กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-12-2025, 18:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,561
ได้ให้อนุโมทนา: 160,827
ได้รับอนุโมทนา 4,521,994 ครั้ง ใน 37,176 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันพ่อแห่งชาติ วันที่ ๕ - ๗ ธันวาคม ๒๕๖๘

ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันพ่อแห่งชาติ วันที่ ๕ - ๗ ธันวาคม ๒๕๖๘

เสียงตามสายจบแล้วยังมากันไม่ถึงครึ่ง..! แล้วที่เหลือไปอยู่ที่ไหนกันหมด..?

ถ้ากำลังใจของเรามุ่งมั่นกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะทุ่มเทให้กับสิ่งนั้น ก็แปลว่าการที่พวกเรามาบ้างไม่มาบ้าง ก็คือท่านที่ยังไม่มา กำลังใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับการปฏิบัติธรรม พูดไปแล้วพระวัดนี้จะสะเทือนหรือเปล่า ? ไม่ต้องมอง มีแต่ที่นั่ง..!

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เราเหมือนกับอยู่ในเรือนที่ไฟกำลังไหม้" มีแต่จะเร่งหนีไปให้ไกล ไม่ใช่มานอนรอให้ไฟเผาตาย ถ้ากำลังใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ตรงนี้ ตื่นก็ไม่ไหว นั่งกรรมฐานก็ไม่เอา พูดง่าย ๆ ว่าอะไรที่ดี ๆ ไม่เอาสักอย่าง..! แล้วจะรอดได้อย่างไร ?

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า
อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
โกหิ นาโถ ปะโรสิยา ใครอื่นจักเป็นที่พึ่งของเราได้
อัตตาหิ สุทันเตนะ ก็ตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ
นาถัง ละภะติ ทุลละภัง จักเป็นที่พึ่งซึ่งหาได้โดยยาก


ทุลละภะ แปลว่ายากลำบาก คราวนี้ถ้าเราฝึกตัวยังไม่ดี ก็เป็นที่พึ่งของตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้อย่างไร ? ต้องเอาตัวเองรอดให้ได้ก่อน พอตัวเรารอดได้แล้ว ค่อยนำคนอื่นรอดไปด้วย ไม่ใช่ตัวเองก็ยังจมน้ำอยู่ แต่ก็พยายามจะตะเกียกตะกายช่วยคนอื่น เดี๋ยวก็ได้จมน้ำตายกันทั้งแก๊ง..!

การที่ตัวเราจะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้ ต้องผ่านการเคี่ยวเข็ญฝึกฝนกันอย่างหนักหนาสาหัส สมัยอาตมภาพยังเป็นวัยรุ่น มีภาพยนต์จีนเรื่องสิบแปดยอดมนุษย์ทองคำ ลูกศิษย์วัดเส้าหลินขึ้นวัดแล้วไม่ต้องลง ถ้าไม่จบการศึกษาออกจากวัดไม่ได้""+

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจบการศึกษาแล้ว ? ก็ไปฝ่าด่านสิบแปดยอดมนุษย์ทองคำ เขาจะมีห้องกลไก ๓๖ ห้อง เลือกเอาจะไปซ้ายก็ ๑๘ ห้อง จะไปขวาก็ ๑๘ ห้อง รอดออกไปประตูสุดท้ายไปที่เดียวกัน ก็คือห้องโถงใหญ่ที่มีกระถางธูปอยู่ กระถางใบนั้นเขาใส่กำยานแล้วจุดอยู่ตลอดเป็นร้อย ๆ ปี ไม่เคยดับ ไม่ต้องห่วง..ร้อนฉ่า..! ต้องยกกระถางใบนั้นเลื่อนให้ได้ เพราะว่ากลไกที่จะเปิดประตูอยู่ที่กระถาง ถ้าขยับกระถางไม่ได้ ประตูไม่เปิด""+

คราวนี้กระถางร้อน ๆ ถึงเวลาเอื้อมมือไปโอบ ควันขึ้นโขมงเลย..! ขอบกระถางสักเป็นรูปมังกร ก็จะไหม้ติดเนื้อ ทำให้รู้เลยว่าคนนี้เคยฝ่าด่านสิบแปดมนุษย์ทองคำมาแล้ว..!

แต่ว่าในหนังเขาทำไม่ได้ เนื่องเพราะว่าผู้ที่จะไปกำกับห้องทั้ง ๓๖ ห้อง อย่างน้อย ๆ ต้องฝึกวิชาวชิรคงกระพันถึงระดับหนังทองแดงกระดูกเหล็ก ก็แปลว่าทดสอบได้ทุกรูป เหนียวโดยอัตโนมัติไม่ต้องใช้คาถา..! ถ้าอย่างนั้นออกไปถึงจะชื่อว่าพึ่งตนเองได้ เพราะว่าผ่านความยากลำบากมาแล้วทุกชนิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2025 เมื่อ 20:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #2  
เก่า 10-12-2025, 18:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,561
ได้ให้อนุโมทนา: 160,827
ได้รับอนุโมทนา 4,521,994 ครั้ง ใน 37,176 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ของเราหนาวนิด ไม่เอาแล้ว มุดอยู่ใต้ผ้าห่มดีกว่า ขอนอนอีกนิดน่า แค่หลับตาไปนิดเดียวทำไมสว่างแล้ว ? รู้สึกว่าเพิ่งจะกะพริบตาเอง..ใช่ไหม ?

อาตมภาพเคยเจอมากับตัวเอง ถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ซอยสายลม ตั้งแต่ประมาณเที่ยงวันศุกร์ แล้วก็เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ วันอังคารช่วงเช้าเก็บกวาดทำความสะอาดเสร็จ พอหลวงพ่อท่านฉันเพลแล้วก็ส่งท่านขึ้นรถกลับ อาตมาก็เดินทางกลับบ้าน

อดหลับอดนอนมาหลายวันก็ง่วง ตอนนั้นพักอยู่ที่บ้านพี่ชายซอยอ่อนนุช ๖๖ ก็ต้องนั่งรถเมล์สาย ๓๘ ไปลงปากซอยแถวพระโขนง แล้วก็ต่อรถสองแถวหรือไม่ก็รถเมล์สายอ่อนนุช - หัวตะเข้ พอรถเริ่มขึ้นสะพานข้ามคลองพระโขนง ป้ายต่อไปก็คือปากซอยที่จะลง ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียเต็มที ขอกะพริบตาทีหนึ่งเถอะ ลืมตาขึ้นมา กรมอุตุนิยมวิทยา บางนา..! กะพริบตาทีเดียว ไปยันโน่นได้ เกือบ ๆ จะหลุดสมุทรปราการแล้ว..! เพราะฉะนั้น..ทุกวันนี้ติดนิสัย ตื่นตอนไหนต้องลุกเลย ตื่นห้าทุ่มเที่ยงคืนก็ลุกมาทำงานเลย

เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นว่า "คุณมีเงินเข้า ๖ บาท ๑๙ สตางค์" พอ ๆ อย่าประกาศ ขายหน้าเขา บอกเงินเข้าแล้ว ๖ บาท ๑๙ สตางค์ พวกประเภทที่อีกหนึ่งสตางค์ก็ให้ไม่ได้นี่แปลว่าอะไร ? ทำทีละ ๙๙ สตางค์แบบนั้น พวกที่ไม่เต็มบาทใช่ไหม ? ก็แล้วแต่ศรัทธาเขา ก็เขามั่นใจว่าตัวเลขนั้นดีกับเขาก็เอาเถิด

เมื่อสักครู่ว่าไปถึงไหน ? จำไม่ได้กันแล้วใช่ไหม ? ตอนช่วงนั้นยังทำงานอยู่ ก็ทุ่มเทกับงานมาก บางวันทำงานเวลาปกติแล้วยังทำโอที ๒ - ๓ แรง ไหวไหม ? ตอนที่ทำโอทีไม่ค่อยได้อะไรหรอก ง่วงตายห่..! โดยเฉพาะโอทีสามแรงนี่ พอหลังเที่ยงคืนไปแล้วก็จะหัวทิ่มอย่างเดียวแล้ว ถ่างตาอยู่ให้ครบเวลาไปอย่างนั้นเอง งานได้หน่อยเดียวแต่ได้ค่าแรงเท่ากับกลางวันทั้งวัน..!

ทำไมต้องทำอย่างนั้น ? ก็เพราะว่าถึงเวลาถ้าที่วัดท่าซุงมีงานก็จะไปก่อนงานสองวัน ไปช่วยเตรียมงาน รวมวันงานหนึ่งวัน แล้วก็กลับหลังงานหนึ่งวัน เพราะว่าต้องเก็บงานให้เรียบร้อย ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมาบ้านสายลม เที่ยงวันศุกร์ก็หายจากที่ทำงานไปแล้ว กลับมาอีกทีก็โน่น..วันอังคาร..!

แล้วเจ้านายเขาไม่เดือดร้อน ? ถ้าเดือดร้อนก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรานี่..! อาตมภาพบอกกับเขาว่า "จะต้องไปช่วยงานหลวงพ่อท่าน ถ้าหากว่าไม่พอใจ ก็ไล่ผมออกได้เลย ไม่ว่าอะไรหรอก" เจ้านายไม่ไล่ออก แต่ใช้วิธีจ่ายงานให้เรามากเท่ากับเวลาที่เราไม่อยู่ เข้าท่าไหม ? ถึงได้บอกว่าบางวันต้องแหกตาทำโอที ๒ - ๓ แรง ตีสองกว่าถึงจะได้นอน

แต่กำลังใจมุ่งมั่นอยู่อย่างเดียวก็คือเรื่องของการปฏิบัติธรรมและบุญกุศล ต่อให้นอนดึกแค่ไหนก็ตาม ห้านาทีก่อนตีสามจะตื่น ความจริงตั้งใจจะตื่นตีสาม แต่ดันตื่น ๒.๕๕ น. ทุกครั้ง เผื่อไว้ห้านาทีให้บิดขี้เกียจ ต้องลุกขึ้นมาเพื่อเจริญกรรมฐานก่อน ไหวกันไหม ? ทำงานยันตีสอง ตีสามต้องตื่นมาภาวนา ไม่ไหวแสดงว่าฉันทะไม่พอ ถ้าพอต้องลุกได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2025 เมื่อ 20:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #3  
เก่า 10-12-2025, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,561
ได้ให้อนุโมทนา: 160,827
ได้รับอนุโมทนา 4,521,994 ครั้ง ใน 37,176 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คราวนี้พอไปเรียนวิชาทหารก็เหมือนกัน ตีห้าเขาเป่านกหวีดปลุก ต้องเก็บที่นอน แต่งเนื้อแต่งตัว ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำห้องส้วม แล้วไปเข้าแถวภายในสามนาที หลังจากนั้นก็วิ่งไปเถอะ บวกกายบริหารด้วย กว่าจะเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ประมาณเจ็ดโมงเช้า คือออกกำลังกายไปสองชั่วโมง

มีเวลากินไม่เคยถึงสามนาที เพราะฉะนั้น..พระเณรวัดท่าขนุน อาตมาให้สิบห้านาทีนี่เยอะโคตรเลยนะ..! ถึงครูฝึกจะบอกว่าให้เวลาสามนาทีสำหรับกิน แต่ไม่เคยถึงหรอก บางทีเขาบอก "ถ้ากูนับหนึ่งถึงหนึ่งต้องอิ่มนะ..!" นับอย่างไรวะ ? นับหนึ่งถึงหนึ่ง..! แล้วเขาทำอย่างนั้นจริง ๆ เป่านกหวีดครั้งแรกตักข้าวได้ เป่านกหวีดครั้งที่สองอิ่ม อิ่มไม่อิ่มก็ต้องอิ่ม แล้วบางทีเขาเป่าติดกันเลย แปลว่ามื้อนั้นอดกิน..!

แล้วทำไมเขาถึงต้องโหดร้ายกับเราขนาดนั้น ? เพราะว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์รบจริง ไม่ได้แปลว่าเราจะได้กินอย่างใจ ไม่ได้แปลว่าเราจะได้นอนอย่างใจ เขาฝึกเอาไว้เพื่อไม่ให้เราไปเป็นปุ๋ยที่ชายแดน..!

แปดโมงตรงเป๊ะเคารพธงชาติเสร็จ โน่น..ไปฝึกภาคสนาม ตากแดดหัวแทบละลาย เที่ยงตรงเดินสวนสนามไปเพื่อที่จะกินข้าว บ่ายโมงจะได้มาฝึกต่อ บางทีเขาให้เราสวนสนามจนกระทั่ง ๑๒.๕๕ น. แล้วค่อยปล่อยเข้าไปกิน โดยเฉพาะถ้าเป็นวันพุธ เนื่องเพราะวันพุธเป็นวันเดียวที่มีขนมให้ เจ็ดวันมีขนมให้วันเดียวและมื้อเดียว เจ้าประคุณเอ๊ย..อยากกินของหวานจนมือตีนสั่น..! เป่านกหวีดปรี๊ด เพื่อนบางคนนี่จ้วงขนมเข้าปากก่อนเลย ข้าวปลากูไม่สนแล้ว ปรี๊ดที่สองต้องอิ่ม ไม่อิ่มก็ไม่ได้เพราะว่าบ่ายโมงต้องฝึกต่อ เราอยู่กันมาแบบนี้แหละ..!

อาตมภาพเจอเข้าไปใหม่ ๆ สองอาทิตย์ผ่านไป เพิ่งจะได้เข้าส้วม ที่กินเข้าไป ไปอยู่ไหนหมดก็ไม่รู้ ? ถ่ายออกมาเสียงดังก๊อง..! ก้อนเล็กกว่าหัวแม่มือ สองอาทิตย์เหลืออยู่แค่นั้นแหละ คือละลายหมด เนื่องเพราะว่าฝึกหนักมาก

จากบ่ายก็โน่น..ห้าโมงเย็น..วิ่งต่อ พร้อมกับกายบริหาร หกโมงปล่อยไปอาบน้ำอาบท่า สามนาทีเหมือนเดิม หกโมงครึ่งเป่านกหวีดเข้าห้องเรียน เรียนทฤษฎี ที่ฝึกมาทั้งวันก็คือที่เราเรียนกลางคืนนี่แหละ สามทุ่มเป่านกหวีดปรี๊ด..เลิกเรียน ให้เวลาสิบนาที ขัดเข็มขัด ขัดรองเท้าให้เงาวับชนิดส่องหน้าตัวเองได้ สามทุ่มสิบนาทีเป่านกหวีดปรี๊ด..นอนเดี๋ยวนั้นเลยนะ ถ้ามีเสียงขยับแกร๊กเดียว ถือว่าไม่อยากนอน ทั้งหมดต้องลงไปวิ่ง..!

เพื่อนขยับคนเดียว ทั้งกองร้อยต้องลงไปวิ่ง เขาถือว่ารับผิดชอบร่วมกัน ถ้าหากว่าวันนั้นแคล้วคลาด..หลับ สี่ทุ่มนกหวีดปลุก ไปฝึกยุทธวิธีรบเวลากลางคืน โห..กูเหนื่อยมาสิบสองชั่วโมงแล้ว ยังจะฝึกวิธีรบกลางคืนอีก..! โน่น..ตีหนึ่งตีสองเลิก..มานอน..ตีห้าปลุกใหม่..! วงจรชีวิตเป็นอย่างนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2025 เมื่อ 21:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
  #4  
เก่า 10-12-2025, 18:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,561
ได้ให้อนุโมทนา: 160,827
ได้รับอนุโมทนา 4,521,994 ครั้ง ใน 37,176 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่อาตมภาพพอถึงเวลา ๒.๕๕ น. จะลุกมานั่งกรรมฐาน เหนื่อยขนาดนั้นพวกเราลุกไหวไหม ? แต่อาตมภาพลุก เพราะรู้ว่าตัวเองทำอะไร ทำแล้วได้อะไร โดยเฉพาะกำลังใจจดจ่อมุ่งมั่นอยู่ ถึงเวลาภาวนาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้จะฝึกหนักมาทั้งวันทั้งคืนก็ตาม

ยิ่งถ้าวิ่งนี่แล้วเจอหมู่โสภณ แกชอบวิ่งมากเลย แกเป็นคนอ้วน น้ำหนัก ๙๐ กว่ากิโลกรัม แต่เจ้าประคุณวิ่งตัวปลิวเลย ถ้าพาเราวิ่งนี่ไม่เคยต่ำกว่าสองชั่วโมง..! ทำไมไม่เป็นลมตายสักทีวะ ? อ้วนขนาดนั้น..!

อาตมภาพเหนื่อยขนาดนั้น แต่ว่าลุกขึ้นมากรรมฐานเพราะว่ารู้ว่าทำแล้วได้อะไร ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือเพื่อน เหนื่อยฉิบหายเลย แทนที่เพื่อนจะนอน..เปล่าหรอก พอเราลุกมานั่งปุ๊บ เพื่อนก็ลุก คลานมาแบบเงียบกริบเลยนะ ครูฝึกจะได้ยินไม่ได้ ไม่อย่างนั้นโดนซ๋อม คำว่าซ่อมก็คือลงโทษ ในเมื่อบกพร่องก็ต้องซ่อมให้ดี..ใช่ไหม ?

เพื่อนคลานมาพนมมือรอบเตียง "หลวงพ่อขอสองตัว" อาตมาเป็นหลวงพ่อตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว..! กูเหนื่อยจะตายห่า กูรู้ว่านั่งกรรมฐานแล้วดีอย่างไร กูถึงลุก พวกมึงเหนื่อยจะตายห่าแต่ลุกมากวนตีนกู ฉันทะมึงสุดยอดมาก..!

เห็นหรือยังว่ามารเก่งแค่ไหน ? เพราะฉะนั้น..ทำอะไรอย่าไปแคร์คำคน โดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าเราทำแล้วจะดีกับเรา จะดีกับอนาคตของเรา จะดีตามหลักศีลธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..ทำไปเถิด

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันพ่อแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ - วันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ณ วัดท่าขนุน
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-12-2025 เมื่อ 21:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:33



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว