กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #41  
เก่า 18-01-2013, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอนาคามีท่านก้าวล่วงกามราคะหมดแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะไปเสวยกรรมที่สวรรค์ ?
ตอบ : เหมือนกับคนไม่กินอาหารแล้วเข้าไปนั่งในร้านอาหาร ไม่จำเป็นต้องสั่งอาหารก็ได้นี่นา สมัยนี้เขาเข้าไปนั่งทำการบ้านในร้านแม็กโดนัลด์กันเยอะแยะไป

ภูมิเทวดาก็มีพระอนาคามี อากาศเทวดา ๖ ชั้นที่เป็นฉกามาพจร คือผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่กับกามก็มีพระอนาคามีตั้งมากมาย บางท่านตั้งใจไปอยู่ที่นั่นเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยถาม ท่านบอกว่าเพื่อนอยู่ที่นี่ ก่อนตายนึกว่าอยากจะไปอยู่กับเพื่อนแค่นั้น เจตจำนงสุดท้ายก่อนอสัญกรรม

พระอรหันต์ท่านลงมาร้านอาหารเยอะแยะไป ท่านมาทำงานแล้วก็กลับ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #42  
เก่า 18-01-2013, 12:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : นางไม้จัดอยู่ในกลุ่มเทวดาหรือเปรต ?
ตอบ : รุกขเทวดา

ถาม : ผีปลวกละครับ ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ

ถาม : ผีกองกอย ?
ตอบ : จัดอยู่ในกลุ่มของอสุรกาย ทางด้านภาคเหนือก็มีผีเสื้อห้วย ชอบหากินอยู่ตามป่า ตามเขา ตามลำห้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 19:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 248 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #43  
เก่า 18-01-2013, 13:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เสือสมิงเกิดจากอะไร ?
ตอบ : เสือสมิงมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือวิญญาณคนที่ถูกเสือกินเข้าสิงเสือตัวนั้น อีกประเภทเกิดจากวิชาที่เขาฝึก พวกหัวใจเสือสมิง ฯลฯ แล้วกลายเป็นเสือ แต่วิชาที่ฝึกนี้ถ้ายังไม่ฆ่าคน สามารถแก้คืนได้ ถ้าฆ่าคนแล้วต้องเป็นเสือไปเรื่อย สมัยก่อนทางปักษ์ใต้เขาฝึกกันเยอะ ทางด้านเขมรก็เยอะ ทางปักษ์ใต้เขาจะมีพวกบรรดาตาหลวงต่าง ๆ เขาจะมีฝึกพวกวิชานี้ จนกระทั่งคนเขาเคารพนับถือ พอตายแล้วเขาก็ยกให้เป็นเจ้าที่เป็นเทพารักษ์

มีอยู่รายหนึ่งฝึกแล้วรู้ว่าตัวเองต้องกลายเป็นเสือ ก็ไปปลูกกระต๊อบที่ท้ายสวนยาง ให้ลูกสาวเอาอาหารไปส่ง คราวนี้ครั้งสุดท้ายลูกสาวไปเรียก แกเปิดประตูยื่นมือออกมาเป็นเล็บเสือ ลูกสาวเลยวิ่งหนีไปเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปส่งข้าวอีก

ถาม : แล้วพวกนี้เขาไม่รู้ว่าฝึกแล้วจะกลายเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : เขารู้

ถาม : รู้แล้วจะฝึกทำไม ?
ตอบ : เขาชอบ แบบเดียวกับพวกรู้ว่าบุหรี่ไม่ดีแล้วไปสูบ ก็เขาชอบวิชาการพวกนั้น พวกนี้มีอะไรเขาศึกษาหมด เหมือนพวกเล่นพระเครื่อง เล่นแสตมป์ เขาชอบของเขา เราเห็นว่าเหลวไหลไร้สาระ แต่เขาชอบเขาก็ทำ

จริง ๆ แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ใฝ่รู้เสียด้วยซ้ำ รู้อยู่ว่าฝึกแล้วอาจจะเกิดโทษบางอย่างได้ แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจว่าตัวเองทำได้ ก็น่าจะหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ฆ่าคนได้ ทางด้านเหนือของเราเมื่อหลายปีก่อนมีครูบาเสือดำ ฝึกประเภทนี้จนกระทั่งแปลงเป็นเสือดำตัวใหญ่ได้ แต่ช่วงขึ้น ๑๔ - ๑๕ ค่ำ และแรม ๑ ค่ำ จะกลายเป็นเสือ เพราะฉะนั้นช่วง ๑๓ ค่ำท่านจะเข้าไปอยู่ในป่าในถ้ำ พอพ้นวาระนั้นแล้วถึงกลับเข้ามาวัด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #44  
เก่า 18-01-2013, 14:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : จะแก้คืนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็น่าจะมีวิธีนะ แต่ว่าเขาชอบ แล้วเขาจะไปแก้ทำไม ? อย่าลืมว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่มั่นใจตัวเองก็ไม่ฝึก ในเมื่อฝึกแล้วมั่นใจว่าควบคุมตัวเองได้ ยกเว้นกรรมเก่าบางอย่างมาพอดี ทำให้ไปฆ่าคนเข้าก็หมดสิทธิ์แก้คืน

ทางด้านเขมรเขามีเคล็ดในการแก้พวกเสือสมิงจากวิชาพวกนี้ว่า ถ้ายังไม่ได้ฆ่าคนให้ตีด้วยไม้คานก็จะกลับเป็นคน แต่ใครจะกล้าไปตีเสือด้วยไม้คานละ ? คือไปเจอพวกใจถึงที่ไปหาของป่า คราวนี้ตัวเองมีแต่มีดเหน็บ ก็สลัดของทิ้งแล้วเอาไม้คานตี ปรากฏว่าเสือกลายเป็นคน เขาก็เลยได้เคล็ดว่าต้องตีด้วยไม้คาน


ถาม : ถ้าตีด้วยไม้คานเขาจะกลับคืนร่าง ไม่เป็นเสือต่อไปหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าของขึ้นเดี๋ยวก็กลายเป็นเสืออีก ก็คืออย่างน้อยช่วยให้คืนเป็นคนได้บ้าง

ถาม : เป็นเพราะอำนาจสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะเป็นอภิญญาเสียด้วยซ้ำไป คือเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลในร่างคนให้เป็นการจัดเรียงโมเลกุลแบบเสือ เพียงแต่การเปลี่ยนนั้นเปลี่ยนด้วยอำนาจจิต
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 245 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #45  
เก่า 18-01-2013, 14:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์พูดถึงปฏิทิน AIA ปีนี้ว่า "ท่านอาจารย์จักรพันธ์เอาแบบจากหน้าปกหนังสือประวัติหลวงปู่ปานมา แล้วก็วาดรูปหลวงปู่ตามนั้น แต่รูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านมีแบบให้วาด คือท่านอาจารย์จักรพันธ์มากราบหลวงพ่อขอดูตัวจริง แล้วก็ถ่ายรูปไป เอาภาพตัวจริงในความจำกับรูปถ่ายไปวาด ที่ขำก็คือแม่ของท่านอาจารย์จักรพันธ์มาเห็น “พระองค์นี้ยังอยู่อีกหรือ ?” ท่านอาจารย์จักรพันธ์บอกว่า "อยู่ครับ..ลูกศิษย์เยอะด้วย" แม่ท่านบอกว่า “พระหนุ่ม รูปหล่อ ปากหวานอย่างนี้ ส่วนใหญ่ไม่รอด โดนสาวเอาไปกินหมด ท่านอยู่มาได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?”

ท่านอาจารย์จักรพันธ์เพิ่งไปซ่อมรูปหลวงปู่หลวงพ่อที่วัดท่าซุงเมื่อไม่นานมานี้ ไปซ่อมสี เคลือบน้ำยาทับ แล้วก็ใส่กรอบใหม่ให้ เพราะว่ารูปหลวงปู่หลวงพ่อเขาติดไฟล้อมไว้ คราวนี้เปิดไฟทุกวัน ๆ ก็เท่ากับโดนแดดทุกวัน สีก็ซีดหมดสภาพ ยังดีว่าจิตรกรเก่ง ซ่อมแล้วออกมาเหมือนใหม่เลย

ในช่วงแรกท่านอาจารย์จักรพันธ์ยังไม่เคยวาดรูปพระสงฆ์ ก็วาดรูปหลวงปู่ปานเป็นรูปแรก แล้วก็รูปหลวงพ่อฤๅษี จะสังเกตว่ารูปที่วาดรุ่นแรกจะไม่มีลายเซ็น แต่คนเขาดูจะรู้ว่านี่ฝีมือท่านอาจารย์จักรพันธ์ พอมาวาดรูปหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่นหลังจากนั้นก็จะมีลายเซ็น มีวันที่ให้รู้ว่าวาดเสร็จเมื่อไร"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 18:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #46  
เก่า 18-01-2013, 14:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมใช้คำว่า "อภิญญาสมาบัติ" ?
ตอบ : อภิญญาก็คือความรู้ที่ยิ่งกว่า สมาบัติก็คือการเข้าถึง การเข้าถึงความรู้ที่ยิ่งกว่าปกติ

ถาม : อย่างบางท่านได้สมาบัติ คือทำปฐมฌานให้คล่องแล้วตั้งกำหนดเวลา ?
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเขาเรียกว่า ปฐมสมาบัติ แต่อภิญญาต้องแสดงฤทธิ์ได้ ถ้าไม่มีสมาบัติเป็นพื้นฐาน อภิญญาก็ไม่เกิด ก็คืออภิญญาทุกอย่างต้องมีพื้นฐานมาจากฌาน โดยเฉพาะต้องเป็นฌาน ๔ ด้วย เขาก็เลยใช้คำว่าอภิญญาสมาบัติ

ถาม : ต้องถึงวสีหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงวสีก็ได้ แต่ช้าหน่อย อธิษฐาน ๓ - ๔ รอบก็ได้ แต่ขอให้ทำได้ก็แล้วกัน ถ้าถึงวสีนี่เป็นประเภทกันกิเลสทัน เพราะว่าทันทีที่รู้ตัวกิเลสจะกำเริบแล้ว ก็เข้าอภิญญาสมาบัติ กดกิเลสให้เงียบสนิทไว้

ถาม : ฌานสี่ต้องภาวนาทั้งวันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าคนทำได้ต่อให้นั่งคุยกันเขาก็ทรงฌานสี่ได้ นั่งภาวนาทั้งวันนั่นเด็กหัดใหม่ คือทำอะไรอยู่ก็ตาม กิเลสไม่สามารถจะเกิดได้เหมือนกับทรงฌาน ๔ เพราะฉะนั้น..เขาถึงได้เรียกว่าฌานใช้งาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #47  
เก่า 18-01-2013, 14:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : คำว่ารูปขันธ์ คือ ?
ตอบ : ร่างกายของเรานี่แหละ ทุกอย่าง คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของ สามารถจับได้ต้องได้เป็นรูปธรรม บางคนก็เรียกว่ารูป แต่คำว่ารูปขันธ์คือกองรวมแห่งรูป

ถาม : ทำไมเขาเรียกว่า "ขันธ์" ?
ตอบ : เกิดจากการรวมตัวของดิน น้ำ ไฟ ลม ขันธะแปลว่ารวม , รวมหมู่ เมื่อดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมรวมหมู่ขึ้นมาเป็นวัตถุธาตุชิ้นนั้น ๆ จึงเรียกว่ารูปขันธ์ มัวแต่ไปวิเคราะห์รากศัพท์อยู่ ก็ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี ให้ฟังรู้เรื่องก็พอ

ถาม : แปลว่าสัตว์ที่เกิดต้องมีการปรุงแต่ง ?
ตอบ : ต้องมี..ถ้าไม่มีไม่มาเกิดหรอก โดยเฉพาะการปรุงแต่งของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม หรือกุศลกรรม

ถาม : การเกิดตามสภาพภูมิประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องกรรมไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเขาเรียกว่า อุตุนิยาม เกิดจากผลกรรมที่ทำมา แล้วขณะเดียวกันก็เกิดจากเจตจำนงของตนก็ได้ เกิดจากงานที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำก็ได้ จัดว่าอยู่ในเจตจำนงเหมือนกัน จึงต้องไปลงตรงนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-01-2013 เมื่อ 20:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #48  
เก่า 18-01-2013, 21:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เดิมผมติดนิสัยนั่งหลังค่อม อย่างหลวงปู่ทวดในรูป ?
ตอบ : ไอ้นี่โทษหลวงปู่..! หลวงปู่เป็นพระแก่อายุ ๙๐ กว่าปี ท่านไม่มีกำลังก็นั่งหลังค่อมเป็นธรรมดาของคนแก่ ตัวเองอายุเพิ่งจะ ๒๐ ปี นั่งไม่ดีเองแล้วไปโทษหลวงปู่...

ถาม : ผมเพิ่งจะฝึกนั่งหลังตรง ก็ยังฝืน ๆ อยู่ ถ้านั่งจนชินแล้ว จะเลิกพะวงเรื่องหลังใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้านั่งจนเคยชินแล้วก็จะไม่นึกถึง

ถาม : แล้วต้องทำนานแค่ไหน ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าเราฝึกหัดอย่างไร อย่างอาตมานั่งเมื่อไรก็ต้องเคยชินแบบนี้ นึกถึงหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ท่านอายุ ๙๐ กว่าปียังนั่งตัวตรงเป๊ะ นั่นคือฝึกมาถูกต้องตามแบบฝึกเลย ท่านเป็นอมตะเถราจารย์ของนครปฐม ดังช้าที่สุด..มาดังตอนอายุ ๙๐ ปี แต่ดังแล้วไม่ยอมดับกับใคร เมื่อท่านมรณภาพเขาไล่ตั้งแต่วันมรณภาพ อายุมรณภาพ เวลามรณภาพ ทุกอย่างออกเป็นหวยหมด ลูกศิษย์รวยกันไม่รู้เรื่อง

ถาม : เห็นพระวัดท่าขนุนนั่งคุกเข่าท่าเทพบุตรได้นานเหลือเกิน ไม่ทราบว่ามีวิธีให้นั่งได้นาน ๆ อย่างไร ?
ตอบ : ทำบ่อย ๆ เท่านั้นเอง พระเขาบังคับอยู่แล้ว การทำวัตรเช้าเย็น เริ่มตั้งแต่โยโสฯ ไป ถ้ายังขอขมาไม่เสร็จก็ต้องนั่งคุกเข่าอยู่ท่านั้นแหละ ในเมื่อวิธีการสวดเขาบังคับอยู่ในตัว ก็เท่ากับฝึกอยู่ทุกวัน ทุกอย่างอยู่ที่การฝึก สำคัญที่จะเพียรพยายามจริงหรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-01-2013 เมื่อ 21:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #49  
เก่า 18-01-2013, 21:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเป็นผู้ชายมีนม ยังบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ก็มีกันทุกคนด้วย แม้กระทั่งอาตมาก็มี ไม่มีแล้วจะบวชได้อย่างไรเพราะไม่ครบ ๓๒ เว้นแต่ว่าถ้ามีเยอะไปหน่อยก็ต้องระวังผู้หญิงเขาอิจฉา..!

ถาม : แล้วถ้าผู้ชายนิสัยผู้หญิง ?
ตอบ : บวชได้...เขาไม่ได้ห้าม ขอให้คำนำหน้าเป็นนายก็ใช้ได้ แต่อย่าไปเดินบิดสะโพกให้คนอื่นเขาดู

ถาม : ถ้าบวชที่ท่าขนุน ท่านจะกำหนดพระอุปัชฌาย์ให้เองใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าจะบวชเมื่อไร ถ้าบวชช่วงเข้าพรรษาพระอุปัชฌาย์ก็มักจะเป็นเจ้าคณะจังหวัด ถ้าบวชวาระอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้าคณะตำบลแถว ๆ นั้น

ถาม : ถ้าบวชเป็นการส่วนตัว เสียเท่าไรครับ ?
ตอบ : เตรียมไว้ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท สำหรับพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด อะไรทำนองนั้น แต่บวช ๑๐ คนก็ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาท เพราะมีแค่ผ้าไตรกับบาตรที่เพิ่มเข้ามา อาตมาจึงนิยมจัดอุปสมบทหมู่ เพราะว่าบวชหมู่ได้กำไร พระอุปัชฌาย์อาจารย์ก็ชุดเดิมไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้าอยากดังบวชเองคนเดียวก็เอาเลย จ่ายกันหูตูบ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 03:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 247 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #50  
เก่า 18-01-2013, 22:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ชาติที่จะตรัสรู้บุญบารมีทุกอย่างจะมารวมตัวกันใช่ไหมครับ แล้วอกุศลกรรมในอดีตที่ระหว่างท่านบำเพ็ญบารมีจะมารวมเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : คำถามนี้ตอบไม่ได้ เพราะบอกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อาตมาเกิดไม่ทันตั้งเยอะ..!

ถ้าจะดูอย่างพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ไปอ่านในพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่าที่พระองค์ท่านโดนไปแต่ละอย่างนั้น เกิดจากการที่พระองค์ท่านทำอะไรไว้บ้าง ไปอ่านพระไตรปิฎกดู อยู่ในอรรถกถาพุทธวงศ์ ขุททกนิกายตอนท้าย ๆ ของสุตตันตปิฎก เอาฉบับของมหามกุฏฯ ก็ได้ จะมีจริยาปิฎกกับพุทธวงศ์ จะได้รู้ว่ามหาโพธิสัตว์ก่อนที่จะมาอนุเคราะห์สงเคราะห์คนได้นั้น ท่านต้องเจอมาสาหัสขนาดไหน

เป็นที่น่าอัศจรรย์คือท่านไม่ท้อเลย โดนเท่าไรไม่มีหยุด สิ่งนี้น่าจะเป็นเพราะท่านมีหลักธรรมประจำใจ เพราะว่าแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตาม แต่เป้าหมายของท่านก็คือทำดีเพื่อส่วนรวม และพยายามสอนคนอื่นให้ดีด้วย แสดงว่าพระองค์ท่านต้องมีหลักธรรมเป็นปกติที่ยึดถืออยู่ในใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะแต่ละชาติ เกิดมาแล้วต้องสร้างบารมีอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นหลักธรรมที่พระองค์ท่านนำไปสั่งสอนคนหมู่มากได้ ในเมื่อมีหลักธรรมอยู่ในใจ
ท่านมั่่นใจในความดีของท่าน โดนเท่าไรจึงไม่ถอย ฉะนั้น..เราเองจะทำอะไรต้องมั่นใจในความดีเหมือนกัน

มั่นใจในความดีกับถือดี คนละเรื่องเลยนะ ดีเหมือนกัน..แต่ถือดีคือเอาดีไว้อวด มั่นใจในความดีคือสิ่งที่เราทำถูกต้องแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ โบราณเขามีเชื่อดีอีกอย่าง เชื่อดี ก็คือเชื่อความดี เชื่อความรู้ เชื่อคุณครูบาอาจารย์ เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อพระรัตนตรัย ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกป้องคุ้มครองเราได้ ฉะนั้น..คนที่เชื่อดีก็ไม่ค่อยกลัวอะไรเพราะมีดี อย่างพวกเรายึดถือวัตถุมงคลก็เป็นการเชื่อดีอย่างหนึ่ง เคารพครูบาอาจารย์ยึดท่านเป็นสรณะในชีวิตก็เป็นการเชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง อย่างที่สำคัญที่สุดก็คือปฏิบัติธรรมให้เกิดผล ก็เชื่อดีอีกอย่างหนึ่ง

ชักจะว่าไปได้เรื่อย ๆ เหมือนกับท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เฉพาะคำว่า "พอ" คำเดียว ท่านกว้านมาซะเยอะเลย

พอมี...พอได้...พอเป็น
พอเย็น..พออยู่..พอไหว
พอพ้น...พอตน...พอใจ
พอใหญ่..พอยอ..พอแล้ว
..จบ..
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-01-2013 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #51  
เก่า 20-01-2013, 12:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระที่เข้านิโรธกรรม..?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าตามแนวของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย อย่างน้อย ๆ ก็เข้า ๗ วัน ถ้าเป็นนิโรธสมาบัติจริง ๆ ต่ำสุด ๗ วัน สูงสุดไม่เกิน ๔๙ วัน แต่ส่วนใหญ่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ปานกลาง ก็คืออย่าให้เกิน ๑๕ วัน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวร่างกายขาดอาหารมาก จะฟื้นตัวช้า

โยคีที่อินเดียมีเยอะแยะที่อยู่ด้วยธรรมปีติ อยู่กันทั้งปีทั้งชาติ บางรายก็อยู่มาหลาย ๑๐ ปี บางรายปีหนึ่งออกมาจากถ้ำมาหาลูกศิษย์ครั้งหนึ่ง เขาเอาข้าวของมาถวายสักการะเต็มหน้าถ้ำไปหมด ท่านก็ไปเดินมอง หยิบขนมปังกรอบสักชิ้นมาใส่ปากแล้วก็ไป อีกปีค่อยออกมาใหม่ กรณีนี้ไม่ใช่นิโรธสมาบัติ แต่อยู่ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ อยู่ด้วยธรรมปีติ ร่างกายเขาดึงเอาดินน้ำลมไฟรอบข้างเข้าไปเสริมเอง ไม่ต้องเสียเวลากิน


ถาม : แล้วมีองค์ใดบ้างที่เข้านิโรธสมาบัติ ?
ตอบ : องค์ที่เข้านิโรธสมาบัติท้ายสุดที่พวกเราไปเห่อคือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย พระที่เข้านิโรธสมาบัติมีระเบียบอยู่ว่า จะต้องบอกเพื่อนพระให้ทราบเอาไว้ ให้คณะสงฆ์รู้ว่าท่านทำอะไร จะได้ไม่เรียกใช้งาน ฉะนั้น..จะไปเข้าเงียบ ๆ คนเดียวไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ต้องบอกใครสักคน

ถาม : สมัยหลวงปู่ปานมีใครบ้างไหมคะ ?
ตอบ : สมัยหลวงปู่ปานมีหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา สมัยของเราก็มีหลวงพ่อเกษม วัดสุสานไตรลักษณ์ ส่วนอาตมาถนัดพิโรธสมาบัติ เป็นที่เลื่องลือมาก เผลอเมื่อไรโดน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 250 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #52  
เก่า 20-01-2013, 12:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานตอนไปงานศพท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลี อาตมาเอารายงานการปฏิบัติงานของสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ไปถวายท่านเจ้าคุณพระราชวรเวที รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ด้วย

งานสุดท้ายก็คือสวดมนต์ข้ามปี พอท่านเปิดดูรูปแล้วว่า "คนไปเยอะนี่..เฉพาะแถวนั้นหรือ ?" จึงกราบเรียนท่านว่า เป็นคนพื้นที่และคนกรุงเทพฯ ประมาณอย่างละครึ่ง ท่านว่าอยู่ไกลขนาดนั้นไม่นึกว่าคนจะเยอะ คือในเขตภาค ๑๔ นั้น วัดที่เป็นสำนักปฏิบัติธรรมต้องส่งรายงานทั้งหมด ไม่รู้ว่าเขตภาคอื่นเขาจะส่งกันหรือเปล่า เพราะว่ารองภาคฯ ท่านได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะภาค ให้รับผิดชอบงานด้านการปฏิบัติธรรมโดยตรง

เอาไว้งานฉลองบ้านวิริยบารมี อาตมาจะนิมนต์ท่านมา ท่านเป็นพระปฏิบัติที่ต้องบอกว่าได้ระดับทีเดียว ถ้าให้ท่านบรรยายธรรมนี่ นั่งลงเมื่อไรก็ ๓ - ๔ ชั่วโมง ท่านว่าของท่านว่าไปได้เรื่อย ๆ

ระดับรองเจ้าคณะภาคสนใจเรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องที่น่าปลื้มใจมาก ทางภาค ๑๖ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธิมุนี วัดดุสิดาราม นี่ก็สุดยอดนักปฏิบัติเหมือนกัน ท่านแม่นบาลีมาก โดยเฉพาะพระไตรปิฎก พอยกพระไตรปิฎกขึ้นมา ท่านจะบอกเล่ม บอกข้อ บอกหน้าได้เลย แอบจดไปเปิดดู ตรงทุกที อาตมาว่าตัวเองหัวคอมพิวเตอร์แล้วนะ ปรากฏว่าของท่าน Ram เยอะกว่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #53  
เก่า 20-01-2013, 12:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนหลวงปู่ธรรมชัยนำผ้าไตรกฐินไปถวายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเอาเทินศีรษะไป ก็คือเอาศีรษะเป็นพาน ตอนท่านเทินไปถวายน่ารักเชียว เรียกว่าน้อมถวายด้วยเศียรเกล้าจริง ๆ เพราะว่าต้องยื่นไปทั้งหัว ลองนึกถึงหลวงปู่อายุ ๗๐ ปีแล้ว เอาของใส่หัวไปถวายหลวงพ่อ นึกถึงทีไรก็ปลื้มใจทุกที"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 251 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #54  
เก่า 20-01-2013, 12:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนวาดรูปมักจะเผลอวาดหน้าของตัวเองลงไปโดยไม่รู้ตัว คือความเป็นตัวกูของกูที่ฝังลึกอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เรียกว่ามีสติสมบูรณ์จริง ๆ อย่างไรก็จะต้องเผลอติดหน้าตัวเองลงไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องดูหน้าตัวเองเป็นแบบ วาดไปเถอะ...จะหลุดหน้าตัวเองออกมาเอง

ผู้หญิงกับผู้ชายที่รักกันชอบกัน..แต่งงานกัน ที่เขาบอกว่าคนที่เป็นเนื้อคู่มักจะหน้าตาคล้าย ๆ กัน..ไม่ใช่หรอก นั่นคือการหลงตัวเอง เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบไม่รู้ตัว คือเห็นคนที่คล้ายตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังแสดงออกด้วยการหลงตัวเองอยู่

เห็นแล้วรักแล้วชอบ มั่นใจว่าเป็นเนื้อคู่..ที่ไหนได้ ที่แท้เห็นหน้าตัวเองแล้วชอบ ฉะนั้น..เดี๋ยวหนูไปเจอคนหน้าเหมือนเมื่อไรก็ชอบเอง ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-01-2013 เมื่อ 13:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 244 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #55  
เก่า 20-01-2013, 20:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมมาถวายสังฆทานอุทิศให้แม่ โดยนำรูปแม่มาด้วย พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเอารูปแม่ตอนสาวพริ้งมาเลย แต่ตอนที่แม่มาโมทนานี่แก่งั่ก แม่ตายตอนอายุ ๗๑ ปี แสดงว่าตอนที่มานี่คงจะ ๗๑ ปี เล่นเอาอาตมาต้องเหลือบมองดูรูป ๒ ที ว่าใช่หรือเปล่า ส่วนใหญ่เขาจะแสดงภาพช่วงสุดท้ายให้ เพราะลูกหลานเขาจะคุ้นเคย แต่ลูกหลานดันเอาภาพอีกสมัยหนึ่งมา

เมื่อหลายปีก่อน ตอนอยู่บ้านอนุสาวรีย์ มีโยม ๒ คนเป็นเพื่อนกัน คนหนึ่งมาทำบุญให้พ่อ อีกคนหนึ่งมาทำบุญให้ผัว อาตมาก็ถามว่า "เฮ้ย...ลูกอายุเท่านี้ ทำไมพ่อแกแก่ขนาดนี้วะ ?" อีกคนร้อง "ว้าย..นั่นผัวหนูค่ะ" สรุปว่าได้ผัวแก่..แกยอมสารภาพเอง..!

โลกอื่นดีอยู่อย่างหนึ่งคือเขาไม่หลอกกัน แต่บางทีก็ทำให้เราเข้าใจผิดหลงทางได้ง่าย ๆ ถ้าถามอะไรเขาก็บอกตรง ๆ ไม่โกหก เป็นเรื่องที่น่าสลดใจว่ามีแต่โลกมนุษย์เราเท่านั้นที่โกหก

ส่วนใหญ่คนที่ตายไป ถ้าเราทำบุญแล้วนึกถึงท่าน ถ้ามาได้อยู่ในที่ไม่ลำบาก เขาก็มักจะมาโมทนา ที่ว่าไม่ลำบากอย่างแรกคือเป็นสัมภเวสี สัมภเวสียังไม่ได้เวลาไปรับความดีความชั่ว เพราะอายุความเป็นมนุษย์ยังไม่หมด ถ้าลูกหลานรู้จักทำบุญให้ก็สบาย มีความสุขคล้าย ๆ กับเทวดานางฟ้า รอเวลาหมดอายุจากมนุษย์ซึ่งก็นิดเดียวของที่นั่น สมมติว่าเหลือเวลามนุษย์อีก ๕๐ ปี ก็วันเดียวของที่นั่น แต่ถ้าอดข้าววันหนึ่งก็ลำบากนะ ถ้าลูกหลานไม่ทำบุญให้ก็ลำบาก

อีกประเภทคืออสุรกาย แต่ว่ามีอสุรกายจำพวกหนึ่งคือนิรยอสุรกาย โมทนาไม่ได้ เพราะว่าอยู่ในโลกันตนรก...

พวกที่ได้แน่ ๆ คือปรทัตตูปชีวีเปรต พวกนี้จ้องคอยโอกาสเลย เห็นญาติทำบุญเป็นวิ่งใส่ ถ้าญาติลืมอุทิศส่วนกุศล หรือไม่ทำบุญเสียที ก็ร้องไห้คร่ำครวญ บางทีก็ดังถึงหูคนทั่วไปด้วย..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #56  
เก่า 20-01-2013, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ที่ต้องจ่ายแน่ ๆ ก็คือค่าเทคอนกรีตหน้าสมเด็จองค์ปฐม อาตมาสั่งเขาเทหนาเท่ากับถนนมาตรฐานเลย กะว่าให้สิบแปดล้อขึ้นไปขย่มได้ ๗ พันกว่าตารางเมตร คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ ๖ ล้านบาท ถ้าใครที่ปฏิบัติธรรมแล้วบูชาพระชัยวัฒน์ชุดกรรมการไป ก็แปลว่าเป็นเจ้าภาพเทคอนกรีตรอบสมเด็จองค์ปฐมไปเต็ม ๆ เลย

สมัยที่หลวงพ่อท่านเทคอนกรีตหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ลูกศิษย์ถามถึงอานิสงส์ หลวงพ่อก็ไม่ทราบ ต้องกราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า "ชีวิตจะได้ไม่เสื่อมไม่ทรุด" ก็มีคอนกรีตหนาปานนั้นคอยรองรับอยู่แล้ว

ทิดกวางเขาเรียกว่า "งานสัมภเวสี" ก็คือ พวกงานจรที่มาโดยไม่ได้คิดถึง เขาบอกบรรดาเพื่อน ๆ ทิดทั้งหลายว่า "เฮ้ย ๆ หลวงพ่อมีงานสัมภเวสีอีกแล้ว ถ้าเอ็งไม่ได้ไปวัดอาทิตย์หนึ่ง เดี๋ยวก็จำวัดไม่ได้อีกหรอก"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #57  
เก่า 20-01-2013, 21:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่อไปตัวเองกำลังกิน ๆ อยู่ ก็คงมีคนแย่งจานข้าวไปซึ่ง ๆ หน้า หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ท่านไปธุดงค์แล้ววาระกรรมเข้ามา กว่าท่านจะเดินทะลุป่าไปถึงหมู่บ้านก็เลยเที่ยงไปแล้ว ท่านก็เลยอดข้าว วันที่ ๑ ผ่านไปก็ไม่เป็นไร เดินทางต่อ ไปค้างคืนกลางป่า วันที่ ๒ เดินไปไม่ไกล เจอหมู่บ้านก็คิดว่าตัวเองฉันมื้อเดียว เดี๋ยวไปอีกหมู่บ้านหนึ่งแล้วค่อยบิณฑบาต ปรากฏว่าเดินยันค่ำก็ยังไม่เจอหมู่บ้าน

วันที่ ๓ เดินไปหน่อยเจอหมู่บ้าน คราวนี้บิณฑบาตตั้งแต่เช้าเลย ปรากฏว่าบิณฑบาตเสร็จ ปูผ้าลง เพิ่งเปิบข้าวเข้าปากคำเดียว มีช้างตกมันหลุดวิ่งมา ท่านก็ต้องลุกเผ่นออกจากทาง เพื่อให้ช้างวิ่งผ่านไป คราวนี้พระธุดงค์ท่านถือการฉันอาสนะเดียว ในเมื่อฉันไปคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นก็แปลว่าอด ๓ วันได้ฉัน ๑ คำ วันที่ ๔ กว่าไปถึงบ้านโยมก็เพลกว่า ๆ โยมเห็นพระอดมาก็สงสาร ลุกขึ้นหุงข้าวต้มแกงเป็นการใหญ่ ปรากฏว่าหลวงปู่เป็นลม..! ฟื้นขึ้นมาเลยเที่ยงก็เลยอดต่อไป โอ้โห...กรรมอะไรจะดุเดือดปานนั้น สรุปว่ากว่าจะได้ฉัน โน่น..วันที่ ๖ เวลาวาระกรรมเข้าได้นี่เขาใส่ไม่เลี้ยงเลย

หลวงปู่ครูบาธรรมชัยไปภาวนาในป่าช้า ช้างตกมันหลุดปลอกมาเหมือนกัน ไปวน ๆ อยู่แถว ๆ หลวงปู่ ชาวบ้านก็ไม่กล้าเอาอาหารเข้าไปถวาย ช้างวนอยู่แถวนั้น ๗ วัน ใครมาโดนไล่กระจายหมด พอวันที่ ๘ ช้างก็ไป ชาวบ้านถึงเอาอาหารมาถวายหลวงปู่ได้ ท่านอดมา ๗ วันเต็ม ๆ

ชาวบ้านถามว่า "หลวงปู่ทำกรรมอะไรไว้ครับ ?" ท่านบอกชาติก่อนเคยไปตกปลอกมันเอาไว้ คือช้างตัวนั้นในอดีตก็เป็นช้าง หลวงปู่เห็นว่าตกมันก็เอาโซ่ล่ามไว้ ให้อดอาหารอยู่ ๗ วันจนกระทั่งหายตกมัน ปรากฏว่ามาชาตินั้นท่านบวชพระแล้ว ไอ้นั่นยังเป็นช้างอยู่ ถึงเวลาก็มาเอาคืน ๗ วันเหมือนกัน

เรื่องของวาระกรรม ถ้าไม่เนื่องกันมาก็ไม่เจออย่างนี้ ท้ายสุดก็ต้องเจอจนได้ หลวงปู่ครูบาพรหมจักรนั้นท่านสาหัสจริง ๆ กว่าจะได้ฉันที ๕ - ๖ วัน แล้วมีการมาล่อให้อยากด้วยนะ ให้ฉันได้ไปคำหนึ่ง คนอดข้าวมา ๓ วันได้ไปคำหนึ่งแล้วอดต่ออีก ๒ วันนี่สาหัสเลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #58  
เก่า 20-01-2013, 21:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปนึกถึงพระธรรมบทที่พระเถระรูปหนึ่งในชีวิตได้ฉันอิ่มครั้งเดียว แม่ของท่านเป็นขอทาน ทันทีที่จุติเข้าท้องแม่ คณะขอทานไม่มีใครขอได้เลย อดไปตาม ๆ กัน หัวหน้าขอทานเขาฉลาด เขาจึงแบ่งคนเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มไหนที่แม่ท่านไปด้วยอดตลอด เขาก็แบ่งครึ่งไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดแม่ของท่านขอทานใครไม่ได้เลย หัวหน้าขอทานจึงให้อยู่เฉย ๆ แล้วคนอื่นเอามาเลี้ยง

พอคลอดออกมาแม่ก็พยายามเลี้ยงดู โตพอหากินเองได้ แม่ก็เอาถ้วยแตกใส่มือ ให้ไปหากินเอง เพราะถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปจะทำให้หมู่คณะเขาเดือดร้อนมาก ท่านก็ไปรออยู่แถวบ้านเศรษฐี รอเวลาเขาเอาเศษอาหารมาทิ้ง แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ถ้าเขาทิ้งเป็นชิ้นใหญ่ ๆ จะมองไม่เห็น ถ้าเขาล้างถ้วยล้างชามแล้วสาดไว้เป็นเม็ดข้าวจะเห็น แล้วก็เก็บกินได้ไม่เกิน ๗ เม็ด..!

พอเก็บกินไปถึงเม็ดที่ ๗ ก็จะมีหมามาไล่ มีคนมาไล่ทุกครั้ง ท่านอยู่ด้วยแรงกรรรมจริง ๆ กรรมที่เคยทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าอด อยู่ด้วยแรงกรรมจริง ๆ กินแค่นั้นแต่อยู่ได้ จนกระทั่งไปพบพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็เมตตาบวชให้เพราะสงสาร ปรากฏว่าบิณฑบาตมาไม่มีใครใส่บาตรเลย

พอถึงเวลาบิณฑบาตท่านเดินตามหลัง เขาใส่บาตรจากข้างหน้า มาถึงท่านอาหารก็หมด พระอุปัชฌาย์ก็ให้เดินหน้า ชาวบ้านก็นึกได้ว่าวันก่อนใส่จากข้างหน้ามาไม่ถึงพระข้างหลัง อาหารหมดก่อน วันนี้ก็เลยใส่จากข้างหลังมา แต่ไม่ถึงข้างหน้าก็หมดอีก พอพระอุปัชฌาย์ให้ท่านยืนอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านเห็นว่าวันก่อนใส่หัวไม่ถึงท้าย ใส่ท้ายไม่ถึงหัว วันนี้เลยใส่หัวท้ายพร้อมกัน มาถึงตรงกลางอาหารหมดอีก..!

กรรมของท่านสาหัสจริง ๆ จนกระทั่งพระสารีบุตรท่านสงสาร ไปบิณฑบาตมาถวายเอง พอวางบาตรลง ท่านก็มองไม่เห็นอาหาร เห็นเป็นบาตรเปล่า ๆ พระสารีบุตรเห็นว่าแรงกรรมหนักขนาดนั้น จึงเอามือจับบาตรไว้ให้ท่านล้วงอาหาร พอพระสารีบุตรจับบาตรท่านถึงได้เห็นอาหาร ตกลงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นแหละ พอกินอิ่มร่างกายสบายขึ้นมา ก็เลยพิจารณาว่า ตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาบวชแล้ว ก็มีแต่ความทุกข์ความยากมาตลอด ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว

ตัดใจได้วันนั้นก็ไปพระนิพพานวันนั้น ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็คิดว่าท่านกินอิ่มจนท้องแตกตาย แต่ความจริงในชีวิตได้กินอิ่มครั้งนั้นครั้งเดียวจริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #59  
เก่า 20-01-2013, 21:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นว่า เรื่องกรรมต่าง ๆ ที่ส่งผลนั้นน่ากลัวมาก ถึงวาระเขาส่งผลของเขาเต็มที่ ถ้าเราทำไว้มาก ถึงเวลาผลกรรมส่งมาก็หนักหนาสาหัส แล้วแรงกรรมบันดาลก็สุดยอดจริง ๆ ไม่ได้กินมาเนิ่นนานปานนั้น ก็ยังอุตส่าห์อยู่มา ๒๐ กว่าปี กินข้าววันละ ๗ เม็ดท่านก็อยู่ได้ เป็นเราไหวไหม ?

รู้สึกว่าท่านจะแกล้งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไม่ให้ฉันอาหาร เอาของสกปรกใส่ปนลงไปยังไม่พอ เวลาเขาใส่บาตรแล้วบอกให้ท่านเอาไปถวายพระคุณเจ้ายังที่อยู่ ก็แอบกินเอง กินเหลือก็เททิ้ง แรงกรรมก็เลยสาหัส นั่นตกนรกมาแล้วนะ เศษกรรมยังล่อเสียอ่วมอรทัยไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-01-2013 เมื่อ 02:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #60  
เก่า 23-01-2013, 08:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,921 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนดูข่าว เมิ่งเพ่ยเจี๋ย สาวจีนอายุ ๒๐ ปี เรียนมหาวิทยาลัย ดูแล หลิวฟางอิง แม่บุญธรรมที่เป็นอัมพาตมา ๑๐ กว่าปีแล้ว แม่แท้ ๆ ยกเมิ่งเพ่ยเจี๋ยให้เป็นลูกบุญธรรมของหลิวฟางอิงตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ แล้วแม่แท้ ๆ ก็ตาย พอไปอยู่กับแม่บุญธรรมได้ ๓ ปี หลิวฟางอิงก็เป็นอัมพาต พ่อบุญธรรมก็ทิ้งหลิวฟางอิงและลูกเลี้ยงไป เมิ่งเพ่ยเจี๋ยจึงต้องคอยดูแลแม่บุญธรรมมาตลอด เรียนหนังสือไปดูแลไป ตอนเช้าอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนข้าวให้เสร็จสรรพเรียบร้อย แล้วก็วิ่งไปโรงเรียน พักเที่ยงก็วิ่งกลับมาเปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนข้าวเสร็จก็วิ่งไปเรียนหนังสือต่อ

พอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยห่างจากที่พัก ๑๐๐ กว่ากิโลเมตร ก็ต้องใช้วิธีแบกแม่บุญธรรมไปเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ แล้วก็คอยดูแลอยู่ จนกระทั่งเพื่อน ๆ รู้ เลยเอาเรื่องไปลงอินเตอร์เน็ต เขาโหวตให้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด คำว่าสวยคือน้ำใจดี มีการส่งเป็นฟอร์เวิร์ดเมล์ต่อ ๆ กันมา

หลิวฟางอิงบอกว่า ฉันมีโอกาสดูแลเขาอยู่ ๓ ปี แต่เขาดูแลฉันมา ๑๐ กว่าปีแล้ว วัน ๆ เมิ่งเพ่ยเจี๋ยช่วยแม่ออกกำลัง จับแม่ลุกนั่ง หวังว่าแม่จะหาย จนตัวเองผอมกะหร่องเลย"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-01-2013 เมื่อ 18:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว