กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 07:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,392
ได้ให้อนุโมทนา: 159,958
ได้รับอนุโมทนา 4,515,135 ครั้ง ใน 37,006 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมงานทอดกฐินปลดหนี้ วัดน้อย จ.สุพรรณบุรี วันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๘


กราบขอโอกาสท่านพระครูขันติวรานุสิฐ (สามารถ ขนฺติวโร) เจ้าอาวาสวัดน้อย เจ้าคณะตำบลโคกคราม เขต ๒ และพระเถรานุเถระทุกรูป ขอเจริญพรญาติโยมและเจ้าภาพทุกท่าน เดี๋ยวอีกสักครู่หนึ่ง ทางคณะสงฆ์วัดน้อยจะทำการกรานกฐินในอุโบสถ เสร็จแล้วก็ออกมาอนุโมทนา กรวดน้ำรับพรกันตรงนี้

ในช่วงระหว่างนี้ กระผม/อาตมภาพขออนุญาตใช้เสียงบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า เรื่องของกฐินนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา ในสมัยก่อนพระภิกษุแต่ละรูปกว่าที่จะหาผ้ามาทำจีวรได้ บางทีใช้เวลาหลายเดือน เนื่องเพราะว่าต้องคอยเก็บผ้าเก่าที่ชาวบ้านเขาทิ้งแล้ว เอามาซัก มาเย็บ มาย้อม จนกระทั่งได้ขนาดตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ซึ่งเรียกว่าผ้าบังสุกุล ก็คือผ้าเปื้อนฝุ่น หรือผ้าคลุกฝุ่น

คราวนี้ด้วยความที่หายากมาก พระภิกษุบางรูปก็ไม่มีผ้าที่จะเปลี่ยนใหม่ ทั้ง ๆ ที่ของเก่าก็เปื่อยผุพังไปแล้ว หรือว่าอาจจะโดนคนลักขโมยไป องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงได้อนุญาตให้รับคหปติจีวร ก็คือจีวรที่คณะญาติโยมตั้งใจถวาย แต่ก็ไม่ได้อนุญาตให้รับทั่วไป ให้รับเฉพาะใน "กาลจีวร" ก็คือช่วงเวลาที่พระจะหาผ้ามาทำจีวรได้เท่านั้น

ถ้าโดยทั่วไปก็ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ จนถึงกลางเดือน ๑๒ พอมาในยุคปัจจุบันของเรานี้ ผ้าผ่อนท่อนสไบหาง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้าจะให้พระภิกษุสงฆ์ของเราฟุ่มเฟือยได้ ก็ยังคงใช้ผ้าในลักษณะเดิม

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่ท่านทั้งหลายร่วมบุญมา ขอให้ทุกท่านเข้าใจว่า อานิสงส์หรือว่าบุญหลัก ๆ ที่เราจะได้เลย ก็เกิดจากผ้าไตรจีวร ส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นเงินมากน้อยเท่าไร เขาเรียกว่า "บริวารกฐิน"

แต่ในปัจจุบันนี้คนเราหลงประเด็นไปว่าเงินมาก ๆ ถึงจะดี แต่ความจริงแล้ว เงินมากเท่าไรก็เป็นแค่บริวารกฐิน ตัวกฐินที่แท้จริงก็คือผ้า จะเป็นผ้า ๑ ผืน ที่อย่างน้อยที่สุดกว้างคืบยาวคืบขึ้นไป ในปัจจุบันนี้เรามักจะถวายเป็นผ้าสบงบ้าง ผ้าจีวรบ้าง ผ้าสังฆาฏิบ้าง แล้วส่วนใหญ่ก็นิยมถวายครบทั้งไตรไปเลย ก็แปลว่าอานิสงส์ใหญ่ของเราอยู่ที่ตรงนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 13:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า เมื่อวานนี้, 08:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,392
ได้ให้อนุโมทนา: 159,958
ได้รับอนุโมทนา 4,515,135 ครั้ง ใน 37,006 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระที่ท่านรับกฐินไปแล้ว นอกจากได้ผ้าใหม่ไปเปลี่ยน ยังได้อานิสงส์ในการผ่อนคลายศีลไปหลายข้อ อย่างเช่นว่า"เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา" ซึ่งข้อนี้ถ้าเป็นที่วัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพไม่อนุญาตให้ทำ จะไปไหนต้องบอกกันก่อน

"สามารถฉันคณะโภชนาและปรัมปรโภชนาได้" ก็คือถ้าญาติโยมออกชื่ออาหาร พระพุทธเจ้าห้าม
ไม่ให้พระฉันถึง ๔ รูปขึ้นไป ถ้าฉันไม่ถึง ๔ รูปก็ไม่เป็นไร เพราะว่าบางทีอาหารเขาดี พระท่านได้ยินชื่อแล้วอยากฉัน ก็แห่กันไปทีละมาก ๆ ทำให้ญาติโยมเดือดร้อน ฉันปรัมปรโภชนาก็คือปกติแล้วจะไม่ให้ภิกษุเรามักมาก ก็คือฉันจากที่หนึ่งแล้วก็จบเลย แต่ถ้าได้รับกฐินแล้ว สามารถฉันในที่หนึ่ง แล้วรับนิมนต์อีกที่หนึ่งเพื่อไปฉันอีกได้

ประการต่อไปก็คือ "ผ้าจีวรที่เกิดขึ้นนั้น มีสิทธิ์ที่จะเก็บเอาไว้เอง" ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าเกิน ๓ ผืนไป พระพุทธเจ้าให้ทำ "วิกัป" ก็คือ ต้องเป็นเจ้าของร่วมกับคนอื่น ป้องกันไม่ให้พระสะสมจีวรเพื่อความร่ำรวย

และท้ายที่สุดก็คือ "เมื่อเที่ยวไปไหน ไม่ต้องเอาผ้าไตรไปครบสำรับ" ซึ่งเรื่องนี้กระผม/อาตมภาพก็ไม่ทำเหมือนกัน เพราะว่าไปไหนเอาผ้าไป ๓ ผืนก็ไม่ได้หนักอะไร

ดังนั้น...เรื่องพวกนี้ บางทีญาติโยมก็ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะกฐินนั้น เจ้าภาพต้องไปแสดงเจตจำนงกับทางวัดนั้นเอง ไม่ใช่ทางวัดไปขอกฐิน ถ้าทางวัดไปขอกฐิน เขาเรียกว่า "กฐินเดาะ" ก็คือไม่มีอานิสงส์ พระรับไปก็ผ่อนคลายศีลตนเองไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้เขาไม่สนใจ เขาสนใจอยู่ที่ว่าจะได้เงินเท่าไร จึงทำให้พุทธประเพณีที่ดีงามนั้นเสียหายไปมาก..!

จึงขอเรียนแจ้งกับญาติโยมทั้งหลายได้ทราบไว้ว่า ถ้าจะเป็นเจ้าภาพกฐินในปีต่อ ๆ ไป ให้เราไปแสดงเจตจำนงกับทางวัดนั้นเองว่าขอเป็นเจ้าภาพ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 13:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า เมื่อวานนี้, 23:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,392
ได้ให้อนุโมทนา: 159,958
ได้รับอนุโมทนา 4,515,135 ครั้ง ใน 37,006 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การเป็นเจ้าภาพนั้นจะเป็นผ้าผืนเดียวก็ได้ ๓ ผืนก็ได้ แต่สมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นผ้า ๓ ผืนครบไตร และไม่ได้ครบไตรอย่างเดียว ครบพระทุกรูปด้วย อย่างปีนี้ที่ผ่านมา ที่วัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพ มีพระจำพรรษา ๔๓ รูป แต่ว่ารับผ้าไตรไปเกือบ ๔,๐๐๐ ไตร..! ญาติโยมได้ยินแล้วอาจจะตกใจ แต่เจ้าภาพเขารู้ว่าอานิสงส์อยู่ตรงนั้น ก็เลยหาผ้ามาถวาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

บางสิ่งบางอย่าง เราไม่ได้เป็นพระ เราไม่เข้าใจ แล้วบางทีพระท่านก็เจตนาที่จะหาเงินอย่างเดียว ทำให้วัตถุประสงค์หลักนั้นผิดเพี้ยนไปหมด จึงเป็นเรื่องที่เราซึ่งเป็นอุบาสก อุบาสิกา จะต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้งกว่านี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นฝากพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัททั้ง ๔ ก็คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ในยุคนี้สมัยนี้ภิกษุณีไม่มีแล้ว อุบาสกอุบาสิกาส่วนใหญ่ก็ไป "ตื่นธรรม" กันหมด ก็คือไปเข้าใจพระพุทธศาสนาผิด ๆ พลาด ๆ เขาสอนผิดก็ไปเข้าใจว่าถูก แห่ตามกระแสโซเชียลไป จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก

ดังนั้น..เราที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ต้องมีส่วนในการค้ำจุนพระพุทธศาสนาเอาไว้ ก็คือต้องช่วยกันประคับประคองรักษา ถ้าเป็นไปได้ ทุกท่านช่วยกันศึกษาศีลพระสักนิดหนึ่ง จะได้รู้ว่าพระทำผิด หรือว่าพระทำถูก

ปัจจุบันนี้การที่พระภิกษุสงฆ์ของเรารับเงินรับทองนั้น ถ้าถามว่าผิดศีลไหม ? ผิดแน่นอน แต่ว่าการผิดศีลนั้นเราต้องดูด้วย อย่างเช่นพระพุทธเจ้าห้ามภิกษุพรากของเขียว ก็คือไม่ให้ตัดต้นไม้ใบหญ้า แล้วถ้าเราปล่อยให้วัดรกเป็นป่า เสือแทบจะลากคนไปกิน แล้วจะเอาศรัทธาญาติโยมที่ไหนมาเลื่อมใส ?!

เราก็ต้องหน้าด้านหน้าทนผิดศีลด้วยการตัดหญ้า ด้วยการตัดแต่งต้นไม้ ซึ่งผิดศีลแน่นอน แต่ดูแล้วว่าถ้าสร้างความเลื่อมใสให้กับญาติโยมได้ ก็เป็นเรื่องที่ควรแก่การลงทุน ก็คือ
ตัวเองยอมผิดศีลรับโทษไป แต่ทำให้พระพุทธศาสนาของเราเป็นที่น่าเลื่อมใสแก่ประชาชน ถือว่าพอที่จะลงทุนได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #4  
เก่า เมื่อวานนี้, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,392
ได้ให้อนุโมทนา: 159,958
ได้รับอนุโมทนา 4,515,135 ครั้ง ใน 37,006 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่พระภิกษุรับเงินรับทองก็เช่นกัน สมัยกระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ถ้าโยมถามว่าแล้วตอนนี้แก่เท่าไร ? ก็อายุ ๖๗ ปีแล้ว ตอนสมัย ๖๐ กว่าปีที่แล้ว พระภิกษุสามเณรขึ้นรถลงเรือไม่ต้องจ่ายค่ารถ เข้าร้านอาหารญาติโยมถวายให้ แต่ปัจจุบันนี้จะทำอะไรก็ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น..!

ดังนั้น..การที่พระภิกษุสงฆ์รับเงินรับทองมา ถือว่าผิดศีล แต่รับมาแล้ว ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามให้เจริญรุ่งเรือง ช่วยเหลือญาติโยมที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือว่ามอบทุนการศึกษา เป็นต้น

อย่างวัดท่าขนุนของกระผม/อาตมภาพ เราช่วยวัดอื่นปีละครั้ง อย่างที่นี่ก็ ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาท หรือให้ทุนการศึกษานักเรียนทั้งอำเภอ ปีนี้ก็ให้ไป ๓ ล้านกว่าบาท หรือว่าช่วยเหลือการศึกษาพระภิกษุสามเณรทั้งอำเภอ ซึ่งแต่ละปีหมดเป็นล้าน ๆ บาท ตลอดจนกระทั่งญาติโยมน้ำท่วม ไฟไหม้ บ้านพัง ไปช่วยเขาทำ ช่วยเขาสร้าง เพื่อให้ทุกคนในสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ไม่ทิ้งใครเอาไว้ด้านหลัง

ถ้าเรารับเงินในลักษณะเอาไปสร้างบุญกุศลต่อแบบนี้ ก็แปลว่าในส่วนของบุญกุศลมีมากกว่า กระผม/อาตมภาพจึงหน้าด้านรับเงิน ยอมศีลขาดในข้อนี้ เพื่อที่ให้พระพุทธศาสนาของเราเจริญรุ่งเรือง เป็นที่พึ่งแก่ญาติโยมทั้งหลาย แต่ด้วยความที่ว่ามีบุคคลที่ทำผิดทำพลาดอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนน้อย แต่บังเอิญว่าเขาเหล่านั้นมีชื่อเสียง มีเกียรติคุณ ทำให้ญาติโยมส่วนหนึ่งเสียกำลังใจ แล้วก็ออกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาบีบคั้นจนพระภิกษุสามเณรของเราแทบจะอยู่ไม่ได้

ขอให้ญาติโยมทั้งหลายดูตัวอย่างอำเภอทองผาภูมิของกระผม/อาตมภาพแล้วกัน ที่นั่นมีประชากรไทยแค่ ๖๖,๐๐๐ กว่าคน แต่มีพี่น้องมอญพม่าอยู่ล้านกว่าคน..! ทุกวันนี้พี่น้องมอญพม่าทำบุญใส่บาตรตามปกติ ไม่สนใจว่าพระภิกษุสามเณรจะเป็นอย่างไร ?
เพราะเขารู้ว่าเขาต้องสร้างบุญกุศลสำหรับตัวเอง การสร้างบุญกุศลนั้นมีแต่จะนำทางชีวิตให้เจริญรุ่งเรือง เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องทำ ไม่ใช่มาตั้งข้อสงสัยว่าทำบุญแล้วพระเณรจะเอาไปทำอะไร ?

ดังนั้น..ญาติโยมที่เป็นมอญ เป็นพม่า มาอาศัยผืนแผ่นดินไทยทำมาหากิน มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาลึกซึ้งกว่าเรา เ
หตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขามีความมั่นคง รู้ว่าคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คืออะไร ? รู้ว่าทาน ศีล ภาวนา ดีอย่างไร ? เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงได้ตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมบุญเพื่อตนเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 00:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 5 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กมลโกศลจิต​ (วันนี้), พุทธภูมิ (เมื่อวานนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:01



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว