#21
|
|||
|
|||
๑๐.๑๖ สุขทุกข์อยู่ที่ใจ “ดูกรอานนท์ จิตสุขเป็นสวรรค์ จิตทุกข์เป็นนรก ถ้าอยากได้สุขในพระนิพพาน ต้องวางเสียทั้งสุขและทุกข์ ให้เอาใจวางหรือวางที่ใจ เพราะธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ (เป็นประธาน, มีใจประเสริฐที่สุด) ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ”
๑๐.๑๗ ผู้ที่เห็นจิตผู้อื่นได้ คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น มีรายละเอียดที่ควรเขียนให้ทราบโดยย่อดังนี้ ก) อาจมีผู้อื่นซึ่งใช้อำนาจของสมาธิ ทำให้รู้เห็นได้ก็มีอยู่ แต่ไม่แน่นอน มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ เพราะตัวสมาธิไม่สามารถจะฆ่ากิเลสให้ตายได้ เป็นเพียงแค่ระงับกิเลสไว้ชั่วคราวเท่านั้น เพราะสมาธิมี ๒ ชนิด คือ มิจฉาสมาธิ หมายถึงสมาธิที่มิได้ตั้งมั่นอยู่บนศีลอันบริสุทธิ์ (อธิศีล) จึงไม่มั่นคง หากศีลข้อใดบกพร่อง สมาธิหรือฌานสมาบัติก็ไม่ทรงตัว หรือเสื่อม เช่น ท่านเทวทัตเป็นต้น อีกข้อหนึ่งคือ สัมมาสมาธิ หมายถึง สมาธิที่ตั้งมั่นอยู่บนศีลอันบริสุทธิ์(อธิศีล) สมาธินี้จึงมั่นคง ไม่มีคำว่าเสื่อม การรู้การเห็นจึงไม่ผิดพลาด (พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านมีครบทั้งอธิศีล อธิจิตและอธิปัญญา) ข) บุคคลที่รู้เห็นไม่จริงนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้ศาสนาของตถาคตเสื่อมลง ค) บุคคลผู้ทำลายพระพุทธรูป,พระสถูป,พระเจดีย์,ตัดไม้ศรีมหาโพธิ์ เป็นบาปก็จริงแต่มิได้ทำลายพระพุทธศาสนา จึงไม่มีโทษหนักเท่ากับพวกปรามาสพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ง) พวกทำลายพระพุทธรูป สถูป เจดีย์ ยังมีทางเป็นกุศลได้ หากเขาสร้างหรือแก้ไขให้ดีขึ้น สวยขึ้น แม้การตัดต้นโพธิ์ หากขึ้นอยู่ในที่ไม่สมควร เช่นใกล้ถาวรวัตถุ จะตัดเสียก็หาโทษมิได้ บุญบาปอยู่ที่เจตนาของใจ จ) นักบวชพวกอวดอุตริมนุษยธรรม แสดงธรรมหรือกรรมที่ไม่มีในตน มีโทษถึงขั้นปาราชิกเป็นการทำลายพระพุทธศาสนาโดยตรง พระองค์ทรงตรัสว่า อุปมาเหมือนโจรมาปล้นพระศาสนาของพระองค์ทีเดียว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 23-03-2010 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
|||
|
|||
๑๐.๑๘ หากดับกรรมทั้ง ๕ ได้ขาดคือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ และสักกายทิฎฐิ ก็เข้าถึงพระนิพพาน ขออธิบายย่อ ๆ ดังนี้
ก) หากละขี้ ๓ กองได้คือ ขี้โกรธ,ขี้โลภ,ขี้หลง ก็จบกิจเป็นพระอรหันต์ และละไฟภายใน ๓ กองได้ คือไฟราคะ,ไฟโทสะ,ไฟโมหะ ก็เป็นพระอรหันต์ ข) หากละมานะกิเลสได้ ก็เป็นพระอรหันต์ ทรงหมายถึงการไม่ถือตัวถือตนขั้นสูงสุด คือหมดอัตตา หมดตัวตนแล้ว เห็นโลกทั้งโลกเป็นเพียงแค่สภาวธรรม (กรรม) อันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีวัตถุธาตุใด ๆ ทั้งนั้น โลกทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ มีแต่สภาวธรรม คือ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสิ่งเหล่านั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา ขออธิบายสั้น ๆ แค่นี้ (หมดการยึด-ติดในสมมุติธรรมในโลกแล้ว) ค) หากละสักกายทิฏฐิได้ข้อเดียว ก็จบกิจเป็นพระอรหันต์ ขออธิบายสั้น ๆ ว่า ละอุปาทานขันธ์ ๕ ได้ข้อเดียวหรืออย่างเดียว กิเลสทุกตัวก็ดับหมด คือเห็นว่าขันธ์ ๕ หรือร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ ๕ และขันธ์ ๕ไม่มีในเรา ง) การจะไปพระนิพพาน จะว่ายากก็ยาก หากคิดจะเอาร่างกายไป (ให้ดูข้อ ค. คือละสักกายทิฏฐิ) จะว่าง่ายก็ง่ายหากเอาใจไป ทำใจให้หมดกิเลสได้ชั่วคราว ก็ไปนิพพานได้ชั่วคราว ทำใจให้หมดกิเลสถาวร ก็ไปนิพพานได้ถาวร สภาวะของใจคือรู้กับเร็ว หากเราฝึกใจให้รู้เรื่องวิธีเข้าสู่พระนิพพานควรทำอย่างไร ตามที่พระองค์แนะนำชี้ทางไว้ให้ ค่อย ๆ ฝึกให้ใจรู้จนเกิดความชำนาญ จนเป็นอัตโนมัติ เมื่อให้เขารู้อย่างไร เขาก็เร็วไปตามนั้น เพราะเวลาของจิตไม่มี เป็นอกาลิโก ผู้ชำนาญแล้วแค่นึกจิตก็ถึงพระนิพพานแล้ว นี่คือคำตอบว่าหากเราเข้าใจแล้ว การเข้าพระนิพพานจะว่าง่ายมันก็ง่าย จะจริงหรือไม่อยู่ที่ผล ทั้งหมดที่เขียนมานี้ล้วนเป็นแค่มรรคเท่านั้น ใครนำไปพิจารณาให้เข้าใจแล้ว ก็ต้องใช้วิริยะคือความเพียร ทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง ผลเกิดเมื่อไร ผู้ปฏิบัติย่อมรู้ได้เองเฉพาะตน ของใครของมัน กรรมใครกรรมมัน (ธรรมของตถาคตเป็นปัจจัตตัง) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-02-2010 เมื่อ 11:31 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
|||
|
|||
๑๐.๑๙ เมื่อตนยังไม่หลุดพ้น ก็ไม่ควรจะสอนผู้อื่น ขออธิบายย่อ ๆ ว่า การหลุดพ้นในพระพุทธศาสนามี ๓ ระดับ หรือ ๓ ขั้น พระองค์ทรงแนะให้ใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์ของจิตเป็นสำคัญ
ก) หลุดพ้นจากนรก โดยตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๓ ข้อแรกให้ได้ จุดสำคัญอยู่ที่ศีล คือ อธิศีล ข) หลุดพ้นจากนรก โดยตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ข้อแรกให้ได้ จุดสำคัญอยู่ที่สมาธิ คือ อธิจิต ค) หลุดพ้นจากเทวโลกและพรหมโลก โดยตัดสังโยชน์ได้ครบ ๑๐ ข้อ จุดสำคัญอยู่ที่ปัญญา คือ อธิปัญญา รายละเอียดจะขอไม่เขียนเพราะยาวมาก ผู้รักดี-ใฝ่ดี ควรดูจากคำสอนของหลวงพ่อฤๅษี ท่านสอนไว้ละเอียดทุกซอกทุกมุม กรุณาช่วยตนเองอันเป็นที่พึ่งอันสุดท้าย ที่พระองค์ทรงชี้แนะไว้ จุดนี้คือสิ่งที่พระองค์ทรงเน้นมาก เพราะหากผู้ใดยังไม่มีธรรมหรือของจริงในตน แล้วไปสอนผู้อื่น นอกจากจะเป็นอวดอุตริมนุษยธรรม ซึ่งมีโทษสูงแล้ว ยังเป็นการทำลายศาสนาของพระองค์ด้วย พระองค์จึงอนุญาตให้ผู้บวชแล้วเป็นพระ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปถึงพระอรหันต์ ออกประกาศพระพุทธศาสนาได้ ท่านรู้แค่ไหน ท่านก็สอนเท่าที่ท่านรู้ ไม่เดาส่ง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 26-02-2010 เมื่อ 08:28 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
|||
|
|||
๑๐.๒๐ คฤหัสถ์ นักบวช ที่กล่าวว่าตัวรู้ ตัวเห็นและพูดจากับผีได้ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ควรเชื่อเอามาเป็นครู ธรรมข้อนี้ละเอียดอ่อนมาก ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย ๆ และลงนรกได้ง่าย ๆ หากรู้ไม่จริงเพราะคนเราเกิดตาย ๆ มานับชาติไม่ถ้วน ค่อย ๆ สะสมบารมีหรือกำลังใจให้มากขึ้น ๆ จนเต็ม บางคนได้พบพระพุทธเจ้ามานานแสนนาน ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรก (สมเด็จองค์ปฐม) เพราะเคยเป็นลูกเป็นหลานท่านมาก่อน มาจนถึงปัจจุบันนับเป็นอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน ก็ยังไปไม่ถึงพระนิพพาน
พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร มีหลักฐานในพระไตรปิฎกมีความโดยย่อว่า เมื่อ ๙๑ กัปที่แล้วทั้งสองท่านเกิดเป็นฤๅษี ได้สมาบัติ ๘,ได้อภิญญา ๕ มีลูกศิษย์ฝ่ายละ ๑๕,๐๐๐ คน เมื่อทราบว่ามีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระปทุมมุตตระ ลงมาตรัสในโลกมนุษย์ ก็พาลูกศิษย์ของตนไปทำบุญ และขอฟังธรรมจากพระองค์ เมื่อพระองค์เทศน์จบ ลูกศิษย์ทุกท่านจบกิจเป็นพระอรหันต์หมด ยกเว้นอาจารย์ ๒ องค์ ไม่ยอมจบ เพราะมีนิวรณ์รบกวนจิตท่าน ต้นเหตุคือ ท่านไปพอใจในจริยาของอัครสาวกซ้าย-ขวา ของพระพุทธเจ้าเข้า ทำให้ไม่จบกิจ ทุกสิ่งมาตามกรรม อยู่ด้วยกรรมและไปตามกรรม คือกรรมลิขิต ซึ่งเที่ยงเสมอและให้ผลไม่ผิดตัวด้วย ทั้งสองท่านเคยทำบุญแล้ว อธิษฐานขอเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใด กรรมที่ท่านทำไว้ ท่านก็จะต้องมาเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์นั้น ท่านเกิดตาย ๆ มานับชาติไม่ถ้วน สะสมบารมีมาเรื่อย ๆ ได้พบพระพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ ได้ฟังธรรมจากพระองค์ ก็ไม่เคยบรรลุ จะต้องมาพบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่ท่านเคยอธิษฐาน ตอนที่ท่านปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทั้งสองท่านไปอธิษฐานขอเป็นพระสาวก กรรมนี้จึงต้องเป็นไปตามที่ตนอธิษฐานไว้ สาวกแปลว่าผู้รับฟัง ไปฟังใครก็ตาม จะดีแค่ไหนก็ไม่จบกิจ จะต้องมาฟังธรรมจากองค์ที่ตนอธิษฐานไว้เท่านั้น จึงจะจบกิจได้ ที่เขียนมายาวก็เพื่อจะอธิบายว่า มีบางคนท่านรู้ ท่านเห็นผีและพูดกับผีได้ แต่มีน้อย ตามตำราและหลวงพ่อฤๅษีท่านสอนไว้ความว่า บุคคลใดทรงฌาน ๔ ได้ ก็สามารถเห็นผี เห็นเทวดา และคุยกันได้ ยิ่งได้อภิญญา ๕ มาก่อนในอดีตชาติ จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเหล่านี้ ดังนั้น..ธรรมะในข้อนี้ พระองค์ทรงหมายถึงปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังไม่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ไม่เคยมีบุญเก่าในอดีตมาก่อน ก็ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นเทวดาและคุยกับเทวดาได้ แต่อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนลูกศิษย์ไว้ว่า เรื่องการเห็น การรู้เรื่องนอกตัวเรา จงอย่าใช้กำลังใจของตนเอง ให้ขอบารมีของพระพุทธเจ้า ขอบารมีพระอริยเจ้าที่เราเคารพนับถือท่าน ขอความเมตตาจากท่าน ให้ได้รู้ ได้เห็น สิ่งต่าง ๆ ที่เราต้องการ จะถูกต้องและมั่นคงกว่าการใช้กำลังใจ (บารมี) ของเรา ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย แม้ตัวท่านเองก็ยังต้องขอบารมีพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ แล้วเราเป็นศิษย์ จะไปอวดดีกับอาจารย์ได้หรือ ? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-03-2010 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
|||
|
|||
๑๐.๒๑ พระปาติโมกข์และธุดงควัตร ที่ทรงบัญญัติไว้ ก็เพื่อเป็นเครื่องดับกิเลส ตัณหา ธรรมะจุดนี้ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว ผมขอผ่านไป
๑๐.๒๒ การดับกิเลสให้สิ้นเชิง ให้เลือกประพฤติตามความปรารถนา พระพุทธองค์ทรงทราบได้ดีกว่าใคร ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ว่า คนแต่ละคนที่เกิดมาในโลกนี้ เกิดมาตามกรรมที่ตนทำไว้ เกิดแล้วก็อยู่ด้วยกรรม เวลาจะไปก็ไปด้วยกรรมด้วยกันทุกคน แต่ละบุคคลจึงมีจริตนิสัยและกรรมแตกต่างกันไปทั้งสิ้น บางคนพระองค์สอนแค่ประโยคเดียว ก็จบกิจแล้ว เช่น ท่านพาหิยะ ทรงสอนสั้น ๆ ว่า พาหิยะเธอจงอย่าสนใจในรูป เพราะรูปไม่เที่ยง ฟังเพียงแค่นี้ท่านพาหิยะก็จบกิจเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นต้น และหลาย ๆ ท่านที่ฟังเทศน์จากพระองค์แค่จบเดียว ก็มีดวงตาเห็นธรรม จบกิจในพระพุทธศาสนาได้ เพราะพระองค์เท่านั้นที่มีพุทธญาณหรือสัพพัญญุตญาณแต่พระองค์เดียว จึงรู้กรรมในอดีตของแต่ละท่านได้ครบบริบูรณ์ จึงใช้อริยสัจ (กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ) สอนให้ตรงกับจริตนิสัย และกรรมของแต่ละคนได้ โดยไม่มีทางผิดพลาด เรื่องนี้ยาวและละเอียดอ่อนมาก เป็นเรื่องพุทธวิสัย ซึ่งไม่ควรตามรู้ (อจินไตย) จะต้องเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อน จึงจะรู้ได้ เท่าที่ผมเขียนก็เขียนตามที่ท่านเคยสอน ให้รู้ไว้ก่อนเท่านั้น หากไม่บอกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-03-2010 เมื่อ 17:21 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
|||
|
|||
๑๐.๒๓ ในอนาคต กุลบุตรที่เลื่อมใส(ศรัทธา)ในพุทธศาสนา สามารถบวชได้แม้ไม่มีพระภิกษุ พระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนาของพระองค์ไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปีโลกมนุษย์ เมื่อพระองค์ทรงเข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว ทุก ๆ ๑๐๐ ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลง ๑ ปี (ขัยอายุในสมัยของพระองค์ ซึ่งเป็นปัญญาธิกะ มีเพียงแค่ ๑๐๐ ปี) ดังนั้นเมื่อครบ ๕,๐๐๐ ปี ขัยอายุของคนจะเหลือเพียง ๕๐ ปี นิสัยคนจะดุร้าย เห็นกันก็จะมุ่งทำร้ายกัน ฆ่ากัน เป็นกายกรรมซึ่งหยาบที่สุด (กรรม แปลว่าการกระทำ) ขออธิบายว่ากรรมแยกเป็น ๓ หมวดคือ
ก) มโนกรรม คนในอดีตมีมโนกรรมดี จึงมีกิเลสตัณหาเบาบาง ฟังเทศน์จากพระองค์ก็บรรลุ มีดวงตาเห็นธรรมกันมากมาย ตั้งแต่พระโสดาบันขั้นต้นไปจนถึงพระอรหันต์ พวกที่แย่ที่สุดก็ขอถึงซึ่งไตรสรณาคมณ์ตลอดชีวิต ข) วจีกรรม เมื่อพระองค์ทรงเข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปี (กึ่งหรือครึ่งที่พระองค์ประกาศไว้) พระองค์ก็ทำนายไว้ชัดมีความสำคัญสั้น ๆ ว่า จิตคนจะเสื่อมลง (มโนกรรมเสื่อม) จะเกิดสงคราม ไม่ขอเขียนรายละเอียด ผมขออนุญาตเสริมว่า กรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า, มีใจเป็นใหญ่ ทุกสิ่งสำเร็จได้ที่ใจ หรือใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อใจเสื่อมลง กิเลสขั้นกลางก็ออกฤทธิ์คือ วจีกรรม สงครามที่เกิดขึ้นจะเป็นสงครามใหญ่หรือสงครามเล็กก็ตาม สาเหตุก็มาจากมโนกรรมก่อนทั้งสิ้น มีทิฐิหรือความเห็นไม่ตรงกัน ก็ทะเลาะกัน ด่ากันไปด่ากันมา ซึ่งเป็นวจีกรรม จนที่สุดต้องใช้กายกรรมออกมาประหัตประหารกัน ฆ่ากันตายเป็น ๑๐ ล้านคน สาเหตุก็เพราะมานะทิฏฐิ (มโนกรรม) ต่างกัน มีผลให้เกิด วจีกรรมหรือโรคปากเสียขึ้น แล้วจบลงด้วยการใช้กายกรรมตัดสิน หากจะย้อนมาดูประเทศไทยเวลานี้ ก็จะเห็นกรรมเหล่านี้กำลังแสดงธรรมให้พวกเราเห็น สร้างความทุกข์ให้กับบุคคลทั้งประเทศ เหตุเพราะทิฐิความเห็นไม่เสมอกัน เกิดโรคปากเสียระบาดไปทั่วประเทศ หากไม่มีในหลวงองค์ปัจจุบันอยู่ ก็คงจบด้วยการใช้กายกรรมตัดสินปัญหาในที่สุด แต่นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรา ที่ในหลวง ร.๙ ทรงใช้หลักธรรมในพระพุทธศาสนามาแก้ไข ทำให้เหตุร้ายคลายตัวลง ซึ่งผมคิดว่าคงจะจบลงด้วยดี ด้วยพระบารมีของพระองค์ ผมออกนอกทางไปเล็กน้อย ขอย้อนกลับเข้าเรื่องเดิม ค) กายกรรม เป็นความชั่วหยาบที่สุด พระองค์จึงบัญญัติศีลพื้นฐานขึ้นมา คือ ศีล ๕ ซึ่งไม่ว่าคนหรือสัตว์ ก็ต้องการสภาวะปกติ ๕ อย่างนี้เป็นพื้นฐาน เพื่อความสงบสุขของคนหมู่มาก คือไม่ฆ่าไม่ทำร้ายกัน, ไม่ขโมยกัน, ไม่แย่งความรักของกันและกัน, ไม่โกหกกันและไม่เอาสิ่งมอมเมามาเสพให้ขาดสติ-สัมปชัญญะกลายเป็นคนบ้าไป ทรงตรัสย่อ ๆ ว่า “ดูกร..อานนท์ แม้ในปัจฉิมกาล เมื่อหาพระสงฆ์ครบคณะบรรพชาไม่ได้ โดยที่สุดแม้มีภิกษุองค์เดียว เมื่อกุลบุตรมีศรัทธาเลื่อมใสในคุณแห่งเราตถาคต อยากจะบวชเป็นภิกษุในสำนักแห่งภิกษุ องค์เดียวก็จงบวชเถิด โดยที่สุดลงไปอีก แม้จะหาพระภิกษุสักองค์เดียวไม่ได้ กุลบุตรผู้มีศรัทธาใคร่จะบวชสืบศาสนาแห่งเราตถาคต ก็ให้ศึกษาจตุตถปาราชิก (อาบัติที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุทั้ง ๔ ข้อ) และปลิโพธ ๒ (ความกังวลภายนอกและภายใน) นั้นให้เข้าใจ แล้วเข้าสู่เฉพาะพระพุทธรูป และพระสถูป หรือพระเจดีย์ หรือแม้หาที่ควรเคารพนั้นไม่ได้ ก็ให้ระลึกถึงเราตถาคตแล้วบวชเป็นภิกษุเถิด (ปลิโพธหรือปลิโพธิ คือความกังวลใจทั้งภายนอกและภายใน ภายนอกคือชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ส่วนภายในคือเรื่องส่วนตัว เรื่องขันธ์ ๕ อันมีขันธมารคอยรบกวน เช่น กลัวตาย, กลัวลำบาก, กลัวเจ็บป่วย สารพัดกลัว จริง ๆ แล้วก็คืออารมณ์ฟุ้งซ่านนั่นเอง) แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2010 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
|||
|
|||
๑๐.๒๔ คิริมานนท์กำหนดรูป-นามตามพระธรรมเทศนา ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ มีความโดยย่อดังนี้
เมื่อพระอานนท์รับฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็รีบไปยังสำนักของท่านคิริมานนท์ แล้วแสดงธรรมเรื่อง สัญญา ๒ คือรูปสัญญา กับนามสัญญา หรือร่างกายประกอบด้วยขันธ์ ๕ มีรูป ๑ กับนาม ๔ (เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ) มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา เราคือจิต หรืออาทิสมานกายอยู่กับมันเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากเราวางหรือละมันเสียอย่างเดียว ทุกขเวทนาทั้งหลายก็จะหมดไปจากใจของเรา เมื่อท่านคิริมานนท์ปฏิบัติตาม โรคภัยที่เกิดกับร่างกายที่จิตท่านอาศัยอยู่ก็หายไป ทุกขเวทนาก็หายไปสิ้น จิตท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงให้ชื่อเทศนานี้ว่า คิริมานนทสูตร (พระสูตรนี้พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาที่วัดเชตวนาราม มีต้นเหตุจากพระคิริมานนท์เกิดอาพาธหนัก เทศน์แล้วมีผลทำให้โรคหาย จิตท่านก็พ้นทุกข์ จบกิจเป็นพระอรหันต์ |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
|||
|
|||
สรุปส่งท้าย ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน ซึ่งมีเวลาเหลืออยู่คนละเล็กน้อย จงใช้เวลาอันมีค่า (ซึ่งแม้จะมีเงินมากขนาดไหน ก็หาซื้อกลับคืนมาไม่ได้) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความไม่ประมาทเถิด ผมขอให้เหตุผลไว้ดังนี้
๑. สิ่งที่มีค่าสูงสุดในโลกนี้ คือพระธรรม ๒. พระธรรมคำสอน ประโยคสุดท้ายที่ทรงตรัสไว้ คือ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอยู่ในความไม่ประมาทเถิด หมายความว่า พระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์เพียรสอนมา ตลอด ๔๕ ปี มีอยู่ ๘๔,๐๐๐ บทนั้น ล้วนเป็นหนทางที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ทั้งสิ้น ที่สอนไว้มากมายหลายวิธี ก็เพราะบุคคลในโลกนี้มีจริต นิสัย และกรรมไม่เสมอกัน ให้ทุกคนจงช่วยตนเอง ใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน พระองค์มีหน้าที่เป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทางให้เท่านั้น คือเป็นมรรค กับปฏิปทาของมรรค ส่วนการปฏิบัติให้เกิดผล พวกเราจะต้องใช้ความเพียรเอาเอง ๓. คิริมานนทสูตรนี้ บอกวิธีซึ่งนำไปสู่ความพ้นทุกข์ไว้หลายวิธี เช่น ๓.๑ สัทธรรม ๕ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง ล้วนเป็นทุกข์ซึ่งหลีกหนีไม่ได้ หากจิตยอมรับความจริงเสียอย่างเดียว ก็พ้นทุกข์ได้ ๓.๒ วิธีปิดนรก หรือพ้นนรกอย่างถาวร ทำอย่างไร วิธีพ้นมนุษยโลกทำอย่างไร วิธีพ้นเทวโลก และพรหมโลกควรทำอย่างไร และวิธีพ้นโลกทั้ง ๓ เข้าสู่พระนิพพานอย่างง่าย ๆ ทำอย่างไร ด้วยอุบายพร้อมวิธีปฏิบัติ ล้วนมีอยู่ในพระสูตรนี้ทั้งสิ้น ๔. เวลาและความตายไม่คอยใคร เพราะสิ่งที่เที่ยงที่สุดในโลกนี้คือ ความไม่เที่ยง ๕. จงเคารพในกฎของกรรม เพราะกฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย แม้แต่กรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังตามให้ผล ๖. จงอย่าหาพระธรรมนอกตัวเรา เพราะพระธรรมอยู่ที่ตัวเรา คือกายกับจิตเราทั้งสิ้น (๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทรงสอนอยู่แค่กายกับจิตเท่านั้น ทุกคนจึงมีตู้พระธรรม หรือตู้พระไตรปิฎกอยู่ทุกคน จงพยายามใช้ปัญญาศึกษาแต่ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์เถิด) ในปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตให้พระพุทธองค์ และพระพุทธศาสนาไปแล้ว โดยสัจวาจาของข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอความสวัสดีจงเกิดแก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน อ่านแล้วนำไปปฏิบัติ ก็ขอให้เกิดผลและโชคดี มีดวงตาเห็นธรรม ได้เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยกันทุกท่านเทอญ พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
|||
|
|||
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
รวมรวมโดย พล.ต.ท.นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|