้งนี้แพ้ ไปครั้งหน้าจะไม่แพ้อีก ต้องแก้ไขได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2014 เมื่อ 19:49 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เทคนิคหลักการพวกนี้ใช้ได้กับคนเท่านั้นใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนดีกว่าตรงที่มีสมอง เพราะสัตว์ส่วนใหญ่ใช้กำลัง แทบจะไม่มีสัตว์ที่ใช้สมองในการสู้กัน แต่ว่าสัตว์ก็มีวิธีรักษาตัวของเขา จากการที่เคยเกิดเป็นสัตว์หลายต่อหลายที จะรู้ว่าจะมีวิธีรักษาตัวไม่ให้บาดเจ็บ เพราะถ้าบาดเจ็บ อันดับแรกก็คืออาจจะหากินลำบาก ถึงแก่ชีวิตได้ ทำให้หลบหนีศัตรูลำบาก โดนพวกแมลงวันซ้ำเติมบ้าง ถ้าวางไข่ลงไปได้นี่บรรลัยเลย เพราะตัวเองไม่รู้จะเอาออกอย่างไร แต่ท้ายที่สุดก็คือ ถ้าตัวเองบาดเจ็บ อาจจะเสียพื้นที่ในการทำมาหากิน คู่แข่งที่ชนะจะไล่เราออกไป ถ้าไม่ออกก็อาจจะถึงตาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2014 เมื่อ 19:47 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมตั้งใจจะบวช จะมาปรึกษาว่าบวชที่ไหนดี ?
ตอบ : แล้วทางบ้านเขาไม่ว่าอะไรแล้วหรือ ? ถาม : ไม่ว่าครับ ตอบ : ไม่ว่าก็ไปเถอะ ชอบที่ไหนก็ไป ไม่ได้สำคัญอยู่ตรงสถานที่บวช ถ้าเรามีหลักการปฏิบัติ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อยู่ที่ไหนก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอคือ ไม่ค่อยปฏิบัติ แถมไปเที่ยวจับผิดชาวบ้านเขาด้วย ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ทุกวัน ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ไปบวชที่นั่นก็ ๕ ปีนะ ถ้าไม่ ๕ ปีไปที่อื่นไม่ได้ กัดฟันทนไป ถ้าไม่ตายเสียก่อน เราว่ากันตามพระธรรมวินัยเป็นหลัก วันก่อนทิดวิชาที่สึกไป มาขอนิมนต์ท่านนวยไปเป็นเจ้าอาวาส เขาจะถวายที่ให้สร้างวัด ก็เลยถามท่านนวยว่าครบ ๕ ปีหรือยัง ? “ครบพอดีครับ” “เออ..อย่างนั้นไปได้” ในช่วง ๓ พรรษาแรกเป็นช่วงศึกษาพระธรรมวินัย ปีแรกก็ศีล ๒๒๗ ปีที่สองก็อภิสมาจาร ศีลที่นอกพระปาติโมกข์อีกเป็นร้อย ๆ ปีที่สามก็ศึกษาหลักการปฏิบัติแบบธรรมเนียมต่าง ๆ อีก ๒ ปีก็ว่าให้อยู่ตัว จะว่าไปช่วง ๓ ปีก็คือช่วงที่จะกอบโกยจากครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด สมัยนี้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ค่อยให้ความใส่ใจกับลูกศิษย์ บวชแล้วก็ทิ้ง ๆ ไปฝากตัวอยู่ที่วัดท่าขนุนตั้งไม่รู้เท่าไร แม้กระทั่งพระครูหน่อย เลขาของอาตมานี่ค้นหาประวัติไปเถอะ พระครูหน่อยบวชเมื่อไร ทำไมไม่เจอประวัติเลย ค้นปีใกล้ ๆ ก็ไม่เจอ ค้นขึ้นหน้าก็ไม่เจอ ค้นถอยหลังก็ไม่เจอ ก็เลยมาถาม อาตมาบอกไปว่าพระครูหน่อยบวชมาจากชลบุรี แล้วมาขออยู่ด้วย คราวนี้อยู่มา ๑๐ กว่าปี คนเขาเลยนึกว่าเป็นพระวัดท่าขนุนตั้งแต่แรก พระครูน้อยบวชมาจากวัดดินแหลม สรุปว่าไม่ค่อยจะมีที่บวชแท้ ๆ จากวัดท่าขนุนสักเท่าไรหรอก ที่บวชส่วนใหญ่ก็สึกกันหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2014 เมื่อ 20:56 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เด็กอยู่ในช่วงเหมือนกับตะวันกำลังขึ้น ส่วนผู้ใหญ่อยู่ช่วงกำลังบ่ายคล้อยลง อาทิตย์อัสดงเมื่อไรก็จบ แต่บางคนก็อย่างกับพลุ ขึ้นพรวดเดียวแล้วดับไปเลย ทุกอย่างล้วนแต่อนิจจัง ไม่เที่ยงทั้งสิ้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ปิดงานได้ ๒ ชิ้นใหญ่ คือ หลวงพ่อพระพุทธลีลาประทานพร ๘๔ พรรษาธรรมิกราช กับหลวงพ่อสมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอก ปิดบัญชีไปก่อนสิ้นเดือน พระครูหน่อยเริ่มถามรายละเอียดแล้ว “สีแบบนี้จ่ายเท่าไร ?” จะเอาอย่างบ้าง บอกท่านว่า "ค่าสี บวกค่าแรง บวกเครื่องพ่นสีอีกเครื่องหนึ่ง ประมาณ ๔๙๐,๐๐๐ บาท ไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท" ถ้าใช้สีทองนี่หลายล้านบาท สีทองของฮาโตะ ที่ไม่ใช่แบบเกรดเยี่ยมนัก เกรดมาตรฐานทั่ว ๆ ไป แกลลอนละ ๔,๐๐๐ บาท สมเด็จองค์ปฐม ๒๑ ศอกต้องใช้ประมาณ ๒๐๐ แกลลอน ก็เท่ากับประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้คิดรวมอย่างอื่น ค่าแรงยังไม่ได้คิดเลย"
ถาม : ทำความสะอาดได้ไหมคะ ? ตอบ : สีทองทำความสะอาดยากหน่อย เพราะว่าสีค่อนข้างหยาบ ถึงเวลาแล้วฝุ่นจะเกาะติด อาตมาไปศึกษาแล้วว่า สีพ่นเรือเกาะได้ติดเหนียวแน่นกว่า อีกอย่างพออะไรเกาะแล้วฉีดล้างได้เลย ต่อไปพอถึงเวลาก็ขอแค่รถดับเพลิงมาฉีดน้ำล้างทีเดียวสะอาดเอี่ยม ถาม : สีที่ใช้นี่แกลลอนเท่าไรครับ ? ตอบ : ไม่รู้แกลลอนเท่าไร แต่อยู่ในงบ ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั่นแหละ ใช้ ๒ ที่ ที่พระองค์ใหญ่กับที่มณฑป แล้วเครื่องพ่นสียังอยู่กับเรา ซื้อแล้วเป็นของเรา ช่วงปีใหม่นี้รถผ่านกี่คัน จอดถ่ายรูปกันแหลกไปเลย ยายจุ่นเปิดขายน้ำอยู่ ๒ ชั่วโมง ขายได้ประมาณพันกว่าบาท ทำงาน ๒ ชั่วโมงได้พันกว่าบาท ตอนแรกอาตมาก็ถามว่า ทำไมไม่ไปขายทั้งวัน เพราะคนมาทั้งวัน เขาบอกว่า “ต้องปฏิบัติธรรม ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไม่ได้บูชาพระ” สรุปแล้วคืออยากได้พระ เลยต้องทนอยู่ปฏิบัติธรรม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:25 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีนักธุรกิจใหญ่บอกว่า ถ้าสังเกตคนขึ้นเขา จะเห็นว่าเวลาขึ้นเขาเราต้องก้ม แต่เวลาลงเขาเราต้องยืด เพื่อที่จะให้สมดุลกับน้ำหนักตัว เขาจึงสรุปว่า ถ้าบุคคลที่คิดจะปีนป่ายขึ้นที่สูง หรือต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิต ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าไปยืนตรงทื่อ ก้มให้ใครไม่เป็น ก็แปลว่าชีวิตคุณมีแต่ขาลง เขาว่าเสียเจ็บเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:26 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฐมพุทธวจนะ อะเนกะชาติสังสารัง สันธาวิสสัง อะนิพพิสังฯ.... เป็นอเนกชาติ คือนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ที่ได้เที่ยวแสวงหานายช่างผู้สร้างเรือนคือตัณหานี้ จนต้องเกิดบ่อย เกิดแล้วเกิดอีก เกิดอยู่ในกองทุกข์ ดูก่อนตัณหาผู้สร้างเรือน บัดนี้เราเห็นเจ้าแล้ว เจ้าไม่สามารถที่จะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว
ทางพม่าเขาใช้คาถาบทนี้ในการปลุกเสกพระ ตอนแรกอาตมาก็สงสัย พระมีอยู่ด้วยกัน ๕ รูป นั่งล้อมวง ต่างคนต่างจุดเทียนไว้หน้าตัวเอง นั่งล้อมวงหน้าองค์พระ แล้วเสกด้วยบทอเนกชาติฯ ตามกำลังวัน ถ้าเป็นวันศุกร์ก็มากหน่อย เสกเสร็จก็พรมน้ำมนต์ เป็นอันว่าพุทธาภิเษกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไหน ๆ อาตมาก็อยู่ในพิธีแล้ว จึงอธิษฐานภาพพระครอบทั้งหมู่บ้านไปเลย เผื่อให้ทุกคน" ถาม : เขาถือคติอย่างไรคะ ถึงเสกบทนี้ ? ตอบ : เขาถือความเป็นพระพุทธเจ้าก็คือประโยคนี้ เรียกว่าปฐมพุทธวจนะ คือพอบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เปล่งอุทานขึ้นมา เป็นอเนกชาติที่เวียนว่ายตายเกิด ทุกข์แล้วทุกข์อีกจนนับไม่ได้ ก็เพราะว่าต้องการจะแสวงหาตัวเจ้าตัณหาที่เป็นตัวสร้างภพสร้างชาติให้ บัดนี้ก็ได้เจอหน้าแล้ว บ้านเรือนอะไรเราหักทิ้งหมดแล้ว เจ้าไม่สามารถจะสร้างเรือนให้แก่เราได้อีกแล้ว วิสังขาระคะตัง จิตตัง สภาพจิตที่เข้าถึงความไม่ปรุงแต่งแล้ว ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา ย่อมเข้าถึงความสิ้นไปของตัณหา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:28 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : นิโรธในอริยสัจสี่กับนิโรธในสมาบัติ เหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คนละอย่างกันนะ นิโรธในอริยสัจ ๔ คือการดับแบบไม่มีเชื้อ หมายความว่าไม่เกิดอีกแล้ว ส่วนนิโรธในนิโรธสมาบัตินั้น ต่อให้มีเชื้ออยู่ก็สามารถเข้าถึงได้ อย่างเช่นพระอนาคามี เป็นต้น เพราะฉะนั้น..อย่างหนึ่งเป็นการที่กำลังใจของตนเองปลีกออกจากสัญญาและเวทนาทั้งหมด เขาเรียกว่าเข้าถึงนิโรธเหมือนกัน ส่วนอีกอย่างเป็นการหมดกิเลสจริง ๆ เพราะฉะนั้น..นิโรธในอริยสัจ ๔ กำลังจะสูงกว่า ยกเว้นว่าท่านที่เข้านิโรธสมาบัติเป็นผู้ที่เข้าถึงนิโรธในอริยสัจ ๔ แล้ว ถาม : นิโรธสมาบัติ ? ตอบ : ยังสามารถที่จะมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ไม่ถึงขนาดหมดจริง ๆ ถาม : ยังรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ยังไม่ถึงใจหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าเป็นเรื่องของนิโรธสมาบัตินี่จิตกับกายจะแยกส่วนกันเลย จะไม่สนใจอะไรที่เกิดขึ้นกับกายเลย ถาม : คำว่าไม่สนใจ หมายความว่า ? ตอบ : กำลังใจไม่เกาะร่างกาย แต่สนใจไปที่อื่น จะเป็นภพอื่นหรือจะเป็นพระนิพพานก็ได้ ถาม : ในขณะนั้นมีคำภาวนาหรือลมหายใจไหมคะ ? ตอบ : ตรงนั้นไม่ต้องแล้วจ้ะ ร่างกายจะเป็นอะไรก็ช่างแล้วจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงตาบัวท่านได้เปรียบกว่าพระรูปอื่นที่ว่า ท่านเรียนปริยัติมาก่อน ก็ไปดูตำราให้พอรู้ว่าจะต้องเดินช่องไหน ส่วนท่านอื่นต้องให้ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดทีละหน่อย ๆ "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 03:31 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตอนไปร่วมพิธีเปิดงานฯ ที่ตลาดทองผาภูมิ พระอาจารย์บอกว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่พอกลับมาฟังเทศน์ที่วัด พระอาจารย์ว่าเป็นอุเบกขาในมุทิตา ซึ่งตรงกับที่คนอื่นเขาเข้าใจกัน ก็เลยรับปากว่าจะมากราบเรียนถาม ?
ตอบ : อุเบกขานิ่งกว่า มุทิตาดูดีกว่า ถาม : มุทิตาในอุเบกขา กับอุเบกขาในมุทิตา ต่างกันอย่างไรคะ ? ตอบ : ต้องดูว่าขึ้นกับอะไรก่อน ยินดี รู้ตัว แล้วก็ปล่อยวาง เพื่อไม่ให้ใจของตัวเองต้องกระทบกระเทือน เพราะว่าจะยินดีหรือยินร้าย เป็นโทษทั้งคู่ นี่ก็เป็นมุทิตาในอุเบกขา แต่ถ้าตัวเองสามารถหยุดได้แล้ว โดยมีความเมตตากรุณาเป็นปกติ เห็นเขาได้ดีก็พลอยยินดีไปกับเขาด้วย แต่ไม่ออกอาการ อันนี้เป็นอุเบกขาในมุทิตา กลับข้างกัน อย่างหลังมั่นคงกว่า อย่างแรกอาจจะเผลอได้ ถาม : ตอนได้ยินพระอาจารย์บอกที่ตลาดคำเดียวว่าเป็นมุทิตาในอุเบกขา ตอนนั้นมีความเข้าใจดีมาก แต่อธิบายให้คนที่ไปด้วยกันให้เข้าใจไม่ได้ เพราะเขาแย้งว่า เคยได้ยินแต่อุเบกขาในมุทิตา ? ตอบ : เวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ถ้าฟังควรจะฟังตอนนั้น เพราะบางทีกำลังของท่านที่ส่งมา พอเราฟังจะเข้าใจรายละเอียดทั้งหมดเลย แล้วอธิบายให้คนอื่นฟังไม่ได้ด้วย ว่าที่เข้าใจนั้นคืออะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 16:51 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "บรรดาพระทั้งหลายเขาเปิดใจคืนสุดท้ายของการอบรมปฏิบัติธรรมประจำปี มีอยู่ท่านหนึ่งเขาบอกว่า พระอาจารย์เล็กของเราท่านพลังมาก..! มากกว่าท่านเจ้าคุณหลายเท่า..! ท่านถึงเอาพวกเราอยู่ ถ้าท่านไม่มีพลังอย่างนี้นะ เอาเราไม่อยู่หรอก แหม...ก็มีเท่าไรอาตมาใส่แค่หมด ป่วยจะตายดันบอกว่าพลังมาก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 16:52 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พอทำสมาธิถึงระดับหนึ่ง จะทำให้หายจากอาการป่วยได้ แต่ว่าถึงทำได้ ปกติครูบาอาจารย์ท่านก็ไม่หนีอาการเจ็บป่วยนี่คะ ?
ตอบ : เราต้องการดูเวทนา เรารับได้เพราะโรคไม่หนักเกิน ถ้าโรคหนักเกินก็ต้องใช้วิธีทำไม่รู้ไม่ชี้แทน อยากเป็นก็เป็นไป แล้ววิธีนี้บรรดาลูกศิษย์ยังทำไม่ถึง ถาม : หากแยกจิตกับประสาทออกจากกันก็ไม่รับรู้อาการแล้ว หรือไม่ก็อาราธนาคุณพระรักษาก็ได้ ? ตอบ : เหมือนกัน บรรดาหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ท่านใช้ธรรมโอสถรักษาเองมาไม่รู้เท่าไรแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าท่านไม่สอน ก็แปลว่าท่านกลัวว่าคนจะไปติดอยู่แค่นั้น ต่อไปจะไม่ยอมรับว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ ถาม : ทำไมไม่หนี ? ตอบ : หนีได้ใครไม่หนีวะ ? อย่างประเภทเจ็บตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างอาตมา หนีได้ก็หนีสิ ใครจะมานั่งทน ถาม : ปกติพระท่านมีวัตรที่ต้องทำสมาธิและมีคำอธิบายในการปฏิบัติอยู่ จึงเข้าใจว่าท่านน่าจะทราบกันแล้ว ทำไมยังต้องสอนเรื่องนี้ ? ตอบ : ถ้าไม่ใช่มีพื้นฐานเก่ามาจริง ๆ ต้องสอนต้องสั่งกันทั้งนั้น อีกอย่างก็คือ ต้องสร้างความเชื่อถือให้เขาด้วย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีฐานะสูง มีสมณศักดิ์สูง ไม่ก็เป็นพระสังฆาธิการระดับสูง ไม่ค่อยฟังใครหรอก ปีก่อน ๆ ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระศรีธีรวงศ์คุม เอาไม่อยู่..หนีกันกระจายเลย ถ้าบอกว่าให้นั่งละก็..เหลือพระอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง อย่างที่ป้านุชบอกว่า เดินทักพระได้ทุกรูป เพราะท่านไม่ยอมอยู่ในที่ปฏิบัติ เนื่องจากว่าพระวิปัสสนาจารย์ส่วนใหญ่ตรงเป็นไม้บรรทัด และเป็นมวยเชิงเดียว ถึงเวลาไม่เข้าใจลูกศิษย์ ก็ไม่สามารถที่จะเอาอยู่ อาตมาเป็นประเภทครูสอนไว้หมดทุกอย่างแล้วนี่ ไม่ว่าจะมาท่าไหนก็สามารถที่จะแก้ให้เขาได้ เขาก็ชอบใจกัน ถึงเวลาไม่ว่าจะคุยเล่นหรือว่าจะปฏิบัติจริง เขาก็ยอมนั่งอยู่กัน เพราะเขาอยากรู้ว่าอาตมาจะบอกอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2014 เมื่อ 16:56 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|