กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 17:33
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,244
ได้ให้อนุโมทนา: 226,682
ได้รับอนุโมทนา 817,056 ครั้ง ใน 40,343 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,387
ได้ให้อนุโมทนา: 159,930
ได้รับอนุโมทนา 4,515,020 ครั้ง ใน 36,999 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปถึงวัดน้อย หมู่ที่ ๒ ตำบลโคกคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีแต่เช้า ไปถึงก็นำพวงมาลัยพวงใหญ่ไปกราบ"ท่านอาจารย์ปู่" หรือหลวงปู่เนียม ธมฺมโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดน้อย ผู้เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค แล้วหลวงปู่ปานท่านก็เป็นครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงอีกทีหนึ่ง ซึ่งกระผม/อาตมภาพความจริงแล้วต้องเรียกท่านว่า "ท่านอาจารย์ปู่ทวด" เสียด้วยซ้ำไป

ครั้นกราบหลวงปู่ท่านแล้วก็ขึ้นสู่ศาลาการเปรียญ ซึ่งทางท่านอาจารย์สามารถ - พระครูขันติวรานุสิฐ (สามารถ ขนฺติวโร) เจ้าอาวาสวัดน้อย เจ้าคณะตำบลโคกคราม เขต ๒ รีบมาต้อนรับ กระผม/อาตมภาพส่งผ้าไตรซึ่งมีซองเสียบเช็คเงินสดจำนวน ๒,๕๖๖,๑๕๐ บาทให้กับท่าน แล้วท่านก็เอาไปวางไว้ที่หน้าโต๊ะหมู่ ซึ่งจัดเอาไว้สำหรับองค์กฐิน กระผม/อาตมภาพกระซิบบอกกับท่านว่า "ถ้าเป็นไปได้ก็ดึงเอาเช็คเงินสดออกมาก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าหากว่ามีใครหยิบไปเดี๋ยวก็เป็นเรื่องเท่านั้นเอง..!"

หลังจากนั้นญาติโยมทั้งหลายก็ไหลมาเทมา ร่วมบุญกฐินกันอย่างชนิดแน่นไปหมดทั้งศาลา ทางพิธีกรบอกว่านาน ๆ จะมีคนมาเต็มศาลาแบบนี้สักทีหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกอยู่เหมือนกัน เพราะว่าครูบาอาจารย์ใหญ่ของสายสุพรรณบุรี ซึ่งสมัยก่อนกินแดนไปอีกหลายจังหวัด บรรดาพระที่เป็นเจ้าอาวาส หรือว่าผู้แสวงหาวิชาการต่าง ๆ ต้องมาร่ำมาเรียนกรรมฐานกับท่าน แต่ว่ามาถึงปัจจุบันนี้ วัดวาอารามถึงแม้จะรุ่งเรืองอยู่เหมือนเดิม แต่ผู้คนก็ไม่ได้มากมายเหมือนกับสมัยนั้นอีกแล้ว

กระผม/อาตมภาพนั่งรับศรัทธาญาติโยมอยู่จน ๙ โมง ก็หอบเอาผ้าไตรไปร่วมขบวนแห่ ซึ่งการแห่นั้นก็คือการแห่องค์กฐินเดินรอบโบสถ์เป็นระยะ ๓ รอบด้วยกัน ท่านอาจารย์สามารถพยายามกระทุ้งให้ญาติโยมเดินไว ๆ กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "ไม่เป็นไร" เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะอันดับแรกก็คือไม่กลัวร้อน และอันดับที่สองก็คือไม่กลัวช้า เนื่องเพราะว่า
การแห่องค์กฐินนั้น มีทั้งเจตนารมณ์ที่จะให้คนรู้เห็นได้อนุโมทนาด้วย และส่วนหนึ่งเจ้าภาพก็ได้โปรยทาน เป็นการทำทานบารมีไปด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), นิรันตราย (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #3  
เก่า วันนี้, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,387
ได้ให้อนุโมทนา: 159,930
ได้รับอนุโมทนา 4,515,020 ครั้ง ใน 36,999 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลักษณะของการแห่รอบโบสถ์ ก็คล้ายคลึงกับสมัยที่ท่านย่าวิสาขาสร้างวัดบุพพารามเสร็จ ด้วยความปลาบปลื้มใจก็นำลูกหลานฟ้อนรำรอบบุพพาราม ซึ่งเป็นวิหารหลังใหญ่ ทำเอาบรรดาพระภิกษุสงฆ์เห็นแล้วก็ยังงง สอบถามกันว่า "มหาอุบาสิกาเกิดอาการดีกำเริบหรืออย่างไร ?" ปกติท่านก็เป็นคนเรียบร้อย ไม่เคยฟ้อนไม่เคยรำกับใคร แต่ว่าวันนั้น ด้วยความปลื้มปีติที่บุญใหญ่ของตนเองสำเร็จลง จึงนำลูกหลานฟ้อนรำเป็นการใหญ่

เนื่องเพราะว่าท่านสร้างวัดบุพพารามไปเป็นเงิน ๙ โกฏิ ถ้าเป็นสมัยนี้คิดง่าย ๆ ก็ ๙๐ ล้านบาท แล้วจัดงานฉลองไปอีก ๙ โกฏิ รวม ๆ แล้วก็หมดไป ๑๘๐ ล้านบาท ดีใจที่ได้ใช้เงิน..! ก็เลยพาลูกหลาน ซึ่งประกอบไปด้วยลูกชาย ๒๐ คน สะใภ้ ๒๐ คน หลานอีก ๔๐๐ คน ฟ้อนรำกันรอบมหาวิหารซึ่งสมัยนั้นเรียกกันว่าปราสาท คือ มิคารมาตุปราสาท

คำว่า ปราสาท นั้นก็คืออาคารหลาย ๆ ชั้น ถ้าอย่างสมัยนี้ คอนโดมิเนียมก็จัดอยู่ในประเภทปราสาทในภาษาบาลีเช่นกัน ไม่ใช่ปราสาทราชวัง สถานที่อยู่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเหมือนอย่างความเข้าใจของเรา

เมื่อแห่ครบแล้ว กลับขึ้นมาสู่ศาลา ญาติโยมก็ยังมาทำบุญกันอีกพักใหญ่ จนกระทั่งเวลา ๑๐ โมงตรงก็มีการขอศีล รับศีล แล้วพิธีกรขออนุญาตในการชุมนุมเทวดา กระผม/อาตมภาพเองมองหน้าบรรดาท้าวมหาราชแล้วก็ยังสงสัยว่า ท่านมากันจนครบถ้วนขนาดนี้แล้ว ยังจะชุมนุมไปทำอะไร ? แล้วพิธีกรก็เจอรายการ Eraser ก็คือ
โดนลบความจำเสียเกลี้ยง ไม่สามารถที่จะชุมนุมเทวดาได้จบ..!

กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วขำก็ขำ ไปนึกถึงตอนไปร่วมงานที่วัดหุบกระทิง จังหวัดราชบุรี ซึ่งพราหมณ์ท่านก็อัญเชิญเทวดา แล้วก็ลงท้ายด้วยคำว่า "จงมา จงมา" กระผม/อาตมภาพเห็นท้าวเวสสุวรรณเอากระบองเคาะพื้น ประมาณว่า "ถ้ามึงเรียกอีกพักหนึ่ง..โดนกูตีกบาลแน่..!"

งวดนี้ก็เหมือนกัน เพราะว่าพิธีกรไม่สามารถที่จะขึ้น "อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา กุเวโร ตัปปะสาสะติฯ" ได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของการอัญเชิญท้าวเวสสุวรรณท่าน ซึ่งจากที่หุบกระทิงท่านก็บอกไว้แล้วว่า "เอ็งมีความดีอะไรถึงจะมาเรียกใช้ข้า ?" กระผม/อาตมภาพเองก็นึกอยู่เหมือนกันว่า เราเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา แต่ไปเรียกใช้พระมหากษัตริย์ ก็น่าไม่น่าจะใช่อยู่เหมือนกัน..!

ดังนั้น..เมื่อให้คำแนะนำพิธีกรไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็นำเจ้าภาพทั้งหลาย ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าภาพใหญ่ ก็คือไปรษณีย์นครหลวงเขต ๔ และกรมดุริยางค์ทหารบก ตลอดจนกระทั่งเจ้าภาพเล็กอีกมากมาย หลายสิบหลายร้อยคน ร่วมกันถวายกฐิน ซึ่งตอนนี้บริวารกฐินเพิ่มขึ้นมาอีก ๒๐๐,๐๐๐ กว่าบาท จนกระทั่งพวกเราเพิ่มเข้าไปอีก ๕๖๐ บาท กลายเป็นยอด ๒,๘๐๐,๐๐๐ บาทถ้วน ถวายให้กับพระครูสามารถท่านไปแล้ว ก็มีการอปโลกน์กฐิน แล้วก็ขอตัวไปกรานกฐินกันในอุโบสถ ซึ่งความจริง
กฐินนั้นไม่ใช่ญัตติจตุตถกรรม ไม่จำเป็นต้องกรานในอุโบสถก็ได้ เพราะว่ากฐินนั้นสวดประกาศแล้วสวดกรรมวาจา ๑ จบ ก็ใช้ได้แล้ว เรียกว่าญัตติทุติยกรรมวาจา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), นิรันตราย (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ยอดไผ่ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #4  
เก่า วันนี้, 00:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,387
ได้ให้อนุโมทนา: 159,930
ได้รับอนุโมทนา 4,515,020 ครั้ง ใน 36,999 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในช่วงที่พระท่านไปกรานกฐินกัน กระผม/อาตมภาพจึงได้ขออนุญาตใช้เสียงชี้แจงให้กับญาติโยมทั้งหลาย ให้ได้ทราบถึงสถานการณ์ของพระพุทธศาสนา ที่ไม่ดีต่อกำลังใจของทุกคน เนื่องเพราะว่าปัจจุบันนี้ผู้รู้มีมาก แต่หาผู้รู้จริงไม่ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นอัตโนมติ จึงทำให้การปฏิบัติตนในพระพุทธศาสนานั้นผิดเพี้ยนไปมาก

โดยเฉพาะสิ่งดี ๆ ที่ปู่ย่าตาทวดของเราทำสืบเนื่องกันมา ก็กลายเป็นว่าทำอันโน้นก็บาป ทำอันนี้ก็โง่ ต้องชี้แจงให้ญาติโยมทั้งหลายได้ทราบว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราทำในทาน ในศีล ในภาวนา โดยเฉพาะหลักสำคัญคือศีล สมาธิ ปัญญานั้น เราจะทิ้งไม่ได้

ในส่วนของบุญนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตราบนั้นบุญยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าการทำบุญนั้นส่งผลให้ในด้านดีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ด้วยเหตุที่เราท่านทั้งหลายสร้างบุญกุศลไม่ต่อเนื่อง มีทำความดีบ้าง ความชั่วบ้าง สลับกันไป ประมาณที่โบราณว่า "ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน" จึงได้รับความดีบ้าง ความชั่วบ้าง ตามบุญตามกรรมที่ตนเองสร้างมา จึงทำให้ท่านทั้งหลายบางทีก็ขาดความเชื่อมั่นว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" เนื่องเพราะว่าตนเองทำดีอยู่ แต่กลับได้รับผลกรรมชั่วมาสนองพอดี จึงขาดความมั่นใจในการทำความดีของตน

มีบาลีได้บอกไว้ในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า

บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะได้ดี

บุคคลที่ทำความชั่วในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ได้ชั่วแน่นอน

บุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะได้ชั่ว

ส่วนบุคคลที่ทำความดีในอดีต ทำความดีในปัจจุบัน ต้องได้ดีอย่างแน่นอน
เหล่านี้เป็นต้น

ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่มั่นใจในเรื่องของคุณงามความดี เราลองมานึกดูว่า ถ้าหากว่าเราทำความดีแล้วนรกสวรรค์ไม่มี เราก็เสมอตัว เนื่องเพราะว่าทำแล้วไม่ได้อะไร แต่ถ้านรกสวรรค์มี เราสร้างความดี เราก็ได้กำไร เพราะว่าเราไปที่ดีอย่างแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), นิรันตราย (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ยอดไผ่ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
  #5  
เก่า วันนี้, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,387
ได้ให้อนุโมทนา: 159,930
ได้รับอนุโมทนา 4,515,020 ครั้ง ใน 36,999 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนท่านทั้งหลายที่ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มี ถ้าทำความชั่วแล้วไม่มีจริง ท่านก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าหากว่าท่านทำความชั่ว แล้วนรกสวรรค์มี ท่านก็ขาดทุนยับเยิน เพราะว่าลงทุคติแน่นอน ลองคิดดูว่ากิจการอย่างหนึ่ง เราลงทุนแล้วเสมอตัวกับกำไร และอีกอย่างหนึ่ง ลงทุนแล้วเสมอตัวกับขาดทุน ใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อยก็ควรจะรู้แล้วว่าเราจะทำแบบไหนถึงจะดีกับตนเอง

เมื่อท่านพระครูสามารถนำพระกลับมาจากกรานกฐิน ได้กรวดน้ำรับพรกันแล้ว ก็เชิญทุกรูปทุกท่านรับประทานอาหารด้วยกัน ตอนแรกกระผม/อาตมภาพก็ตั้งใจจะฉันอาหารจากโตกเหมือนกับท่านอื่น ๆ แต่ปรากฏว่าทางวัดจัดโต๊ะใหญ่เอาไว้ พระนั่งได้เป็น ๑๐ รูป แต่ว่ามีกระผม/อาตมภาพ ท่านเจ้าคุณดำเนิน - พระปริยัติวโรปการ (ดำเนิน จิตฺตโสภโณ ป.ธ. ๖) วัดนาคกลาง วรวิหาร จังหวัดกรุงเทพมหานคร และท่านพระครูสามารถ ๓ รูปด้วยกัน นั่งฉันอยู่ตรงนั้น จึงฉันแล้วก็ส่งให้ญาติโยมเป็นระยะ ๆ ไป เพราะว่าข้าวของ
ตรงหน้าแน่นไปหมด

ครั้นอิ่มเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวเดินทางกลับ เรียนกับท่านพระครูสามารถว่า "พรุ่งนี้เจอกันใหม่" เนื่องเพราะว่าทางวัดน้อย (หลวงพ่อเนียม) นั้น ท่านมีธรรมเนียมว่าจะถวายกฐินก่อน แล้ววันรุ่งขึ้นจึงจะทำบุญถวายบูรพาจารย์ ก็คือมีงาน ๒ วันติดกัน แล้วกระผม/อาตมภาพก็รับฎีกาล่วงหน้ามานานแล้ว จึงได้ไปพรุ่งนี้อีก ๑ วัน

ถ้าหากว่าญาติโยมท่านใดที่วันนี้ทำบุญด้วยแล้วยังไม่สะใจ พรุ่งนี้ช่วงเช้าสามารถเจอกันใหม่ได้อีกครั้ง แต่ขออภัยที่อยู่นานไม่ได้ เพราะว่าพรุ่งนี้ กระผม/อาตมภาพมีงานสวดพระพุทธมนต์ถวายสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิร่วมกันจัดที่วัดเวฬุวัน ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่สาคร ธมฺมาวุโธ (พระครูภาวนาสุทธาจารย์) ท่านเป็นเจ้าภาพสถานที่ให้

ยังเรียนกับท่านเจ้าคณะอำเภอ คือหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ, ดร. ไปว่า "ถ้ากลับไปไม่ทันก็หาคนแทนไปก่อนนะครับ เพราะกระผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าธุระที่เหลืออยู่นั้นจะทำให้เสร็จแล้วเดินทางกลับไปทันหรือเปล่า ?"

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
กฤษฎากร (วันนี้), ชุณหพงศ์ (วันนี้), เผือกน้อย (วันนี้), พุทธภูมิ (วันนี้), ไพเดช (วันนี้), มารวย๙ (วันนี้), ยอดไผ่ (วันนี้), ศรัณย์ (วันนี้), สุธรรม (วันนี้)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว