|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..! ถาม : ทำไมล่ะคะ ? ตอบ : ก็คุณเปิดโอกาสให้เลือกว่าถามได้หรือไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าถามไม่ได้สิ..! ถาม : แล้วจะทำอย่างไรคะ ? ตอบ : คราวหน้าก็อย่าโง่สิ..! ดันถามว่าถามได้ไหม ? อาตมาบอกว่าไม่ได้ก็จบ คราวหน้าจะถามก็ถาม ไม่ใช่ทะลึ่งมาถามว่าถามได้ไหม ถ้าเปิดโอกาสให้เลือก อาตมาก็เลือกถามไม่ได้ไว้ก่อน ขี้เกียจเหนื่อยตอบคำถาม เขาเรียกว่าปิดการขายไม่เป็น ถ้าไปขายประกันก็เจ๊ง ดันไปปล่อยให้ลูกค้ามีทางเลือก เขาก็เลือกไม่จ่ายเงินสิ จริง ๆ แล้วอาตมาเป็นคนมีเมตตามาก สมัยอยู่วัดท่าซุงเวลาจับพวกบรรดานักบวชรุ่มร่ามมา จะให้เขาสึก ก็จะเปิดโอกาสให้เขาเลือก อย่างเช่น จับนักบวชได้ ๑ ราย มีโพยหวยเต็มย่ามไม่พอ ยังมีปืนอีกต่างหาก จะให้เขาสึก ก็ถามเขาว่า "คุณจะติดคุกดีหรือสึกดี ?" เขาก็ตกลงสึก อาตมาเปิดทางให้เขาเลือกอย่างที่อาตมาต้องการ เพราะฉะนั้น..ปิดการขายให้เป็น แล้วงานจะจบเร็ว ถ้าปิดการขายไม่เป็น เปิดโอกาสให้เขา เขาก็ไปเรื่อย นายดาบสอจะปวดกบาลมาก เพราะมีแต่คนบอกว่าโหด จับพระสึกอยู่บ่อย ๆ นายดาบสอบอกว่า "ไม่ใช่..หลวงพี่ท่านจัดการ กูมีหน้าที่ไปตีหน้าขู่เท่านั้น" เวลาไปก็อย่าไปคนเดียว ให้เอาตำรวจไปด้วย เจตนาคือต้องการให้เขาสึก แต่ก็เปิดโอกาสให้เขาเลือก เพียงแต่เขาต้องเลือกอย่างที่อาตมาต้องการ บอกแล้วว่าอาตมาเมตตามาก แต่เสียท่าพวกนี้ทุกที เวลาเขาสึกไม่มีผ้าผ่อนท่อนสไบ อาตมาต้องไปซื้อชุดใหม่ให้เขาชุดหนึ่ง ทุกคนเลย เปลืองเงินจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2012 เมื่อ 13:28 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภูมิก็คือที่อยู่ของสัตว์ ภูมิที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุดก็พวกเดรัจฉาน เพราะเราเห็นด้วยตาเปล่า แต่มีเดรัจฉานบางประเภทที่เป็นโอปปาติกะ ถ้าเขาไม่ตั้งใจแสดงให้เราเห็น เราก็เห็นไม่ได้ อย่างพวกครุฑ นาค เป็นต้น
คราวนี้ศัพท์ ติรฉานะ แปลว่า ผู้ยินดีโดย ๓ ประการ แต่ขณะเดียวกันบางท่านก็แปลว่า ผู้ไปโดยขวาง ก็คือไม่ได้เดินตัวตรง ตัวต้องขนานไปกับโลก การยินดีใน ๓ ประการคืออะไร ? คือ การกิน การนอน การสืบพันธุ์ ๓ อย่างเท่านั้น คำว่า ติ ในบาลีคือ ๓ ตรง ๆ อยู่แล้ว แต่คราวนี้ศัพท์ที่เขานิยมกันว่าไปโดยขวาง อาตมาก็สงสัยว่าเขาเอารากศัพท์มาจากไหน ? ภูมิของสัตว์เดรัจฉานมีกำเนิด ๔ อย่างครบถ้วนเลย คือ ชลาพุชะ เกิดในมดลูก ส่วนใหญ่ก็พวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อัณฑชะ เกิดจากฟองไข่ ไข่ออกมาก่อนฟักเป็นตัวทีหลัง จนกระทั่งบางคนเขาเรียกว่า ทวิชาติ คือ เกิด ๒ ครั้ง เกิดเป็นไข่ครั้งหนึ่ง เกิดเป็นตัวครั้งหนึ่ง สังเสทชะ เกิดในของสกปรก อย่างเช่น เชื้อโรค พยาธิ หนอน อีกพวกหนึ่งคือโอปปาติกะ ผุดขึ้นก็โตเลย อย่างพวกครุฑ นาค เป็นต้น ภูมิของสัตว์เดรัจฉานเป็นภูมิที่ใกล้ชิดมนุษย์ที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วอยู่รวมกับพวกเรา สามารถเห็นได้ชัดเจนก็จริง แต่ถ้าเป็นพวกโอปปาติกะไม่ได้ตั้งใจแสดงให้เราเห็น เราก็ไม่เห็น หรือถึงเขาตั้งใจแสดงให้เห็น เราก็ไม่รู้จัก อย่างพญานาค เวลาเขามาแสดงให้เห็นก็ตัวเล็ก ๆ แต่ตัวจริงขนาดมหึมามโหฬาร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-09-2012 เมื่อ 13:29 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
![]()
"ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่าไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำแห่งหนึ่ง มีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยมาอยู่ใต้ที่นอนแคร่อยู่เป็นประจำ จนกระทั่งท่านจะไปอยู่ที่อื่น ท่านจึงบอกกับเขาว่า วันนี้ขอให้โมทนาส่วนบุญที่ท่านได้ทำไว้ ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับในตอนนี้ เพราะท่านจะธุดงค์ไปที่อื่นต่อ
ท่านว่างูใหญ่เลื้อยลงจากถ้ำหลวงปู่ก็ตามไป รอยที่เลื้อยไปในนาข้าวที่เขาดำไว้ ทับต้นข้าวล้มราบไป ๕ แถว..! เราลองนึกดูว่าคนดำนา ๕ แถว จะกว้างแค่ไหน ? แต่เวลางูตัวนี้อยู่กับท่านยาวประมาณวาเดียว ประเภทนั้นถึงเขาแสดงให้เรารู้ เราก็ไม่รู้ เพราะไม่เห็นเพศเดิมที่แท้จริง ทับกอข้าวราบเป็นทางไป ๕ แถว นึกไม่ออกเลยว่าอย่างเราได้ครึ่งคำของเขาหรือเปล่า ?" ถาม : ทำไมจึงดูเหมือนว่าคนคุ้นเคยใกล้ชิดกับนาคมากกว่าครุฑ ? ตอบ : ครุฑเองส่วนใหญ่ก็มีเขตอยู่พิเศษของเขา เป็นป่าต้นงิ้วที่เราเรียกว่าฉิมพลี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-09-2012 เมื่อ 12:00 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
![]()
พญาครุฑเขาบอกว่าปีกกว้าง ๕๐ โยชน์ ขยับปีกแต่ละครั้งไปได้ ๑ โยชน์ แต่ต้องยอมรับว่า ความรู้ของคนแต่ละชาตินั้น ถ้ารู้จริงก็รู้เหมือนกัน คนจีนเขามีนกเผิง เขาว่าเป็นนกใหญ่ขยับปีกครั้งหนึ่งไปได้เป็น ๑๐๐ ลี้ เขาก็รู้ได้เหมือนกัน
ลองไปอ่านหนังสือซานไห่จิง หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงสถานที่ เมืองต่าง ๆ ภูเขา ทะเล สัตว์ต่าง ๆ แต่คนเขียนเก่งเกินไป เอาทั้งของที่เราเห็น กับของที่เราไม่เห็นปนกันหมดเลย เขากล่าวถึงภูเขาแก้ว ภูเขาหยก ภูเขาเงิน ภูเขาทอง พวกนั้นอยู่ในเขตหิมพานต์ทั้งนั้น บอกไว้หมดว่าภูเขาลูกนี้กว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง มีสัตว์ชนิดหนึ่งขนสีขาวสลับดำ ขนเป็นเข็มขนาดใหญ่ สามารถใช้เป็นอาวุธได้ ถ้าเป็นบ้านเราจะนึกออกทันทีเลยว่าคือเม่น แต่คนจีนสมัยก่อนไม่เคยเห็น นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงมนุษย์บางพวก มีบ้านมีเมืองอยู่ในทิศนั้น ๆ มีลักษณะหน้าเกลียดน่าชังแบบนั้น ๆ จริง ๆ แล้วไม่ใช่มนุษย์หรอก เป็นเปรต อสุรกาย ตกลงคนเขียน ๆ ตามที่เห็น จึงไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่ภูมิเดียวหรือคนละภูมิกับเรา จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมพญาครุฑของเรากลายเป็นนกเผิงของจีนไปได้ เพราะว่าเขาเห็นเหมือนกัน ถาม : สัตว์พวกนี้สามารถเข้ามาในเมืองให้เฉพาะบางคนเห็นได้ไหมครับ ? ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาจะปรากฏตัวไหม ? เพราะว่าสัตว์หลายประเภทเป็นเดรัจฉานมีฤทธิ์ และขณะเดียวกันเทวดาบางประเภทก็ชอบแปลงเป็นสัตว์แปลก ๆ ให้เราดู บางทีเราอยากเห็นประเภทไหน ท่านก็ทำให้เห็นอย่างนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-09-2012 เมื่อ 12:00 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปัจจุบันนี้นักเทศน์ดัง ๆ ไปตกอยู่ในวัดประยุรวงศาวาส สมัยก่อนมีหลวงตาแพร เยื่อไม้ มีหลวงปู่พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจโน) ปัจจุบันนี้มีท่านเจ้าคุณบุญมา (พระราชปฏิภาณมุนี) ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ (พระราชธรรมวาที) และท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต, ศ.ดร.)
ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ ท่านเป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้อาตมาเองแหละ ท่านเจ้าคุณบุญมา ก็เหมือนกัน สรุปว่าเชื้อสายวัดท่าซุงนี่หลีกวัดประยุรฯ ไม่พ้นหรอก เพราะว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ไปเป็นเจ้าคณะ ๔ วัดประยุรฯ อยู่ตั้งหลายปี ปัจจุบันท่านคุณพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ก็เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เท่ากับว่าท่านเป็นเจ้านายของอาตมาโดยตรง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 03:13 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "คนทองผาภูมิอายุยืนทั้งนั้นเลย คุณยายหงส์อายุ ๙๓ ปี คุณหมอสุวรรณอายุ ๙๐ กว่าปีแล้วยังเข็นรถออกมาใส่บาตรทุกวัน รถเข็นของหมอสุวรรณจะมีร่มปักอยู่ เป็นร่มขนาดใหญ่แบบร่มแม่ค้า หน้าฝนนี่สบายมาก ไม่เปียกฝนอย่างใครเขา
คนเราพออายุมากแล้วจะนอนน้อยลง เป็นธรรมชาติเลย เขาบอกว่ามีเวลาดูโลกน้อยแล้ว ฉะนั้น..ลืมตาเอาไว้เยอะ ๆ คุณหมอสุวรรณตื่นเวลาเดียวกับอาตมา คือเวลาตี ๒ พอตื่นเสร็จแกก็เสียบหม้อหุงข้าวไว้ แล้วก็เปิดเสียงเทศน์หรือเสียงสวดมนต์ฟัง พอถึงตี ๔ เสียงกรรมฐานวัดท่าขนุนดัง หมอสุวรรณก็ปิดเครื่องเสียงของตัวเอง ฟังของวัดแทน ทำกรรมฐานและสวดมนต์ทำวัตรด้วย พอเสียงสวดมนต์ทำวัตรเสร็จ หมอก็เตรียมตัวไปใส่บาตร เพราะว่าเดี๋ยวพระก็ออกเดินบิณฑบาตแล้ว ส่วนปู่มนัสเป็นตำรวจที่ทองผาภูมิจนเกษียณ ก่อนเกษียณ ๖ เดือนได้ติดยศร้อยตำรวจตรี ปู่มนัสอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว เดินตัวตรง หลังอย่างกับดามไม้ไว้เลย คนอะไรจะแข็งแรงปานนั้น ปกติถ้าคนกำลังไม่ดีหลังจะค่อมลงไปเรื่อย พออายุมากแล้วกำลังร่างกายไม่ดีจะหลังค่อม แต่ปู่มนัสอายุ ๘๐ กว่าปีแล้วหลังตรง แกถึงได้ชอบอาตมาเพราะเดินตัวตรงเหมือนกัน อาตมา หลังตรงเพราะโดนฝึกมา เขาบอกว่าอยู่ทองผาภูมิ ๑ คืน อายุยืนไป ๑ ปี สงสัยว่าถ้าอยู่มา ๒๐ ปี จะอยู่ได้นานเท่าไร ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 03:14 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
![]()
"หมอบอกว่า ตอนนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินได้เกือบจะเหมือนเดิมแล้ว หมอใช้คำว่าเกือบจะเหมือนเดิม ครั้งสุดท้ายที่อาตมาพบพระองค์ท่าน พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินแข็งแรง มั่นคง ก้าวยาวมากเลย
พอแก่แล้วร่างกายก็รวน เราแค่ลองนึกถึงรถยนต์ก็พอ รถยนต์ทำด้วยโลหะ ใช้งานได้ ๒๐ - ๓๐ ปีก็พังบรรลัยไปหลายรอบแล้ว แต่คนเรา ๗๐ - ๘๐ ปียังใช้อยู่ได้ แสดงว่าถ้าวิศวกรสามารถคิดเครื่องยนต์ที่เลียนแบบสภาพร่างกายได้ น่าจะใช้ได้เป็น ๑๐๐ ปี เพราะขนาดรถยนต์เราเปลี่ยนอะไหล่ต่าง ๆ ตามระยะทาง อย่างเช่นว่า หมื่นกิโลเมตร สองหมื่นกิโลเมตร เปลี่ยนตลอดยังพังเลย แต่คนเราแทบจะไม่มีใครเปลี่ยนอะไหล่ ยังอยู่กันถึง ๖๐ - ๘๐ ปี วันก่อนพระเขาแจ้งข่าวว่า หลวงพ่อสนอง วัดสังฆทาน มรณภาพแล้ว ท่านอายุ ๖๘ ปี มีเสียงร้องในที่ประชุมสงฆ์ว่า "ยังหนุ่มอยู่เลย..!" โอ้..อายุ ๖๘ ปีนี่เขายังเห็นว่าหนุ่มอยู่เลย อาตมาว่าตัวเองอายุ ๕๔ ปีนี่ก็แก่เต็มทีแล้วนะ อาจจะเป็นเพราะว่าพระส่วนใหญ่อายุยืนทั้งนั้น มีคนเขาทำวิจัยว่า การที่พระอายุยืน ส่วนหนึ่งเกิดจากการสวดมนต์ ใครสวดมนต์ทำวัตรสม่ำเสมอทุกวัน เขาบอกว่าเป็นการออกกำลังอวัยวะภายใน เวลาเราสวดมนต์ต้องใช้ปอด ใช้อวัยวะข้างใน ก็เลยทำให้อวัยวะภายในแข็งแรงกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลัง ทำให้อายุยืนไปด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครอยากอายุยืนให้สวดมนต์ทุกเช้าเย็นจ้ะ ครั้งละครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ออกเสียงดัง ๆ แบบพระ สวดเผื่อข้างบ้านก็ได้ ถ้าเขายังไม่ขว้างหลังคาบ้านก็แปลว่ายังสวดได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
![]()
"ในเมื่อพระมีแนวโน้มที่จะอายุยืน ญาติโยมก็เลยช่วยกันลดอายุพระ โดยถวายอาหารแต่ละอย่างที่เห็นแล้วสยอง ตอนนี้สถิติของโรงพยาบาลสงฆ์ พระภิกษุสามเณรที่เข้ารักษาตัว อันดับหนึ่งป่วยเป็นเบาหวาน อันดับสองรองลงไปคือไขมันในเลือด อันดับสามเป็นโรคเครียด
สรุปว่า ๓ โรคที่ติดอันดับ มีโรคที่เกิดจากอาหารการกินไปแล้ว ๒ เราต้องมานึกว่าท่านที่ไปใช้บริการโรงพยาบาลสงฆ์เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ เขามักจะพาไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน อาตมาเคยไปโรงพยาบาลวิชัยยุทธ มีพระเข้ารับการรักษาเยอะแยะเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ทำไมบางคนบางช่วงมีโรคภัยไข้เจ็บมาประดัง มีอุบัติเหตุ หรือว่าเจ็บป่วยเข้ามา จะทำให้ลดลงอย่างไร ?
ตอบ : เพราะวาระของอกุศลกรรม คือกรรมชั่วที่เราทำไว้ส่งผลในช่วงนั้น ถ้าตั้งใจจะลดจริง ๆ แล้วมีหลายวิธีด้วยกัน ถ้าทำอย่างโบราณ ก็มีการถวายสังฆทานและให้พระรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ บางคนเรียกว่าน้ำมนต์ ๗ วัด (วัฑฒ์) แต่ไม่ใช่หมายความว่าวิ่งไป ๗ วัด น้ำมนต์ ๗ วัด คือน้ำมนต์ที่เขาเสกด้วยบทอายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก ฯ อันนี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเขาให้ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น เท่ากับว่าตายแล้วเกิดใหม่ บางรายถ้าเห็นว่าหนักมากก็จัดงานศพตัวเอง ทำเหมือนกับว่าตัวเองตายไปแล้ว นิมนต์พระมาสวดมาติกาบังสุกุล สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า ความจริงก็คือบุญใหญ่ อย่างการทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น ก็คือการระลึกถึงมรณานุสติกรรมฐาน ก่อนที่จะทำมีการแนะนำให้รับศีลก่อนก็เป็นสีลานุสติ ถึงเวลาให้นึกถึงพระไว้ ก็กลายเป็นพุทธานุสติ กลายเป็นการปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ เพราะฉะนั้น.. บุญของศีล สมาธิ ปัญญา เป็นบุญใหญ่มาก ช่วยให้เราห่างจากกรรมนั้นไป ไม่ได้หมายความว่าหาย แต่หมายความว่ากรรมสนองเราไม่ได้ชั่วคราว เพราะบุญใหญ่หนุนเราไว้ ถ้าบุญนั้นลดลง กำลังไม่พอเมื่อไร กรรมก็จะตามทันอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 13:59 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
![]()
ฉะนั้น..เราก็ควรจะทำความดีไว้ให้สม่ำเสมอ ปล่อยชีวิตสัตว์ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ต้องไปซื้อที่เขาขายไว้เพื่อฆ่าจริง ๆ ไม่ใช่ซื้อที่เขาเตรียมไว้ให้เราปล่อย ที่เขาเตรียมไว้ให้ปล่อย เราจะได้แค่อานิสงส์ของเมตตาบารมีเท่านั้น
หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกว่า การเข้าพิธีรับยันต์เกราะเพชรถือเป็นการสะเดาะเคราะห์ใหญ่อย่างหนึ่ง เพราะว่าเราต้องสมาทานศีล คือการปฏิบัติในศีล ต้องนั่งภาวนาเพื่อรับยันต์ ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นการสร้างบุญใหญ่ไปในตัว ที่วัดท่าขนุนปีนี้ยังเหลือพิธีรับยันต์เกราะเพชรอีกครั้งหนึ่ง คือวันที่ ๒๐ ตุลาคม ปีนี้ต้องเป่ายันต์ ๓ ครั้ง เลิกงานทีไรอาตมาหงายหลังแผ่ทุกทีเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 14:00 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผู้ใหญ่บ้านเขาโดนยาสั่ง จะตายหรือเปล่า ?
ตอบ : พวกโดนยาสั่งให้ที่ดูเล็บ ถ้าตายเล็บจะกลายเป็นสีม่วงทันทีเลย ถาม : ตายแล้วจะล่องลอยเหมือนสัมภเวสี ? ตอบ : ตายก่อนหมดอายุขัยก็มักจะเป็นสัมภเวสีก่อน ความจริงยาสั่งแก้ง่าย แต่คนมักจะไม่รู้ เขาให้เอารากตำลึง รากฟักข้าว และรากรางจืด โขลกผสมกับเหล้าแล้วกรอกปากเลย ถ้าเขาไม่กินก็บีบจมูกกรอกปากให้ (หัวเราะ) แต่กว่าจะรู้ตัวก็มักจะอาการหนักแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้คาถากันยาพิษยาสั่งไว้เหมือนกัน ท่านบอกว่าให้เสกข้าวกินไปเลย แต่คาถานี้ให้ตั้งขันบูชาครู วันพฤหัสบดีข้างขึ้น ยิ่งข้างขึ้นมากเท่าไรยิ่งดี ใช้บัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก คาถาท่านว่า “พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ ศัตรูทั้งหลายวินาศสันติ พุทธังมัดจิต ธัมมังมัดใจ โรคภัยทั้งหลายวินาศสันติ” ฉะนั้น..ถ้าใช้คาถาอยู่เป็นประจำ ๆ ก็ไม่ต้องไปกลัวยาสั่ง แต่ถ้ากลัวจะเผลอ ไม่สามารถที่จะท่องคาถาได้เป็นประจำทุกวัน ท่านให้เอากระดูกห่านขาวมาทำเป็นตะกรุด ลงด้วยนะโมพุทธายะ แล้วแขวนติดตัวไว้ แต่อย่าไปไล่ฆ่าห่านนะ อาตมาแค่บอกวิธีให้เท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
![]()
ครั้งแรกที่หลวงพ่อท่านถ่ายทอดวิชานี้ให้ พระในวัดโดยเฉพาะวัดหลวงน้ามีชัยบอกว่า "ท่านเล็ก..คุณจะต้องโดนเขาวางยาแน่ เพราะหลวงพ่อไม่เคยถ่ายทอดให้ใคร" แต่ขอโทษ..อาตมาเลิกใช้คาถานี้นานแล้ว ใครอยากจะวางก็ให้เขาวางเถอะ กินแล้วอร่อยดี..!
ในบท กรณียเมตตาสูตร ท่านกล่าวถึงอานิสงส์ ๑๑ ประการของการเจริญเมตตาภาวนา มีอยู่อย่างหนึ่งว่า “นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา” สามารถทำลายได้ทั้งเปลวไฟ ยาพิษ และอาวุธ ตอนแรกอาตมาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพระธุดงค์หลายองค์ท่านโดนงูกัดแล้วไม่ตาย ก็เพราะว่าท่านนั่งแผ่เมตตาให้สัตว์พวกนี้ อาตมามาเข้าใจหลังจากที่ตัวเองโดนงูกัด ว่าพิษงูจะทำปฏิกิริยากับเลือดในร่างกายของเรา ทำให้เราตายได้ แต่พอเราเปลี่ยนไปแผ่เมตตา ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเกลียด ไม่มีความกลัว พิษงูทำปฏิกิริยากับร่างกายเราไม่ได้ ในเมื่อทำปฏิกิริยากับเลือดเราไม่ได้ พิษคงอยู่ได้ไม่นานก็โดนขับออกไปหมด ฉะนั้น..ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ความจริงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเราไม่มีประสบการณ์เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น กว่าจะเข้าใจต้องให้ตัวเองโดนงูกัดสัก ๒ - ๓ ที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-09-2012 เมื่อ 14:04 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมเด็จองค์ปฐมที่วัดท่าซุง ก็คือ สมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ หลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่า อย่าเจาะพระนลาฏเพื่อติดเพชร ปรากฏว่าพักเดียวมีคนจัดการเรียบร้อย หลวงพ่อท่านก็ว่า "เออ..ขนาดสั่งแล้วนะ ยังทำเป็นสั่งขี้มูกไปได้"
หลวงพ่อวัดท่าซุงเปิดให้ลูก ๆ ได้รู้จักสมเด็จองค์ปฐม ได้ร่วมกันสร้างพระรูปของพระองค์ท่าน สร้างยังไม่เรียบร้อยดีท่านก็มรณภาพก่อน ปัจจุบันนี้เขาสร้างสมเด็จองค์ปฐมกันเป็นว่าเล่น สมัยก่อนเขาไม่รู้จัก พอรู้จักแล้วสร้างกันเสียยกใหญ่ ตอนท่านสร้างพระองค์ที่ ๑๐ กับพระองค์ที่ ๑๑ มีโยมถวายทองคำเพื่อร่วมหล่อ ๒๒ กิโลกรัม พอมาสร้างสมเด็จองค์ปฐม มีโยมถวายทองร่วมหล่อ ๗๘ กิโลกรัม แต่ว่านั่นเป็นเฉพาะทอง ส่วนที่เป็นหัวแหวน เป็นเพชร เป็นพลอย ท่านคัดออกมาบรรจุ ท่านบอกว่าถ้าใส่เบ้าหลอมแล้วระเบิดหมด เสียดายของ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:41 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
![]()
"อาตมามีโครงการสร้างพระทองคำ ๑ องค์ แต่รอให้อายุ ๖๐ ปีก่อน ถ้าอยู่ไม่ถึงก็พับโครงการไป เพราะว่าพระที่บวชใหม่ปีนี้ ท่านมีความสามารถในการออกแบบเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นศิลปวัตถุแบบไทย ๆ อาตมาก็เลยให้ท่านออกแบบบุษบกสำหรับตั้งพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว จะให้ตั้งถาวรเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ใช่ปีหนึ่งเอาออกมาแค่ ๓ - ๔ ครั้ง ตั้งใจว่าพอทำศาลาใหม่เสร็จ จะตั้งไว้ด้านข้างของพระประธาน แต่ถ้าตั้งบุษบกไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็ว่าง จึงตั้งใจว่าอีกข้างหนึ่งจะตั้งพระทองคำแทน
ค่อย ๆ เก็บทองด้วยนะ ถึงเวลาจะได้ช่วยกันหล่อ อาตมาก็สะสมไว้ได้หลายบาทแล้ว ช่างบอกว่าทอง ๓๐ กิโลกรัมก็พอ ...(หัวเราะ)... ทองคำกิโลกรัมหนึ่ง ๖๐ กว่าบาท" ถาม : เป็นพระยืนหรือครับ ? ตอบ : พระพุทธรูปยืนปางลีลา ถ้ามาลักษณะนั้นสำหรับอาตมาคือหลวงปู่พระพุทธกัสสปะ เพราะตกลงกันไว้ว่า ถ้าท่านเสด็จมาต้องมาในลักษณะนั้น ไม่อย่างนั้นจะจำท่านไม่ได้ พระองค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่เลิศด้วยลาภ ในเมื่อลาภสักการะมากก็ตั้งให้พวกเราบูชาขอพระท่านกันเอาเอง ถ้าอาตมาอยู่ถึง ๖๐ ปี หล่อแน่ ๆ ตอนนี้เก็บทองกันไปก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 26-02-2019 เมื่อ 12:03 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อยากให้ลูกเลิกซนครับ
ตอบ : ถ้าเลิกซน ลูกจะไม่ได้เรื่อง ฉะนั้น..ต้องให้ซนต่อไป เด็ก ๆ ต้องซนจ้ะ เป็นธรรมชาติของเขา ถาม : ลูกไอ ห้ามกินอะไรครับ ? ตอบ : ถ้าไอห้ามเอาพัดลมเป่าใส่ตัว ถาม : เรื่องกิน ? ตอบ : กินอะไรก็ไม่หนักเท่าเป่าพัดลมใส่ตัว เพราะทำให้ปอดชื้นง่ายแล้วตายเร็ว ส่วนใหญ่เด็กรุ่นใหม่ ๆ ชอบเปิดพัดลมจี้ตัวเลย ถาม : กินกล้วยมาก ๆ แล้วร่างกายเย็น ? ตอบ : เกี่ยวอยู่ แต่ไม่หนักเท่าพัดลม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:43 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตะเข็บเข้าบ้านแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : รื้อบ้าน..ไม่มีบ้านมันก็ไม่เข้าแล้ว..! ก็อย่าให้มีพวกหญ้าเน่า อย่างหญ้าที่เราตัดแล้วหมกไว้นั่นแหละ ตะเข็บชอบไปวางไข่ ฉะนั้น..ตัดหญ้าแล้วโกยทิ้งไปเลย พวกใบไม้ใบหญ้าที่หมก ๆ ไว้ตะเข็บชอบนักแล พอไม่มีที่อยู่เขาก็เลิกมาแล้ว โบราณเขาบอกว่าอย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ พวกขยะมูลฝอยเป็นรังตะเข็บเลย เป็นที่อยู่ของเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:43 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อครู่อาตมานั่งเตรียมการสอนปริญญาตรีล่วงหน้า ๒ อาทิตย์และออกข้อสอบเสร็จแล้ว เทอมนี้ก็สบาย เอาไว้เทอมหน้าไปตกระกำลำบากใหม่ เทอมนี้ต้องสอนวิชาใหม่ ทำให้ต้องเตรียมการสอนอาทิตย์ต่ออาทิตย์ เทอมหน้าจะต้องสอนวิชาวิสุทธิมรรค มีแต่วิชาที่ชาวบ้านเขาไม่อยากสอนกันทั้งนั้น
อาจารย์ที่เคยสอนท่านบอกว่า “เข้าไม่ถึง..อธิบายไปอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ตัวเองยังไม่เข้าใจ แล้วลูกศิษย์จะรู้เรื่องได้อย่างไร ? ” แล้วก็สรุปว่า “พระครูเล็กรับไปหน่อยนะครับ” อาตมาซวยทุกที อยากจะบอกว่าอาตมาเป็นคนเหลือเลือก อะไรที่ชาวบ้านเขาเลือกเหลือแล้วเขาก็จะยกให้ ความจริงเป็นของที่ดีที่สุดนะ แต่คนไม่เห็นคุณค่า ถ้าอาตมาไม่สอนวิชานี้ ก็จะมีคนอื่นกัดฟันสอน แล้วก็นั่งหาวทั้งอาจารย์และลูกศิษย์เพราะไม่รู้เรื่องทั้งคู่..! วิสุทธิมรรคมี สีลนิเทศ สมาธินิเทศ ปัญญานิเทศ ๓ เล่มหนา ๆ เลย เฉพาะศีลอย่างเดียวเขาบอกว่าศีลมีกี่รูปแบบ ศีลอย่างเดียวก็ท่องกันหูดับตับไหม้แล้ว ความจริงไม่ใช่สิ่งที่จะต้องไปท่องกัน เพราะว่าศีลเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้วเขาหลงประเด็นไปท่องกัน แบบเดียวกับ ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ ท่านสอนพระอภิธรรมปิฎก ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งติด I อาจารย์ท่านก็ให้มาซ่อม ซ่อมเท่าไรก็ไม่ผ่าน เพราะลูกศิษย์ไม่สนใจที่จะเรียน ท้ายสุดท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน พระคุณท่านเข้าไปอยู่ในโบสถ์ อีก ๒ ชั่วโมงค่อยออกมา จะอยู่อย่างไรก็เป็นเรื่องของพระคุณท่าน ถ้าอยู่ในโบสถ์ได้ครบ ๒ ชั่วโมงเดี๋ยวผมจะแก้ I ให้” แล้วท่านก็ไปแอบดู ท่านบอกว่า “โอ้โห..ท่านเดินพล่านไปหมด ผมไม่นึกเลยว่าพระระดับเจ้าอาวาส ระดับเจ้าคณะตำบล กระทั่งสมาธิสักนิดหนึ่งยังไม่มีเลย” เป็นอาตมาอยู่ในโบสถ์ ๒ ชั่วโมงหวานหมูแน่ จะนั่งจนท่านอาจารย์ให้ A เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:46 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
![]()
“วิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ” แต่ก็ต้องเรียน ในเมื่อคนเขาเชื่อกันแค่นั้น ทุกวันนี้ที่อาตมาสอนอยู่ ได้แต่เอาไปเหน็บเอาไว้ท้ายชั่วโมงให้เขาหน่อยหนึ่งว่าควรจะได้อะไร ควรจะทำอะไรจริง ๆ บางครั้งก็ยกตัวอย่างทางวัดท่าขนุนให้ฟัง ปรากฏว่าลูกศิษย์ฟังแล้วแทนที่จะเกิดกำลังใจปฏิบัติ ก็คงนึกในใจว่าวัดนี้กูจะไม่เฉียดไปใกล้เลย..! ทั้ง ๆ ที่วัดท่าขนุนก็ไม่ได้ปฏิบัติเข้มงวดเคร่งครัดอะไรนัก
วันก่อนอาตมาไปหาเนื้อหาเพื่ออบรมเด็ก ไปเจอเนื้อหาประเภทสะกิดใจว่า “คุณรับปริญญา แล้วคุณก็ไปเลี้ยงข้าวเพื่อนฉลองกัน แต่คุณไม่ได้คิดที่จะเลี้ยงคนที่ส่งคุณจนจบเลยหรือ ?” อาตมาได้ยินก็คิดว่าใช่ ส่วนใหญ่เขาฉลองกับเพื่อน ถ้าเลี้ยงที่บ้านก็พ่อแม่จ่ายอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:52 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมเพิ่งฟังเสียงเทปพระองค์ที่ ๑๐ ได้ยินเสียงพระอาจารย์ด้วย ?
ตอบ : อาจจะเป็นคนเสียงคล้ายก็ได้ ต้องบอกว่าเป็นประสบการณ์ล้ำค่าครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่คิดว่าจะได้พบก็ได้พบ ไม่คิดว่าจะได้เจอก็ได้เจอ เจอแล้วยังโง่อีกคิดว่าไม่ใช่ ถาม : ท่านมาเป็นคนจริง ๆ หรือครับ ? ตอบ : บอกไม่ถูก นั่งอยู่ใกล้ ๆ ท่าน มองแล้วมองอีก เป็นไปได้หรือ ? คนตายมาสองพันกว่าปีแล้วมานั่งอยู่ใกล้ ๆ เรา ท่านหันขวับมาบอกว่า “ถ้าไม่แน่ใจ จะคลำดูก็ได้” คิดอะไรไว้ท่านพูดมาหมดเลย ในเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้ว มีหรือลูกลิงอย่างอาตมาจะกลัว ว่าแล้วก็คลำเลย..! ถาม : คลำแล้วพูดไม่ถูกหรือคะ ? ตอบ : พูดไม่ถูก คลำดูก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ประสบการณ์โดนผีหลอกมาอย่างหนักนี่ยังไม่เชื่อนะ เพราะเวลาโดนผีหลอกอาตมาจะสู้อย่างเดียว พอจับถูกตัวเขา เนื้อเขาก็เหมือนกับเนื้อเรานี่แหละ แต่ถ้าเราตั้งใจมองจะมองทะลุได้ เป็นอะไรที่แปลกมาก เวลาเขาจับเรากดติดพื้น มือเขาก็กดมือเราอยู่ แต่ถ้าเราตั้งใจเพ่งจะเห็นทะลุไปถึงมือตัวเองด้วย หรือไม่ถ้ามองตัวเขาแบบตั้งใจมองจะเห็นของข้างหลังด้วย อาตมาก็แปลกใจว่าทำไมเขาเตะเราก็เจ็บ จับเราก็ได้ คราวนี้พอเจออย่างนั้นเข้าก็ต้องเชื่อแล้ว ถาม : ถ้าเราเตะผี ? ตอบ : พวกนี้ปรับเปลี่ยนเร็ว หลอกอาตมามาเยอะแล้ว อาตมาเตะนาฬิกาพังไปทั้งเรือน ตอนจับเราจับเขาได้ แต่ตอนเตะเราเตะไม่ถูก ทะลุผ่านไปเฉย ๆ เขาแกล้งเราได้ขนาดนั้น ทำเอานาฬิกาปลุกจากฝรั่งเศสอย่างดีพังกระจายทั้งเครื่องเลย..! ถาม : มองทะลุได้ ? ตอบ : ถ้าเราไม่สนใจก็หลับตาไปเลย หรือไม่ก็ทำเมิน ๆ จะเห็นชัด ๆ เลย แต่ถ้าตั้งใจมองจะมองเห็นของข้างหลังด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องนี้ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันตรงกันหมด อาตมาไปกราบสนทนาขอความรู้จากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน พอถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสร็จเรียบร้อย คนอื่นไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร อาตมาก็กราบเรียนถามท่านว่า “กราบขออนุญาตครับหลวงพ่อ หลวงพ่อเคยโดนผีหลอกไหมครับ ? ”
ท่านนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วบอกว่า “เดี๋ยว..เรื่องนี้เกี่ยวกับอุตริมนุสธรรม” อาตมากราบเรียนว่า “ปรารภเพื่อจะได้เป็นที่ทราบกันครับ ไม่ได้คุยอวด ไม่น่าจะเป็นอุตริมนุสธรรม” ท่านก็บอกว่า “อืม..ถ้าอย่างนั้นผมจะเล่าให้ฟัง” แล้วท่านก็ว่าไปเรื่อย ทิ้งท้ายว่า “ผมไม่มั่นใจหรอกนะว่าเป็นผีหรือเปล่า ? ” แต่ที่ท่านเล่ามานั่นผีทั้งนั้นแหละ..! มีเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านเดินจงกรมอยู่ท้ายวัด เกือบ ๆ จะถึงป่าช้า ปรากฏว่าเห็นโยมคนหนึ่งเดินมา ตอนแรกท่านคิดว่าเป็นคน แต่พอเขาเดินผ่านไปแล้วเห็นหลอดไฟอยู่ข้างหลังเขาด้วย ท่านก็เลยมั่นใจว่าเป็นผี พอเข้ามาใกล้ เห็นชัดยิ่งมั่นใจใหญ่ เพราะเพิ่งจะเผาศพเขาไปเมื่อเย็นนี้เอง ถาม : ตอนที่เป็นคนเขาทำอะไรไว้คะ ? ตอบ : ก็ต้องถามเขาเอง เอาอย่างพระโมคคัลลานะ “ดูก่อนเทพนารี เมื่อตอนมีชีวิตอยู่เธอได้สร้างกุศลอันใดไว้หรือ ? ”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2012 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|