|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#61
|
||||
|
||||
![]()
"ปี ๒๕๔๗ ที่ทางใต้มีเรื่องกันแรก ๆ ตอนนั้นออกนอกที่อยู่ไม่ได้ พอออกมาก็มีมอเตอร์ไซค์รีบปาดมาจอดถาม “ไปไหนครับ ? จะไปส่ง” แต่พอตอนหลังที่เขายิงกระทั่งพระด้วย ไม่มีมอเตอร์ไซค์มารับอีกเลย ตอนที่ยิงแต่ทหารกับตำรวจ เขารีบมารับ พอพระรวมอยู่ในนั้นด้วย..ก็เลิกรับ เพราะกลายเป็นเป้าเด่น มีทั้งทหาร มีทั้งตำรวจ มีทั้งพระ
อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าอยู่ทุกวัน ตอนที่เจ้าอ้อย(ศัลยา) อยู่โรงพยาบาล อาตมาก็ไปวันละ ๓ เที่ยว ไปให้เขาเห็นว่าเราไป เช้าเที่ยวหนึ่ง กลางวันเที่ยวหนึ่ง เย็นเที่ยวหนึ่ง กะว่าที่โดนง่ายที่สุดก็รอบค่ำ แต่บังเอิญว่าการที่ได้รับฝึกมาเป็นอย่างดี มียุทธวิธีทางทหาร ที่ทำให้คนที่คิดจะเข้ามาทำร้ายทำได้ยากมาก คือไม่ว่าอย่างไรถ้าเขามาเราจะเห็นก่อน ต้องได้รับการฝึกมามาก ถึงจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร อาตมาก็ไปเดินล่อเป้าได้ทุกวัน เดินให้เขาคลั่งเล่นว่า ไอ้นี่ทำไมเดินแล้วยิงกบาลมันไม่ได้สักที..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2011 เมื่อ 08:26 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#62
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ทางมหาเถรสมาคมกำลังเป็นจุดศูนย์กลางในการช่วยเหลือวัดที่ประสบภัยน้ำท่วม แต่ทางคณะสงฆ์ของเรามีโครงการช่วยเหลือกันเองอย่างนี้มานานแล้ว
เจ้าอาวาสทุกรูปจะโดนหักเงินเดือนในเดือนมกราคมของทุกปี เพื่อส่งเข้ากองทุนวัดช่วยวัด วัดไหนที่ลำบากเดือดร้อนก็สามารถมาขอเงินกองทุนนี้ไปใช้ได้ ตอนนี้โดนหัก ๒ เดือน สรุปว่าพระทำงานหนักกว่าโยม มีเงินเดือนแค่เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท แต่โดนหักไป ๒ เดือน เพราะว่าเดือนที่สองเป็นกองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ กองทุนเดือนที่สองนี่จัดตั้งเป็นกองทุนของทุกจังหวัด แต่ว่าต้องส่งตัวเลขไปให้ส่วนกลางด้วย หากชาวพุทธในแต่ละจังหวัดเดือดร้อน ต้องการจะกู้เงิน ก็สามารถมากู้เงินจากกองทุนนี้ได้ โดยคิดดอกเบี้ยต่ำมาก ๆ เลย กลายเป็นว่าพระเราทั้ง ๆ ที่รายได้อื่น ๆ ก็แทบจะไม่มี แต่ต้องเสียสละตัวเองอย่างมหาศาล กองทุนแรกคือ กองทุนวัดช่วยวัด กองทุนที่สองคือ กองทุนช่วยเหลือชาวพุทธ กำลังรอว่าเมื่อไรกองทุนที่สามจะมา เพราะว่าตอนนี้มีการตั้งสถานีโทรทัศน์ของพระพุทธศาสนา การดำเนินการก็ค่อนข้างจะจำกัดด้วยงบประมาณ วัดที่เป็นที่ตั้งก็คือวัดพิชยญาติการามหรือวัดพิชัยญาติ ของหลวงพ่อพระพรหมโมลี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก่อนหน้านี้หลวงพ่อพระพรหมโมลีท่านบอกว่า ตอนที่แม่ชีทศพรอยู่เราจะทำอะไรก็เหมือนกับเนรมิตได้ แม่ชีเขาบอกลูกศิษย์พักเดียวเท่านั้นก็ได้แล้ว แต่พอแม่ชีโดนคดีต้องออกจากวัดไป เราจะทำอะไรดูหนักหนาสาหัสไปหมด การงานการเงินไม่คล่องตัวเหมือนแม่ชี เพราะแม่ชีมีคนไปพึ่งพาเยอะมาก พอเอ่ยปากทำบุญเรื่องนั้นเรื่องนี้ บอกนิดเดียวก็ได้เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 21-05-2019 เมื่อ 21:38 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#63
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "อัมพะ คือมะม่วง วน คือป่า ดังนั้น..อัมพวัน คือ ป่ามะม่วง วัดอัมพวันเป็นวัดในสมัยพุทธกาล
เวฬุวัน คือป่าไผ่ ลัฏฐิวันคือป่าตาล เชตวัน คือป่าของเจ้าเชต อนาถบิณฑิกเศรษฐีไปขอซื้อที่จากเชตราชกุมาร เนื่องจากเชตราชกุมารมีเชื้อสายกษัตริย์ ฐานะไม่ได้ยากจน ก็ไม่คิดขาย แต่ถ้าจะซื้อที่ก็ให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีเอาเงินมาปูให้เต็มพื้นที่ ไม่ใช่ปูเแบบธรรมดานะ ที่ไหนเป็นหลุมเป็นบ่อก็เอาเงินมาเกลี่ยให้เรียบเสมอกัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีสั่งคนใช้ให้เอาเกวียนทุกเล่มที่มีไปขนเงินในคลัง แล้วมาปูให้เต็มพื้น ปรากฏว่าเหลือพื้นที่ตรงหน้าประตู เชตราชกุมารดูแล้วคิดว่า เงินเยอะขนาดนี้คงไม่มีปัญญาใช้หมดแล้ว เหลือที่ตรงนี้ยกให้ฟรีก็แล้วกัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ใจป้ำ ในเมื่อให้พื้นที่ตรงนี้ฟรีก็เลยสร้างซุ้มประตูและตั้งชื่อว่าเชตวัน วัดเชตวัน คือวัดที่เป็นป่าของเชตกุมาร สมัยนี้มีใครซื้อที่ด้วยวิธีนี้บ้างไหม ? เอาเงินปูให้เต็มพื้นที่ถึงจะได้ที่ไปเป็นของตนเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2011 เมื่อ 10:08 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#64
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรที่แปลกไปจากธรรมชาติ เขาจะถือว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้อาตมามีไข่อยู่ฟองหนึ่ง เนื้อในเหมือนมรกต น้ำหนักเบาเหมือนเป็นอำพัน แต่อำพันสีเหลือง นี่เขียวปี๋เลย ได้มาจากฝั่งพม่า อยากจะให้ช่างแกะสลักเป็นรูปพระ
ตอนไปพม่าผีเขามาบอกว่า เขาเฝ้าแก้วดวงนี้อยู่นานเต็มทีแล้ว อยากจะไปเกิด ช่วย ๆ ไปเอามาหน่อย อาตมาก็ถามว่าอยู่ที่ไหน ผีบอกว่าอยู่ข้าง ๆ กอไผ่ริมน้ำ อาตมาก็ถามว่าแล้วจะไปเจอได้อย่างไร เพราะเวลาน้ำขึ้นก็ท่วมกอไผ่กอนั้น เขาบอกว่าถ้ามาแล้วเขาจะแสดงไว้ให้ชัด ๆ เลย พอไปถึงก็มีจริง ๆ วางเด่น ๆ คลุกขี้โคลนอยู่ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นมรกต นึกว่าเป็นหินรูปธรรมดาแบบหินน้ำตกทั่วไป แต่พอมาล้างทำความสะอาดปรากฏว่ากระทบแสงแล้วเขียวปี๋ พอเอาไฟส่องดูเห็นเนื้อใสเลย หลายคนคาดว่าน่าจะเป็นไข่แก้วของพญาจระเข้ คาดว่าช่างที่ฝีมือดีที่สุดที่มีอยู่ตอนนี้ ค่าแกะคงจะไม่หนีสามหมื่นห้าถึงห้าหมื่น น่าจะได้พระหน้าตักสัก ๓ เซนติเมตร แต่เสียดายเศษที่เหลือจากการแกะ กำลังคิดว่าจะเอามาทำอะไรดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-10-2011 เมื่อ 16:10 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#65
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมบนลูกชายบวชเณรไว้ครับ จะบวชนานเท่าไรดีครับ ? ตอนบนไม่ได้กำหนดไว้ครับ
ตอบ : ถ้าไม่ได้กำหนดวันไว้ บวชนานเท่าไรก็อยู่ที่เราจ้ะ บวชเสร็จก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล บอกว่าได้บวชให้เรียบร้อยแล้ว จะสึกเลยก็ได้ ส่วนที่เขาบวชเช้าสึกเย็นนั้นทำกันบ่อย โดยเฉพาะที่บวชหน้าไฟ คือจะเผาศพบ่ายโมง เขาก็บวชตอนเที่ยง พอเผาศพเสร็จ บ่าย ๓ โมงก็สึกแล้ว ถ้าไม่ได้จำกัดเวลาไว้ จะบวชยาวบวชสั้นก็อยู่ที่เรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2011 เมื่อ 17:08 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#66
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : หลานนอนกัดฟันค่ะ ?
ตอบ : โบราณเขาว่าให้เอามะพร้าวล้างหน้าผีมาให้กิน ถาม : เนื้อหรือน้ำคะ ? ตอบ : เนื้อมะพร้าว เพราะน้ำเขาใช้ล้างหน้าไปแล้ว ที่เด็กนอนกัดฟันเป็นเพราะเด็กเครียด แม่อาจจะเป็นตัวกระจายความเครียดให้ลูกให้หลาน เวลาผู้ใหญ่เครียดก็ไปทำให้เด็กเครียดด้วย ก็เลยมักจะแก้ไขไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2011 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#67
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ให้ลูกชายมาบวชกับท่านได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่..แต่อาตมายังไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์นะจ๊ะ ต้องไปบวชกับพระอุปัชฌาย์ก่อน บวชแล้วค่อยขอท่านไปอยู่ด้วยกันที่วัดท่าขนุน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-10-2011 เมื่อ 17:10 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#68
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ที่โรงงานมีการตั้งตี่จู้เอี๊ยและตั้งศาลพระพรหมครับ หลังจากตั้งแล้วกิจการไม่ค่อยดี มีคนทักว่าเทพสององค์นี้ไม่ถูกกัน
ตอบ: คนที่พูดแบบนี้เอากิเลสมนุษย์ไปเทียบ ตัวเองระยำเองแล้วไปคิดว่าเทวดาไม่ถูกกัน..! เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ เทวดาที่ไหนเขาจะทะเลาะกัน ? การตั้งศาลพระพรหม ถ้าไม่รู้ว่าตรงนั้นท่านดูแลรักษาอยู่จริง ๆ..อย่าไปตั้ง เพราะเท่ากับว่าเราไปใช้ผู้ใหญ่ เดี๋ยวจะซวย..! โดยเฉพาะถ้าตั้งผิดทิศจะเป็นเรื่องเลย เขาให้ตั้งทิศใต้หรือทิศตะวันตกของตัวอาคาร โรงงานคุณอยู่ตรงไหนก็เอาตัวโรงงานเป็นหลัก ไปดูว่าตั้งตรงทิศหรือไม่ ? ถ้าผิดทิศก็ไปทำพิธีย้ายเสียใหม่ ถาม : ต้องให้คนมาทำพิธีย้ายไหมครับ ? ตอบ : ย้ายเองก็ได้ เตรียมศาลใหม่ไว้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วจุดธูปบอกกล่าวท่านว่า ขออนุญาตย้ายมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง ขอให้ท่านช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์และสร้างความเจริญให้กับเราด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2011 เมื่อ 16:57 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#69
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ความเชื่อของคนโบราณที่ว่า ถ้านกแสกไปเกาะที่บ้านไหน บ้านนั้นจะมีคนตายหรือจะมีเรื่องอวมงคลเกิดขึ้น จริงหรือไม่ครับ ?
ตอบ : แล้วบ้านไหนที่ไม่มีคนตายบ้าง ? ลองทดสอบได้ คนไหนใกล้ตายเราก็ไปนั่งรอดูว่าจะมีนกแสกมาหรือไม่ ? จริง ๆ แล้วนกแสกบินไปทุกที่ยกเว้นภาคอีสาน ถ้านกแสกไปภาคอีสาน คนยังไม่ทันจะตายหรอก นกมักจะตายก่อนทุกที กลายเป็นลาบ..! คนอีสานไม่ค่อยจะมีอะไรกิน ถ้าได้ยินเสียงนกแสกนี่วิ่งเข้าหาเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2011 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#70
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาว่าพุทโธ กำหนดไปจนถึงจุดหนึ่งลมหายใจหายไปเหลือแต่ตัวรู้ตัวเดียว ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีร่างกาย เวลาอยู่บนรถเมล์หรือไม่ว่าที่ไหนพอหลับตาก็เหลือสภาวะรู้สภาวะเดียว แต่มีอยู่วันหนึ่งที่ผมลุกขึ้นกระทันหัน ตั้งแต่นั้นมาก็กำหนดไม่ได้ ปัจจุบันนี้เวลามองดูร่างกายตัวเองรู้สึกว่าไม่ใช่ร่างกายตนเอง ไม่ทราบว่าต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ความจริงที่ทำมานั้นดีแล้ว พอทำไปถึงระดับหนึ่งอารมณ์ใจเริ่มทรงตัว เราคิดเมื่อไรก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สมาปัชชนวสี มีความชำนาญในการเข้าสู่อารมณ์นั้น ๆ แต่คราวนี้เราชำนาญการเข้า ไม่ชำนาญการออก พอเราไปลุกพรวดพราดจึงหลุดหายไป พออยากจะได้ใหม่ ด้วยความที่อยากได้จึงทำให้จิตฟุ้งซ่าน ก็เลยทรงอารมณ์นั้นไม่ได้สักที ถ้าคุณวางกำลังใจเบา ๆ สบาย ๆ ได้ก็ช่างไม่ได้ก็ช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา ดูลมของเราไป มีลมรู้ลม มีคำภาวนารู้คำภาวนา ไม่มีลมไม่มีคำภาวนาก็กำหนดรู้อยู่เฉพาะหน้าแค่นั้น ถ้าทำได้แบบนั้นจะกลับคืนมาเร็ว แต่ถ้าไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม อารมณ์นั้นจะไม่มาหรอก เพราะใจของเราไม่นิ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-10-2011 เมื่อ 20:15 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#71
|
||||
|
||||
![]()
การที่เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าเห็นอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดว่า ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเราแล้วเราจะจัดการอย่างไร ? ก็ดูว่าร่างกายนี้ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา เราก็ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการ ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วก็เอาใจไปเกาะตรงนั้นแทน
คนเคยทำได้แล้วครั้งต่อไปไม่ยาก กลับไปเริ่มต้นใหม่พักเดียวก็ได้ เพียงแต่วางกำลังใจให้ถูก ภาวนาแล้วอย่าอยากได้ อย่าอยากเป็น เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง น่าเสียดายนะ..เผลอหน่อยเดียวหลุด แต่พอหลุดแล้วก็เห็นชัดว่า ก่อนหน้านี้ที่รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้เพราะสมาธิไม่ขาดช่วง พอขาดลงคราวนี้กิเลสเล่นเราปางตายเลย..! กลับไปเริ่มต้นใหม่ คนเคยทำได้แล้วไม่ยากหรอกจ้ะ เพียงแต่ว่าอย่าอยากเท่านั้น เรามีหน้าที่ทำ จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ได้หรือไม่ได้ก็ช่าง วางกำลังใจสบาย ๆ พักเดียวก็ได้เลย ถาม : ภาวนาเหมือนเดิมหรือครับ ? ตอบ : เหมือนเดิม ถ้าจะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ แต่สภาพจิตจะเคยชินกับของเดิมมากกว่า เคยชินของเดิมก็ใช้ของเดิม เพียงแต่ว่าวางกำลังใจใหม่นิดเดียว คือเรามีหน้าที่ภาวนาจะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ก็ช่าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2011 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#72
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : โยมนั่งปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้คือนั่งครั้งละ ๑ ชั่วโมงค่ะ นั่งแล้วจะรู้สึกแค่ศีรษะกับปลายเท้าและปลายเท้าถึงศีรษะ เป็นเวลาตลอด ๑ ชั่วโมง จะรู้สึกอยู่แค่นั้น ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่คะ?
ตอบ : จริง ๆ ทำอย่างไรก็ได้ ให้ตอนนั้น รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาความรู้สึกทั้งหมดอยู่กับลมหายใจเข้าออก สมาธิจะทรงตัวแนบแน่นกว่า เมื่อสมาธิทรงตัวแนบแน่นมั่นคง รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราได้ยากกว่า การกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีแต่ว่าไม่มั่นคง ในเมื่อไม่มั่นคง ถ้าเราคลายออกมา กระทบอะไรก็จะโกรธได้ง่าย ถ้าหากว่าเราอยู่กับลมหายใจเข้าออกไปจนกระทั่งชิน ถึงเราเลิกไปแล้วก็ยังรู้อัตโนมัติอยู่ จะเป็นไปเองโดยเราไม่ต้องบังคับ ถ้าอย่างนั้นจะมั่นคงกว่า ต่อให้เราจะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรกิเลสก็กินใจเราไม่ได้ ถ้าถามว่าถูกไหม..ถูก เพียงแต่ว่าความมั่นคงมีน้อยไปนิดหนึ่ง ถ้าต้องการความมั่นคงจริง ๆ เราต้องไปดูลมหายใจเข้าออกแทน ถาม : เคยลองปฏิบัติแบบดูลมหายใจเข้าออก ๑ ชั่วโมงซึ่งจะได้ไม่เต็มชั่วโมง แต่ถ้ารู้สึกตัวทั่วพร้อมจะได้ครบ ๑ ชั่วโมงเต็ม ตอบ : อย่าบังคับตัวเองจ้ะ เอาเป็นว่าดูลมหายใจเข้าออกได้แค่ไหนเอาแค่นั้น เอาเวลาที่เหลือไปกำหนดการรู้ตัวของเราแทน ทำสองอย่างรวมกันไปเลย ของเก่าก็ไม่เสีย ของใหม่ก็จะได้ไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-10-2011 เมื่อ 10:00 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#73
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมนั่งปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าข้างในนิ่งอยู่อย่างนั้นครับ
ตอบ : จริง ๆ แล้วลักษณะนั้นกำลังใจทรงตัวดีแล้ว เพียงแต่ขอให้ตั้งใจว่าเราจะอยู่ในสภาพนั้นนานเท่าไร เช่นนิ่งสักครึ่งชั่วโมง เมื่อถึงเวลาครึ่งชั่วโมงสภาพจิตจะคลายออกมาโดยอัตโนมัติ เป็นอารมณ์ที่รับรู้ทุกอย่าง แล้วเราก็มาพิจารณาร่างกายของเราตามหลักไตรลักษณ์ คือให้เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา จะได้ประโยชน์มาก แต่ถ้าหากว่าเรานั่งแล้วนิ่งแค่นั้น อารมณ์ใจจะทรงตัวเฉพาะตอนที่เรานั่ง ไม่สามารถที่จะจำกัดกิเลสได้มากกว่านั้น ให้เราไม่ก้าวหน้าไปมากกว่านั้น ดังนั้น..ก่อนที่เราจะทำ ตั้งใจไว้เลยว่าจะให้นิ่งนานเท่าไร กำหนดเวลาเอาไว้ ถึงเวลาก็จะคลายจะออกมาเอง แต่พอคลายออกมาตอนนี้ต้องรีบหางานให้ใจทำ ก็คือพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ดูให้เห็นชัด ๆ ว่าเป็นจริงหรือไม่ ถ้าไม่ให้ใจมีงานทำใจก็จะฟุ้งซ่านขึ้นมาเอง บางทีคิดเรื่องเดียวกันได้เป็นวัน ๆ เลย เพราะเอากำลังจากการภาวนาไปคิดฟุ้งซ่านแทน ฉะนั้น..โยมทำมาดีแล้ว เพียงแต่กลับมาพิจารณาใหม่เท่านั้น เมื่อพิจารณาแล้วประโยชน์จะเกิดขึ้น พออารมณ์ใจทรงตัวแล้วค่อยกลับไปภาวนาใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2011 เมื่อ 03:39 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#74
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาเห็นพวกแอฟริกันผิวดำที่ผมติดหนังศีรษะแล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านปลงพระเกศาครั้งเดียวในชีวิต แล้วเส้นผมก็ขอดติดพระเศียร ไม่เคยต้องปลงอีกเลย พอไปดูพวกแอฟริกันผิวดำก็เห็นว่าผมเขาติดหนังศีรษะ ดูอย่างไรก็ไม่ยาว
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระไว้ผมยาวได้ไม่เกิน ๒ ข้อนิ้ว สำหรับ ๒ ข้อนิ้วนั้น ถ้าตั้งใจตัดจะได้ทรงกำลังสวยเลยนะ แต่ว่าพระท่านโกน การโกนศีรษะพระพุทธเจ้าอนุมัติว่าอย่าให้เกิน ๒ เดือนต่อครั้ง หรือว่าอย่าให้ความยาวเกิน ๒ ข้อนิ้ว เพราะบางคนผมยาวเร็ว ถ้าผมยาวก่อน ๒ เดือนถึง ๒ ข้อนิ้วก็ต้องโกน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยยาวถึงสักที เพราะม้วนติดหนังศีรษะ ก็เลยไม่ต้องโกนตลอดชีวิต เราจะเห็นว่าพวกฮินดูพราหมณ์ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายจะไว้ผมยาวเสมอ แล้วก็จะเกล้ามวยผมแทนเขาไกรลาสอันเป็นที่สถิตย์ของพระศิวะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสำคัญที่พวกเขาเคารพนับถือ คนที่ผมสั้นเขาถือว่าเป็นกาลกิณี ไม่มีใครคบด้วย พระพุทธเจ้าทรงเสี่ยงที่สุดในโลก เพราะพระองค์ปลงพระเกศา ทำตัวเป็นคนกาลกิณี ไม่มีใครคบ ถ้าไม่บรรลุมรรคผล แปลว่าไม่สามารถจะถอยกลับไปที่เดิมได้อีกแล้ว ปิดทางถอยของพระองค์เองจนหมด ต้องเด็ดขาดแบบนั้นถึงจะเอาดีได้ ถ้าไม่เด็ดขาดอย่างนั้นจะเอาดีไม่ได้ เพราะฉะนั้น..โกน..!" (หัวเราะ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2011 เมื่อ 16:39 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#75
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "วายเม เถว ปุริโส เกิดเป็นคนต้องพยายามอยู่ร่ำไป จะทิ้งความเพียรไม่ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิษฐานตอนช่วงที่จะตรัสรู้ว่า พระองค์ท่านจะเพียรพยายามจนสิ้นเรี่ยวแรงที่บุคคลจะพึงปฏิบัติได้ แม้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายนี้เหือดแห้งไปก็ตามที ต่อให้ชีวิตินทรีย์นี้สิ้นลงไป ถ้าไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ พระองค์ท่านจะไม่ละจากบัลลังก์นี้
อย่าลืมนะ..พระองค์ท่านว่า "จนสิ้นเรี่ยวแรง" ก็แปลว่าทุ่มเทชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-10-2011 เมื่อ 16:40 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#76
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "ในงานของครูบาวิฑูรย์ มีนักเลงดีเขาลองว่าอาจารย์ใหญ่จะแน่สักแค่ไหน ? ป่านนี้คงรู้แล้วว่าอาจารย์ใหญ่แน่แค่ไหน อาตมาไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ปลุกคาถามหาสะท้อนเท่านั้น คนอื่นเขาคงแปลกใจว่าทำไมอาตมาขยับแล้วขยับอีกนั่งไม่ติด เพราะตอนนั้นเหมือนกับมีเหล็กแหลมแทงจากฝ่าเท้าเข้าไปถึงกระดูก ปวดสุดใจขาดดิ้นเลย..!
ครั้งแรกก็ว่าจะยอมรับกฎของกรรมเสียหน่อย แต่ชักจะแรงขึ้นทุกที ก็เลยไม่เอาด้วยแล้ว ทีแรกกดไว้แค่หัวเข่า เขาก็ยังไม่เลิกอีก เลยดันพรวดคืนไป พอพระเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ก็เริ่มต้นเอาอีกแล้ว ในเมื่อมาใหม่ อยากได้ก็คืนไป เราไม่ได้ทำอะไรนี่หว่า..! ถ้าเขารู้พื้นฐานดวงของอาตมาว่าอริเป็นมรณะ ก็คงจะไม่คิดทำอะไร เผอิญว่าเขาไม่รู้ พื้นฐานดวงของอาตมา พอถอดออกมาแล้ว ปัตนิเป็นโภคะ ก็คือผู้หญิงจะให้ลาภ จะได้รับการสนับสนุนจากผู้หญิงเสมอ ข้อที่สอง คืออริเป็นมรณะ ใครตั้งตัวเป็นศัตรู แค่นั่งมองเฉย ๆ เขาก็ตายไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไร อันดับสุดท้าย สหัชชะเป็นพยายะ เพื่อนจะพาจนตลอด อาตมาเลยตัดสินใจจัดกฐินปลดหนี้ให้เลย จะได้ไม่ต้องมาพาให้จนอีก พื้นฐานดวงเป็นอย่างนี้จริง ๆ ก็เลยไม่ต้องแปลกใจนะว่าทำไมยันต์เกราะเพชรหรือตะกรุดมหาสะท้อน อาจารย์เล็กถึงทำขึ้นนักหนา จะไม่ให้ขึ้นได้อย่างไร เพราะอริเป็นมรณะ มาเท่าไรก็คืนไปหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-10-2011 เมื่อ 17:15 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#77
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เมื่อถึงวาระสุดท้ายที่จิตออกจากกาย จิตไปสุคติอย่างไรคะ ?
ตอบ : กำลังใจสุดท้ายเกาะอะไร ก็จะไปที่นั่น ถาม : ระหว่างที่จิตหลุดออกไป หนูเห็นรอบข้างมีลักษณะดำ ๆ ไม่ได้มืดสนิท แต่เหมือนกับไม่มีอะไรเลย ตรงนั้นเป็นสภาพที่เขาเรียกว่าสภาพที่ไม่มีอะไรหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่ใช่..คือสภาพการรับรู้ของจิตจะเป็นไปตามกำลังเฉพาะของตน ไม่ได้ขอบารมีพระก็จะไม่เห็น ถาม : ทำไมเวลาที่เราเจ็บมาก ๆ เราไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ ? ตอบ : ความจริงเราพยายามดิ้นรนให้พ้นความเจ็บ แต่ในเมื่อไม่มีทางพ้นได้ก็ไม่อยากจะอยู่ อารมณ์นั้นจริง ๆ เป็นตัวมุญจิตุกัมมยตาญาณ ขณะเดียวกันก็ใกล้จะเป็นนิพพิทาญาณ คือจะแสวงหาความหลุดพ้น ถ้าเบื่อมาก ๆ ก็จะหาว่าควรจะไปไหน ถาม : ถ้าอย่างนั้นหนูควรจะ..? ตอบ :ให้พิจารณาให้เห็นจริงว่า ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ใช้งานร่างกายได้ก็ทนใช้ไป หมดอายุเมื่อไรก็ไปของเรา..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#78
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในสภาวะที่จิตนิ่ง พอเราเป็นแก้วก็เหมือนกับว่ารัก โลภ โกรธ หลง บางอย่างยังเกาะได้อยู่ แต่ถ้าพอจิตเรานิ่งใสเป็นประกายพรึก กิเลสละเอียดต่าง ๆ ก็จะเกาะไม่ได้อีกต่อไป หมายความว่าถ้าทำจิตสุดท้ายแบบนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องไปเกาะอะไรหรือคะ ?
ตอบ : เป็นการพ้นกิเลสโดยเจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มไว้ แต่เราต้องไปให้ถึงจริง ๆ ถ้าไปไม่ถึง เผลอเมื่อไรกิเลสต่าง ๆ ก็จะกลับมาอีก ถาม : บางครั้งจิตจะเห็นเหมือนกับว่าสิ่งข้างนอกเป็นสิ่งที่เราเห็น นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้ แต่สภาพในใจจริง ๆ คือ..? ตอบ : ก็คือสภาพการรับรู้ของจิต ถ้าเราให้ความสนใจเมื่อไร ตัวนิ่งก็จะยื่นหน้าไปใกล้กับสิ่งนั้น แล้วถ้าควบคุมไม่เป็นก็จะไหวกระเพื่อมไปกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะเกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเรารับรู้เท่าที่จำเป็น รักษาความสงบไว้ ข้างนอกสักแต่ว่าได้เห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส กิเลสก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายเราได้ เพราะเท่ากับว่าอารมณ์ข้างในไม่กระเพื่อม ถาม : อย่างนี้ส่วนสุดท้ายก็คือพยายามทำให้จิตนิ่งละเอียดถูกไหมคะ ? ตอบ : สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออย่าไปต่อความยาวสาวความยืด อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากสติรู้อยู่กับปัจจุบัน ถ้าจำเป็นต้องยุ่งก็ออกไปด้วยความระมัดระวังอย่างมีสติ ถึงเวลาก็กลับมาสู่ความสงบอยู่ตามเดิม โดยเฉพาะจุดที่ต้องระวังมากที่สุด คือ การยินดียินร้ายกับสิ่งใดง่ายเกินไป สภาพจิตแม้จะเป็นปีติยินดีในธรรมก็ตาม ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะเป็นแค่กำลังของกามาวจรเท่านั้น ต้องก้าวข้ามผ่านจุดนั้นไปให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#79
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "พวกซามูไรญี่ปุ่นจะรักอาวุธของเขามาก ถึงขนาดทำแท่นตั้งไว้แบบแท่นบูชา ส่วนไทยเรา ดาบไทยก็มี พระขรรค์ก็มี แต่ไม่ได้รับการดูแลดีขนาดนั้น ช่างญี่ปุ่นที่ทำดาบซามูไรเก่ง ๆ เขาสืบทอดกันมาตามตระกูล หลักวิชาของเขามีมาเป็นพันปี ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ของไทยเราในปัจจุบันก็ได้แค่ทั่ว ๆ ไป มีไม่กี่รายที่ศึกษาค้นคว้าลึกซึ้ง แต่ก็ยังไม่ได้อย่างของโบราณ
สมัยเด็ก ๆ บ้านคุณตาข้าง ๆ บ้านเป็นโรงตีเหล็ก แกเล่าให้ฟังว่าสมัยช่วงสงคราม เหล็กหาได้ยาก พวกทหารญี่ปุ่นมาดูการทำงานของแก แกกำลังตีมีดอยู่ ทหารญี่ปุ่นเห็นแกเผามีดแล้วดึงออกมาตี เขาก็สั่นหัว คุณตาก็สงสัย ทหารญี่ปุ่นพยายามบอกใบ้ว่าจะจัดการเอง แล้วเขาก็เอาคีมคีบมีดแหย่เข้าไปในกองไฟ คุณตาก็นั่งดูไปเรื่อย พอมีดร้อนได้ที่ก็ดึงออกมาตี ออกมาเป็นมีดพร้าเหมือนกัน เหมือนที่ใช้งานทั่ว ๆ ไป แต่พอขึ้นคมเสร็จ กลับฟันมีดอื่นขาดได้..! ทั้ง ๆ ที่เป็นเหล็กอย่างเดียวกัน เขาให้ถือไว้แล้วฟันฉับให้ดูเลย แสดงว่าพวกเขาชำนาญถึงขนาดดูว่า สีโลหะที่โดนเผาถึงระดับไหน ความแข็งความเหนียวจะได้ที่มากที่สุด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 10:00 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#80
|
||||
|
||||
![]()
"นักประดาน้ำไทยคนหนึ่ง เคยได้รับการจ้างจากนักธุรกิจญี่ปุ่นคนหนึ่งเมื่อประมาณยี่สิบปีที่แล้ว เป็นเงินห้าหมื่นดอลล่าร์ให้ดำน้ำให้ เขาก็ตกลงไปดำน้ำให้ จุดที่ดำน้ำเป็นจุดที่เรือญี่ปุ่นโดนตอร์ปิโดแล้วจมอยู่ตรงนั้น เขามีแผนที่ละเอียดมากเลย
เขาบอกว่าให้เข้าไปจนถึงห้องบังคับการเรือ จะมีโครงกระดูกอยู่ ไม่ต้องแตะต้อง ให้ดูที่ข้างฝา ถ้ามีดาบซามูไรแขวนอยู่ให้ปลดซามูไรเล่มนั้นออกมาให้เขา เพราะเป็นของประจำตระกูล เขาจะเอากลับไปบูชา พอเข้าไป เพื่อนบอกว่าเกือบเอาตัวไม่รอด เพราะปลาไหลมอเรย์ไปอาศัยอยู่ในนั้น ปลาไหลทะเลยักษ์หวงที่ เกือบโดนงับตาย แต่ก็เอาซามูไรออกมาได้ เหลือเชื่อตรงที่ว่าดาบแช่น้ำทะเลอยู่ตั้งแต่สมัยสงครามโลก แต่ไม่เป็นสนิม แสดงว่าโลหะศาสตร์ของเขาก็ไม่หนีของโบราณเรา ลองไปดูปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมสิ ตั้งแต่สงครามสมัยเสียกรุง จนป่านนี้สนิมกินเสียเมื่อไร ความรู้โบราณถ้าไม่ได้รับการสืบทอด ไม่มีอัจฉริยะรุ่นใหม่ ๆ มา ก็จะสูญไป อย่างบ้านจ่าตุ่มถือว่าเขาพยายามเรียนรู้เรื่องโลหะศาสตร์ แต่ว่าเขายังต้องสั่งของสำเร็จจากนอกมาใช้ในการทำมีด งานทุกอย่างที่บ้านจ่าตุ่มทำก็ถือว่าเป็นงานฝีมือในระดับที่น่าพอใจ แต่ถ้าให้เขาหลอมโลหะเองก็ยังทำไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2011 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|