กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-01-2012, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,888 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕

ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตนเองจ้ะ เพียงแต่ว่าตั้งตัวให้ตรงไว้ กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้าของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราชอบและเคยทำมา ใครเคยทำของเก่ามาอย่างไรให้ปฏิบัติตามนั้น เพราะว่าถ้าเราเปลี่ยนใหม่อยู่เรื่อย ๆ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็มีน้อย เนื่องจากการปฏิบัติไม่ต่อเนื่องกัน

สำหรับวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานวันแรกและครั้งแรกของปีใหม่นี้ ขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง เราก็มักจะมีความตั้งใจว่า จะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ อย่างเช่นบรรดาคนทั่ว ๆ ไป ก็อาจจะคิดว่า ปีใหม่เราจะเลิกกินเหล้า บางท่านก็ว่าปีใหม่จะเลิกเล่นหวย เป็นต้น นี่คือความตั้งใจของคนทั่วไป

ขณะเดียวกันนักปฏิบัติอย่างพวกเราก็อาจจะตั้งกำลังใจไว้ว่า ปีใหม่นี้เราจะตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ ท่านใดที่รักษาศีลบริสุทธิ์อยู่แล้วก็อาจจะตั้งความหวังว่า เราจะไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาละเมิดศีล และจะไม่ยินดีที่เห็นคนอื่นเขาละเมิดศีล หรือบางท่านตั้งเป้าไว้ว่า เราจะต้องทำสมาธิให้ทรงฌานให้ได้ในระดับใดระดับหนึ่ง เป็นต้น

เพียงแต่ว่าความตั้งใจของเรานั้น มักจะล้มเหลวเสียเกือบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นญาติโยมทั่วไปหรือว่านักปฏิบัติธรรม การที่เราล้มเหลวนั้น ต้องมาดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไร สมมติว่าเราตั้งใจว่า จะภาวนาให้ทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งให้ได้ภายในปีนี้ แต่ที่ล้มเหลวไม่เป็นไปตามนั้นก็เพราะว่า การปฏิบัติของเราไม่ต่อเนื่องตามกัน ทำแล้วมีเวลาเว้นว่างในแต่ละวันมากจนเกินไป ไม่ได้ประคับประคองกำลังใจของตนเองให้อยู่กับการภาวนาให้ต่อเนื่อง นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะทรงฌานตามความตั้งใจได้

ลำดับต่อไปก็คือความบกพร่องในบารมี เนื่องจากกำลังใจของเราไม่เข้มแข็งเด็ดขาดพอ แปลว่าขาดสัจบารมี คือความจริงจังจริงใจของเรา ไม่ได้เข้มแข็งเด็ดขาด มุ่งมั่นอย่างที่ต้องการ ทำให้เมื่อถึงเวลาก็คลายจากความตั้งใจนั้น ๆ

ขาดอธิษฐานบารมี คือความมุ่งมั่นปักมั่นต่อเป้าหมายของตนเอง ในเมื่อจุดนี้บกพร่อง พอระยะเวลาทอดยาวไปนิดหนึ่ง ความตั้งใจนั้นก็จะเลือนหายไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-01-2012 เมื่อ 14:17
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 10-01-2012, 21:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,888 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขาดวิริยบารมี คือความพากเพียรไม่เพียงพอ ลำบากหน่อยหนึ่งก็ท้อเสียแล้ว หลายท่านที่บำเพ็ญในศีล สมาธิ ปัญญามา พอความดีเริ่มทรงตัว กิเลสก็อยู่ไม่ได้ เพราะว่าสภาพจิตของเราเหมือนกับเก้าอี้ตัวเดียว ถ้าความดีเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วเข้ามานั่งเก้าอี้ตัวนั้นอยู่ ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน

ในเมื่อเราเอาความดีใน ศีล สมาธิ ปัญญา เข้ามาในจิตใจของเรา กิเลสที่เป็นความชั่วต่าง ๆ อันเป็นต้นกำเนิดของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็อยู่ไม่ได้ ในเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องดิ้นรนประท้วง

การทำความดีของเรานั้น ถ้าหากว่าเรียกกันตามประสาพระก็คือการบำเพ็ญตบะ คำว่า ตบะ ก็คือ ความร้อนที่จะเผาผลาญกิเลสให้สิ้นไป ในเมื่อเกิดตบะขึ้นมาเผาผลาญกิเลส ทำให้กิเลสเดือดร้อนก็ดิ้นรน แสดงออกในลักษณะที่ไม่ยินดี ไม่พอใจทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะอยู่ในลักษณะที่หลอกลวงเราว่าจะตายแล้ว เมื่อเป็นดังนั้น เราก็มักจะไปรามือให้กิเลส เพราะคิดว่าเราจะตายแล้ว แต่ความจริงนั่นเป็นอาการที่กิเลสจะตายต่างหาก

ในเมื่อขึ้นปีใหม่แต่ละครั้ง เรามีความตั้งใจว่าจะทำอะไรแล้วมักจะล้มเหลว ก็ต้องรู้จักทบทวนดูว่าเราบกพร่องตรงไหน จึงทำไม่สำเร็จตามที่ต้องการ โดยใช้อิทธิบาท ๔

อิทธิบาท คือ คุณเครื่องอันยังความสำเร็จมาให้ มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ ฉันทะ ยินดีและพอใจที่จะกระทำให้สิ่งนั้น ๆ ถ้าหากว่ายินดีที่จะทำ เราก็จะทำได้ทนทำได้นาน แต่หากว่าเราไม่ยินดีที่จะทำ ทำเพราะอยากดี ถึงเวลาความดียังไม่ตอบกลับมา เราก็อาจจะท้อถอยหมดกำลังใจเสียก่อน

ข้อที่สองคือวิริยะ พากเพียรทำไปไม่ย่อท้อ ยากลำบากแค่ไหนก็จะต้องต่อสู้ฟันฝ่าไปให้ได้ บุคคลอื่นทำสำเร็จมามากต่อมากแล้ว เขาก็มี ๑๐ นิ้วเหมือนกับเรา มีอาการ ๓๒ เหมือนกับเรา เขาทำได้สำเร็จ เราก็ต้องทำได้สำเร็จได้เช่นกัน ถ้าเขาทำสำเร็จแล้วเราทำได้ไม่สำเร็จ ก็ต้องดูว่าเราบกพร่องตรงไหน โดยเฉพาะถ้าความเพียรไม่เพียงพอ โอกาสที่จะกระทำสิ่งใดสำเร็จก็เป็นไปโดยยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 02:54
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-01-2012, 12:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,888 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ต่อไปก็คือจิตตะ กำลังใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่คลอนแคลนเด็ดขาด จนกว่าจะสำเร็จสมความประสงค์ของตน ถ้าหากว่ากำลังใจของเรามุ่งมั่น สมมติว่าตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติสมาธิภาวนา เพื่อทรงฌานระดับใดระดับหนึ่งให้ได้ แล้วเราก็มุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตาทำไป

ไม่ว่าจะมีสิ่งมาล่อใจน่าสนใจขนาดไหนเราก็ไม่ไปใส่ใจ กิเลสจะชวนเราไปดูหนังดูละคร จะไปเที่ยวจะไปกินที่ไหนเราไม่ไป เพราะกำลังใจของเราปักมั่นอยู่กับเป้าหมายว่าต้องทำให้สำเร็จ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ โอกาสที่เราจะกระทำได้สำเร็จก็มีมาก

ข้อสุดท้ายคือวิมังสา ต้องไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอว่า เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะทำอะไร ตอนนี้เราทำไปถึงไหน สิ่งที่ทำได้มีมากน้อยเท่าไร ปัจจุบันนี้เรายังมุ่งตรงต่อเป้าหมายนั้นหรือไม่ เหลือระยะหรือว่าเหลือสิ่งที่จะต้องทำอีกมากน้อยเท่าไร ถ้ามีการทบทวนตนเองอย่างนี้ไว้เสมอ เราก็จะไม่หลงทิศ หลงทาง หลงเป้าหมาย

เมื่อมีความพอใจที่จะทำ มีความพากเพียรที่จะทำ จิตใจปักมั่นไม่ย่อท้อ ทบทวนอยู่เสมอว่าทำอะไร เพื่ออะไร ทำไปถึงไหน เหลืออีกมากน้อยเท่าไรดังนี้ โอกาสที่ความตั้งใจรับปีใหม่ของแต่ละคนก็สามารถที่จะสำเร็จได้สมประสงค์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความตั้งใจของเราที่ไม่สำเร็จนั้น เกิดจากการขาดหลักธรรมสำคัญคืออิทธิบาท ๔ และโดยเฉพาะว่าเมื่อทำไปแล้ว ไม่ได้รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง ก็คือขาดตัวจิตตะที่ปักมั่นต่อเป้าหมาย ขาดตัววิริยะ คือความพากเพียรที่จะกระทำไปโดยไม่ย่อท้อ

ดังนั้นในวันนี้ ฉวยโอกาสที่เรามาปฏิบัติธรรมครั้งแรกในปีใหม่ ปี ๒๕๕๕ นี้ ถ้าหากว่าทุกท่านตั้งเป้าหมายในชีวิต ว่าปีนี้เราจะทำอะไรให้สำเร็จ ก็จะได้ถือโอกาสนี้ยึดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นแนวทาง ว่าเราต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของตนได้สมกับความตั้งใจ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ได้ สิ่งอื่น ๆ ที่ท่านทั้งหลายได้ตั้งความหวังเอาไว้ ก็จะพลอยสำเร็จไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 13:13
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-01-2012, 12:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,888 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเราสามารถกระทำได้สำเร็จสมความปรารถนาบ่อย ๆ เข้า ปีติก็คือความยินดีอิ่มเอิบใจที่ประสบความสำเร็จในการกระทำความดีนั้น ๆ ก็จะเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา ทำให้เราไม่เบื่อไม่หน่ายในการกระทำความดี เพราะว่าทำแล้วเห็นผลจริง ๆ

ดังนั้น..ในปีใหม่นี้ ญาติโยมทั้งหลายไม่ต้องไปรอของขวัญปีใหม่จากใคร เราสามารถให้ของขวัญปีใหม่แก่ตนเองได้ และเป็นของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุด ก็คือการตั้งเป้าหมายว่าจะปฏิบัติ ในศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง ของขวัญปีใหม่ชิ้นนี้ สามารถนำเราหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์นี้อีกต่อไป จึงขอให้ทุกคนตั้งเป้าเอาไว้สำหรับปีใหม่ของเรา เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับการปฏิบัติตลอดปี ๒๕๕๕ นี้

ลำดับต่อไปนี้ ให้ทุกคนดูลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำภาวนา อยู่กับภาพพระหรือการพิจารณาของเราตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-01-2012 เมื่อ 13:14
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 04-02-2012, 14:52
ชินเชาวน์'s Avatar
ชินเชาวน์ ชินเชาวน์ is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Oct 2008
ข้อความ: 258
ได้ให้อนุโมทนา: 13,956
ได้รับอนุโมทนา 50,388 ครั้ง ใน 1,282 โพสต์
ชินเชาวน์ is on a distinguished road
Default

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-01-06

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ชินเชาวน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว