|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๘
|
| สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพนั่งรถบริการสาธารณะ (Grab) จากแอพพลิเคชั่น พร้อมกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ลูกปุ๊ก (สุมาลี ตีรเลิศพานิช) และลูกอ้วน (นางสาวภัทรวรรณ จะหวะ) ออกจากที่พักวัดอุทยาน ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่ตี ๕ เนื่องเพราะว่าทางเอ็นซีทัวร์นัดที่สนามบินนานาชาติดอนเมืองตอน ๖ โมงเช้า แต่ด้วยความที่เป็นวันอาทิตย์ และเช้ามืดรถไม่ติด จึงใช้เวลาวิ่งไม่ถึง ๒๐ นาที
เมื่อมาถึงก็เจอน้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะประจำรถคันที่ ๑ รออยู่ก่อนแล้ว พวกเราส่งกระเป๋าให้ไปจัดการติดป้ายแล้วก็รับเอกสาร ตลอดจนกระทั่งวีซ่า และใบผ่านเข้าประเทศอินเดีย เมื่อมานั่งรอเวลาอยู่พักหนึ่ง ญาติโยมทั้งหลายก็ทยอยกันมา โดยเฉพาะมีพระจำนวนมากต่อมากด้วยกัน และที่อัศจรรย์ก็คือ ถ้าไม่ใช่พรรคพวกเพื่อนฝูง ก็เป็นลูกศิษย์ของกระผม/อาตมภาพเอง ซึ่งต่างก็จะไปสักการะสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียกันทั้งนั้น ตอนแรกกระผม/อาตมภาพเข้าใจว่าไปช่วงเดือนธันวาคม เป็นหน้าหนาว น่าจะมีนักท่องเที่ยวไม่มาก แต่ปรากฏว่ามีผู้รู้บอกว่าเป็นช่วง "ไฮซีซั่น" ก็คือฤดูกาลนักท่องเที่ยวมากของเขาพอดี ถือว่าเฮงไป ทักทายพรรคพวกเพื่อนฝูงและให้ลูกศิษย์ถ่ายรูปแล้ว ก็มานั่งรับปัจจัยจากญาติโยมทั้งหลาย ที่ควักกระเป๋าร่วมทำบุญไปอินเดียในครั้งนี้ จนกระทั่งกระเป๋าชักจะโป่งมากขึ้นทุกที..! ยังไม่ทันจะ ๖ โมงเช้าดี ทางช่องเช็คอินก็เปิดให้พวกเราทำการเข้าไปทำการตรวจตั๋ว เพื่อที่จะออกหมายเลขขึ้นเครื่องให้แล้ว กระผม/อาตมภาพเอง ซึ่งมีกระเป๋าถือหนัก ๕.๑ กิโลกรัม เนื่องเพราะว่างวดนี้ขนเอาเครื่องกันหนาวไปอย่างเต็มที่ ต้องสละน้ำหนักทั้งหมดให้กับทางเอ็นซีทัวร์ ซึ่งขนเสบียงและเครื่องสำหรับถวายผ้าป่าไปหลายต่อหลายกล่องด้วยกัน สักครู่หนึ่ง คุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการของบริษัทเอ็นซีทัวร์ก็มาถึง บอกว่า "มาส่งและมาฝากคุณแม่ด้วยครับ" คำว่าคุณแม่ในที่นี้ก็คือคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานคณะกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์ เจ้าของชื่อ เอ็นซี (NC) นวลจันทร์นั่นเอง เมื่อคุณนวลจันทร์มาถึงก็ถามว่า ทำไมพวกเรามากันเร็วอย่างนี้ ? แต่ทำท่าไม่ค่อยที่จะสงสัยแล้ว เพราะว่าไปกับคณะของเรามาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้คุณนวลจันทร์มาในฐานะลูกทัวร์ ไม่ใช่ผู้เป็นหัวหน้าคณะหรือว่าเป็นมัคคุเทศก์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:35 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินมาแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง และผ่านเครื่องเอ็กซเรย์เข้าไปข้างใน โดยมีทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) เกาะติดก้นไปด้วย เนื่องเพราะว่าตอนเดินผ่านเครื่องจะได้ไม่มีเสียงดัง..!
เมื่อผ่านเข้าไป ถึงไม่มีเสียงดัง เจ้าหน้าที่ก็ขอตรวจตัวก่อน กระผม/อาตมภาพก็แจ้งว่ามีพระเครื่องอยู่ ๔ องค์ เจ้าหน้าที่ตรวจเสร็จเรียบร้อยก็ให้ไปรับกระเป๋าและข้าวของต่าง ๆ เมื่อจัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ก็เดินตรงไปหาที่นั่งบริเวณประตูขึ้นเครื่องหมายเลข ๖ เนื่องจากว่าทำอะไรเร็ว ก็เลยต้องไปเป็นพนักงานนั่งเฝ้ากระเป๋า ให้บรรดาญาติโยมทั้งหลายได้ไปรับประทานอาหารเช้ากัน ส่วนกระผม/อาตมภาพฉันขนมรองท้องมาตั้งแต่ตอนขึ้นรถบริการสาธารณะแล้ว จึงไม่ได้ออกไปหาอาหารรับประทานแบบคนอื่นเขา สักครู่หนึ่ง ท่านปิง (พระมหากวีศิลป์ วิสุทฺธิกุโล) ก็มาถึง ท่านถวายผ้าคลุมไหล่พัชมีนาอย่างดีมา ๑ ผืน กระผม/อาตมภาพเองปกติเดินทางไปต่างประเทศ ก็จะใช้ผ้ากาสีจากประเทศอินเดียเป็นผ้าคลุมไหล่ แต่ว่าครั้งนี้ "มหามาตา" ท่านบอกว่าไม่ต้องเอาไป จะมีคนถวายเอง เมื่อมาถึงตอนนี้ ทุกคนก็เพิ่งจะรู้ว่าบุคคลที่ถวายก็คือใคร ?! พวกเราต้องนั่งรอกันนานมาก เนื่องเพราะว่าเครื่องเสียเวลาไปอย่างน้อย ๓๐ นาที แล้วยังต้องมารอคนช้าอีก เนื่องจากว่าคณะของเราเป็นคณะใหญ่ถึง ๕๐ กว่าคน เมื่อขึ้นไปบนเครื่อง อาศัยที่ว่าการจองตั๋วอย่างรอบคอบของเอ็นซีทัวร์ กระผม/อาตมภาพจึงอยู่แถวแรก ซึ่งสามารถเหยียดเท้าได้สุด และได้ขึ้นเครื่องก่อนใคร ครั้นขึ้นไปแล้วก็ต้องนั่งรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ กว่าที่จะทุกอย่างจะครบครันและเครื่องขึ้นได้ ก็เสียเวลาไป ๓๐ กว่านาที เมื่อเครื่องตั้งลำได้ก็เป็นเวลา ๑๐ โมงเศษ ทางด้านพนักงานบนเครื่องทำการเสิร์ฟอาหารตามที่สั่งจองเอาไว้ รสชาติเหมือนกับข้าวผัดกะเพราไก่ แต่ขอโทษเถอะ...หน้าตาผัดกะเพราของเขาดูแปลกพิลึก..! เพียงแต่ฉันกันตายไปอย่างนั้นเอง แล้วก็นั่งภาวนา โดยที่ทิดเฟิร์สบอกว่า "งวดนี้ขอพ่วงด้วยนะครับ อยากรู้ว่าอารมณ์นิ่งจริง ๆ ของหลวงพ่อเป็นอย่างไร ขอตลอด ๘ วันที่อยู่อินเดียเลย" กระผม/อาตมภาพเองก็ยังเกรงใจว่า งูคิดจะกลืนช้างนี่เป็นเรื่องที่ยากสุด ๆ น่าจะเครียดจนเครื่องไหม้เสียมากกว่า..! ครั้นเมื่อภาวนาไปจนกระทั่งครบตามชุดที่ตนเองจัดเอาไว้ แล้วก็ไปเข้าห้องน้ำ กลับมานั่งที่สักครู่หนึ่ง เครื่องก็เริ่มลดระดับลง มาถึงสนามบิน GAYA เวลา ๑๑.๒๐ น. ของทางประเทศอินเดีย ต้องบวกไป ๑ ชั่วโมงครึ่งถึงจะเป็นเวลาของประเทศไทย ด้วยความที่พวกเราคล่องตัวมาก ลงจากเครื่องได้ก็ปราดไปยังส่วนตรวจคนเข้าเมืองของเขา ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดยังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ เห็นพวกเราทะเล่อทะล่าเข้าไป ก็ยังตีหน้างง ๆ ว่ามาจากไหนกันวะ ? ครั้นพอรู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็เข้าประจำที่ เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา เครื่องยังไม่ทันจะได้อุ่นเครื่องเลย กระผม/อาตมภาพแปะนิ้วให้ ๒ ครั้ง ๓ จึงไม่ผ่าน แถมยังขอบอร์ดดิ้งพาส หรือว่าบัตรขึ้นเครื่องเพื่อไปดูอีกว่ามาเครื่องเที่ยวไหน ? กว่าที่จะผ่านได้ก็ทุลักทุเล โดยเฉพาะบุคคลที่พกทองคำมา ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับแบบไหนก็ตาม ถ้าชิ้นใหญ่หน่อย จะโดนล็อคคอไปสัมภาษณ์พิเศษทันที..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:39 |
| สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
แล้วอีกสักครู่หนึ่ง น่าจะเป็นเจ้านายของเขามาตรวจงาน ทุกอย่างก็เลยเข้มงวดขึ้นมาก กระผม/อาตมภาพกับท่านปิงที่ข้ามไปแล้ว ก็ได้แต่ยืนตาปริบ ๆ ดูบรรดาพระภิกษุของคณะอื่นที่แทบจะโดนถอดจีวรค้น..! ซึ่งจะว่าไปแล้วเขาก็ทำเคร่งครัดไปตามแบบของเขาต่อหน้าเจ้านายนั่นเอง กว่าที่พวกเราจะข้ามกันมาได้ครบครัน ก็แทบจะผ่านไปเป็นชั่วโมง ๆ ทีเดียว ดังนั้น..พวกเราส่วนหนึ่งจึงไปขึ้นรถบัส เพื่อที่จะเตรียมรอคณะที่มาครบแล้ว จะได้เดินทางไปทันที
เมื่อขึ้นรถบัสครบครันแล้ว ทางด้าน "นายวิชาญ" มัคคุเทศก์ท้องถิ่น ซึ่งพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัดเจน ก็ได้มอบประคำไม้ให้คนละ ๑ เส้น เป็นของที่ระลึก หรือว่าของขวัญรับหน้า พวกเราวิ่งออกจากสนามบินมา ถึงโรงแรมที่เราจะพักกันคืนนี้ เป็นเวลา ๒๐ นาทีก็ถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ต้อนรับพูดภาษาไทยชัดมาก ไม่ว่าจะเป็น "สวัสดีครับ" "ยินดีต้อนรับครับ" "ห้องน้ำอยู่ทางนี้ครับ" "ห้องอาหารอยู่ข้างล่างครับ" กระผม/อาตมภาพเองไปถึง เขาจัดอาหารเตรียมไว้ให้โต๊พระเรียบร้อยแล้ว จึงทำการโกยอาหารลงจานใหญ่ชนิดอย่างละครึ่งหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเข้าโครงการหารสองกับท่านปิง ฉันแล้วพอดีน้องการ์ตูนเอาคีย์การ์ดเข้าห้องพักมา จึงได้ขึ้นห้องพักไป เพื่อที่จะพักผ่อนสักครู่หนึ่ง ก่อนที่จะลงไปเพื่อที่จะเดินทางไปตามโปรแกรมของเรา พวกเราออกจากโรงแรมที่พัก ชื่อไพเราะมากคือ DHAMMA GRAND HOTEL & RESORT ตรงไปยังบ้านนางสุชาดา ที่ระยะทางก็ไม่ได้ไกล แต่ว่าถนนหนทางคับแคบมาก ทำให้รถบัสของเราทั้งสองคันนั้นไปได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดเมื่อไปถึง ก็ยังต้องรอรถอื่นเขาขยับหลีกแล้วหลีกอีก ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในกัน ท่านเจ้าคุณกอล์ฟ หรือที่คนส่วนมากรู้จักในนาม "พระครูอินเดีย" แต่ปัจจุบันนี้เป็นท่านเจ้าคุณพระวิเทศวัชราจารย์ (เฉลิมชาติ ชาติวโร) เจ้าอาวาสวัดสิทธารถราชมณเฑียร เลขานุการธรรมทูตสายอินเดีย - เนปาล ท่านได้เมตตาบรรยายให้พวกเราฟังในพื้นที่จริง ด้วยการชี้ให้ดูภูเขาดงคสิริ ซึ่งเห็นลิบ ๆ อยู่ด้านหน้า พร้อมกับบอกว่า นั่นเป็นสถานที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำทุกรกิริยาอยู่ถึง ๖ ปี หลังจากนั้นก็เสด็จลงไปยังบริเวณอัชชปาลนิโครธ ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส โดยที่เราจะเห็นเจดีย์บริเวณวัดบ้านของนางสุชาดาตั้งอยู่ไม่ไกล
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:43 |
| สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
หลังจากที่พระมหาโพธิสัตว์เสวยข้าวมธุปายาสแล้ว ก็บำเพ็ญเพียรจนกระทั่งบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทางด้านนางสุชาดาเองก็ไม่ได้ทราบว่าทานที่ตนเองถวายนั้น เป็น ๑ ใน ๒ ทานที่มีอานิสงส์สูงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าพระโพธิสัตว์เสวยแล้วก็ได้ตรัสรู้ และมีพระกำลังสามารถดำรงอยู่ได้ถึง ๔๙ วัน..!
พระเจ้าอโศกมหาราชจึงเสด็จมา แล้วก็ได้สร้างสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในบริเวณบ้านนางสุชาดา ซึ่งถ้าดูแล้ว เสนิยเศรษฐีซึ่งเป็นพ่อของนางสุชาดานั้น ต้องบอกว่ารวยสุด ๆ เพราะว่าสถานที่กว้างขวางใหญ่โตมาก แล้วยังมีวัดประจำตระกูลของตนเองอีกด้วย..! เมื่อพวกเราสวดมนต์ถวาย ถ่ายรูปหมู่ และเวียนประทักษิณแล้ว ก็กลับขึ้นรถ เพื่อที่จะเดินทางต่อไปยังอัชชปาลนิโครธ ซึ่งเป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับข้าวมธุปายาส ตลอดจนกระทั่งชนะธิดาพญามารทั้งสาม และเสด็จมาเพื่อเสวยวิมุตติสุขอยู่ในสัปดาห์ที่ ๕ ในสถานที่แห่งนี้ ปัจจุบันพวกฮินดูเขาดูแลอยู่ มีคนพูดไทยได้เป็นส่วนมาก พวกเราเบียดเบียนเยียดยัดไปบนถนนแคบ ๆ กว่าจะไปถึงก็รู้สึกว่าช้าเอาการทีเดียว เมื่อขึ้นไปถึงข้างบน บรรดาแขกทั้งหลายพูดไทยใส่กันไฟแล่บ ต่างคนต่างก็ขอให้บริจาคทำโน่นทำนี่ แต่ว่าพวกเราขึ้นไปก็ตามธรรมเนียม คือกราบสักการะสถานที่ ฟังบรรยาย สวดมนต์ถวาย ถ่ายรูปหมู่ แล้วกระผม/อาตมภาพก็รับพวงมาลัยพวงใหญ่ จากทางด้านท่านเจ้าคุณกอล์ฟ นำไปถวายที่รูปปั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับข้าวมธุปายาส เมื่อกลับมาขึ้นรถ ปรากฏว่ามีหนุ่มล่ำสามพันตึง ๔ นาย ขอตามมากราบถึงบนรถ บอกว่าเป็นตำรวจอยู่ที่นครมุมไบ เห็นกระผม/อาตมภาพแล้วศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอตามมากราบเท้า โดยที่กราบแล้วยังเอาฝ่ามือแตะเท้า แล้วก็ไปแตะศีรษะตนเองด้วย กระผม/อาตมภาพว่า "ท่านเจ้าคุณกอล์ฟหล่อกว่าหลายเท่า ทำไมไม่ไปกราบทางนั้น ?" เล่นเอาท่านเจ้าคุณบอกว่า "เขาน่าจะตาถึง สามารถเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นมากกว่าครับ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:46 |
| สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#6
|
||||
|
||||
|
แล้วพวกเราก็ฝ่ารถติดออกมา สองข้างทางนั้นนอกจากมีบ้านเรือนแล้ว ก็ยังมีสวนผักจำนวนมากมาย ท่านเจ้าคุณกอล์ฟบอกว่าทางด้านรัฐพิหารนี้เป็นแหล่งพืชผลการเกษตรที่สำคัญที่สุดของอินเดีย จึงมีการเพาะปลูกกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ในที่อื่นก็ไม่เห็นมีแบบนี้
พวกเราฝ่ารถติดมาจนกระทั่งถึงวัดไทยพุทธคยา ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณวีรยุทธ - พระพรหมวชิรโพธิวงศ์ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ ,ดร.) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ยังอยู่ที่เมืองไทย พรุ่งนี้จึงจะเดินทางมาถึง พวกเรามาอาศัยเข้าห้องน้ำในระหว่างทาง แล้วกระผม/อาตมภาพและพรรคพวกอีก ๔ - ๕ คน ที่มีความคล่องตัวมากกว่า ก็เข้าไปกราบพระพุทธชินราชจำลองในโบสถ์ ถ่ายรูปหมู่กันแล้วค่อยกลับมาขึ้นรถ มุ่งตรงไปยังพระศรีมหาโพธิ์ หรือพระเจดีย์พุทธคยา ในบริเวณนั้นทั้งหมดเขาห้ามนำเครื่องอิเล็คโทรนิคอื่นเข้า ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ พาวเวอร์แบงค์ หรือแม้กระทั่งแก็ดเจ็ตต่าง ๆ แม้กระทั่งบุหรี่ไฟฟ้าก็ไม่ให้นำเข้า จะนำเข้าได้อย่างเดียวก็คือกล้องถ่ายรูปใหญ่ ซึ่งยุคนี้สมัยนี้แทบจะไม่มีใครใช้กันแล้ว เพียงแต่ว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคนละ ๑๐๐ รูปีเสียก่อน พวกเราเดินเข้าไป ผู้ชายเข้าช่องซ้าย ผู้หญิงเข้าช่องขวา ให้เขาตรวจร่างกายอยู่ถึง ๒ รอบ ๓ รอบ แล้วก็ไปรออยู่บริเวณ "มุมมหาชน" ก็คือมุมที่ใคร ๆ มาก็ต้องถ่ายรูปกับพระเจดีย์พุทธคยา แต่ปรากฏว่ากว่าพวกเราจะรวมพลได้ครบก็ช้า แถมเวลาถ่ายรูป บุคคลอื่นก็ยังเดินตัดหน้ากล้องแบบไม่เกรงใจ ต้องถ่ายซ่อมกันแล้วซ่อมกันอีก หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปทางด้านข้าง ไปถอดรองเท้าออก แล้วก็ใส่ถุงพลาสติก ที่ทางเอ็นซีทัวร์มีแจกให้ทุกคน เดินลัดเข้าไปจนถึงต้นพระศรีมหาโพธิ์ กระผม/อาตมภาพถวายพวงมาลัยที่ทางด้านคณะท่านเจ้าคุณกอล์ฟจัดให้แล้ว ระหว่างที่อธิษฐานถวายอยู่นั้น "มหามาตา" ท่านก็ชี้ให้ดูว่า ห่างจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปทางด้านขวามือ คือกระผม/อาตมภาพหันเข้าหาต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยมีแท่นวัชรอาสน์อยู่ขวามือ ทางด้านขวาก็คือพระเจดีย์พุทธคยานั่นเอง มหามาตาบอกว่าประมาณ ๗ วาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ เป็นสถานที่ซึ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นจริง ได้บังเกิดขึ้นพร้อมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้เป็นต้นที่ ๔ แล้ว ซึ่งเกิดจากรากของต้นแม่นั่นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:48 |
| สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#7
|
||||
|
||||
|
เมื่อบอกให้กับท่านเจ้าคุณกอล์ฟและบุคคลที่อยู่ใกล้เคียงได้ทราบ ท่านเจ้าคุณกอล์ฟบอกว่า "หลวงพ่อพูดเหมือนหลวงพ่อบ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิลังการ์เลย" ทำเอาทิดเฟิร์สบอกว่า "เขาไม่ได้นัดแนะกันนะครับ ต่างคนต่างมา ต่างคนต่างพูด" กระผม/อาตมภาพเองฟังบรรยายไป ท่ามกลางฝูงยุงมากมายมหาศาล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าสมาธิ ไม่เช่นนั้นแล้วก็คงจะทนยุงกัดไม่ได้..!
เมื่อฟังพระพุทธเจ้าชนะมารตรัสรู้แล้ว พวกเราก็ได้สวดมนต์ถวาย แล้วนั่งสมาธิอีก ๑๕ นาที จากนั้นก็เดินประทักษิณรอบพระศรีมหาโพธิ์ และองค์พระเจดีย์พุทธคยา สวดอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง รอบพระเจดีย์พุทธคยา ๓ รอบ ก่อนที่จะไปเข้าคิวเพื่อที่จะกราบหลวงพ่อพระพุทธเมตตา แต่ปรากฏว่ามีคณะสงฆ์เข้าไปสวดมนต์อยู่ในนั้น ทั้งคณะสงฆ์ทิเบต และคณะสงฆ์อินเดีย พวกเราจึงเข้าไปแล้วสามารถที่จะไหว้ได้ไกล ๆ เท่านั้น เมื่อย้อนออกมาแล้ว พวกเราก็มาหามุมถ่ายรูปบริเวณเสาอโศก ซึ่งเป็นมุมที่สามารถเห็นได้ทั้งพระเจดีย์พุทธคยาและเสาอโศกพร้อมกัน จากนั้นท่านเจ้าคุณกอล์ฟก็พาพวกเราลุยเข้าไปใหม่อีกรอบ บอกว่ากิจกรรมถวายผ้าห่มหลวงพ่อพระพุทธเมตตาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ พวกเราต้องไปเข้าแถวรออยู่เป็นเวลานานมาก กว่าที่จะสามารถเข้าไปถึงด้านใน กระผม/อาตมภาพเอาผ้าขะตะที่น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ส่งมาให้ ถวายหลวงพ่อพระพุทธเมตตา พร้อมกับรับพานดอกไม้มาจากคณะท่านเจ้าคุณกอล์ฟ อธิษฐานแล้วถวายไป เป็นอันว่าจบภารกิจสำหรับวันนี้ เดินออกมาทางด้านนอก ใส่รองเท้าแล้ว ต้องมารอพวกเรา เพราะว่าทางเดินออกนั้นเป็นคนละทางกัน ถ้าขืนไม่รอ มีหวังพลัดหลงกันแน่..! ครั้นออกมาถึงข้างนอก ก็ต้องรอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ เพราะว่าบุคคลที่ช้าก็มีอยู่ บรรดาสารพัดแขกก็พยายามมาเสนอขายของ แต่ละคนล้วนแล้วแต่พูดไทยได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าพูดประโยคยาว ๆ รู้เรื่องหรือเปล่า ? นอกจากชวนให้ซื้อของอย่างเดียว จนกระทั่งรถบัสของพวกเรามาถึง กระผม/อาตมภาพขึ้นรถบัสแล้วก็ควานหาโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเข้ารายการเสียงธรรมจากมหาจุฬาอาศรมไว้ก่อน และแจ้งในช่องแช็ตไว้แล้วว่า "อยู่ที่ประเทศอินเดีย ขออนุญาตปิดหน้าจอ" ปรากฏว่าได้เวลาทำแบบประเมินพอดี เนื่องเพราะว่าตรงกับเวลา ๓ ทุ่มของเมืองไทย เมื่อทำประเมินเสร็จ เป็นอันว่ารอดตัวไป สามารถที่จะได้ประกาศนียบัตรการร่วมปฏิบัติธรรม ๓ ชั่วโมงของครั้งนี้มาอย่างเต็มภาคภูมิ..! พวกเราฝ่ารถติดกลับมาจนกระทั่งถึงโรงแรม DHAMMA GRAND HOTEL & RESORT เป็นเวลา ๓ ทุ่มครึ่งเมืองไทยแล้ว เข้าถึงที่พักก็ยังต้องมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน แถมพรุ่งนี้ยังต้องตื่นตี ๕ ฉันเช้า ๖ โมง และออกเดินทางตอน ๗ โมงของประเทศอินเดียอีก จึงต้องรีบบันทึกเสียงเอาไว้ก่อนที่จะเข้านอน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:52 |
| สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|