กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 20:23
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 591
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 28,302 ครั้ง ใน 1,079 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 00:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปิยมหาราช องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย บรรลุซึ่งพระนิพพานแดนเกษมสมกับที่เป็นมหาโพธิสัตว์ลงมาบำเพ็ญบารมีด้วยเทอญ

อากาศเช้าวันนี้ที่ โรงแรม Phuntsho Pelri อยู่ที่ ๙ องศาเซลเซียส ต้องบอกว่าไม่หนาวมากจนเกินไป ทั้ง ๆ ที่การพยากรณ์อากาศเมื่อวานนี้ประมาณไว้ว่าช่วงเช้าจะอยู่ที่ ๖ องศาเซลเซียส ต้องเจริญพรขอบคุณเจ้าแม่นิรนามที่ไม่ยอมให้ออกชื่อ เพราะว่าคงจะกลัวคนจะมารบกวนมาก

ตั้งแต่ตอนลงที่สนามบินพาโรแล้ว คุณตี๋ (นายภิญชัย จารุพาณิชย์กุล) ซึ่งเป็นมัคคุเทศก์ของเราบอกว่าโชคดีมาก ๆ เพราะว่าวันนี้ฟ้าเปิด ไม่มีเมฆหมอก ไม่เช่นนั้นเราอาจจะลงไม่ได้ หรือว่าลงได้ก็อาจจะมีอุบัติเหตุ ซึ่งสนามบินพาโรนั้นเป็นหนึ่งในสนามบินระดับต้น ๆ ของโลกที่เรียกว่า "สนามบินปราบเซียน" แต่ก็เป็นที่น่าภาคภูมิใจว่าพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ของเรานั้น นำเครื่องลงด้วยพระองค์เอง อย่างชนิดที่ทุกคนต้องตกตะลึงเลยทีเดียว..!

แล้วขณะเดียวกัน มีบางคนในคณะได้ค้นหาอุณหภูมิที่ได้รับการพยากรณ์ในระยะนี้ของประเทศภูฏานล่วงหน้ามาแล้ว บอกว่าจะต้องเจอฝนด้วย แต่พวกเรามาปรากฏว่าฟ้าเปิดแดดจ้า ถ่ายรูปได้สวยงามทุกที่ ต้องขอบคุณท่านผู้เมตตาเป็นอย่างยิ่ง หวังว่าพวกเรามาเมื่อไรก็จะได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์ตลอดไป คำสัญญาที่ว่ามีโอกาสเมื่อไรจะรีบทำบุญให้นั้นก็ไม่ได้ลืม เนื่องเพราะว่าทุกที่ซึ่งคณะของเราแวะไป ถ้าหากว่ามีตู้บริจาค หรือว่ามีพระท่านรับบริจาค กระผม/อาตมภาพก็รีบควักกระเป๋าทำบุญโดยไม่ลังเล ขอให้ทุกท่านอนุโมทนาทุกครั้ง โดยไม่ต้องบอกกล่าวด้วยเทอญ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า วันนี้, 00:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ มีประชากรแค่ประมาณ ๘ แสนคนเท่านั้น รายได้หลักเข้าประเทศก็คือการจำหน่ายไฟฟ้าจากเขื่อนพลังน้ำให้กับประเทศอินเดีย และการท่องเที่ยว ซึ่งทางภูฏานพยายามจำกัดเป็นอย่างยิ่ง รับนักท่องเที่ยวน้อยมาก ๆ วันหนึ่งมีเที่ยวบินแค่ ๕ เที่ยวเท่านั้น ก็คือจากประเทศไทย ๒ เที่ยว จากประเทศอินเดียและสิงคโปร์ประเทศละ ๑ เที่ยว และยังมีจากประเทศเนปาล ซึ่งอาจจะมีมา ๑ เที่ยว หรือว่าถ้าวันนั้นคนน้อยเขาอาจจะไม่บินมาก็ได้

ก็แปลว่านับแล้วจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาแน่ ๆ วันหนึ่งประมาณ ๖๐๐ คนเท่านั้น ซึ่งจำนวนที่จำกัดนี้ ทำให้เขาสามารถควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ แม้แต่ร้านอาหารใหญ่ ๆ ก็ไม่มี มีเพียงร้านอาหารขนาดเล็ก ซึ่งรับนักท่องเที่ยวพร้อม ๆ กันได้ไม่เกิน ๒๐ คนเท่านั้น เรียกว่าเป็นการกระจายรายได้ ก็คือถ้าร้านไหนรับจองแล้ว ท่านก็ต้องวิ่งไปหาร้านอื่นกันต่อไป..!

รถยนต์ในประเทศนี้ ส่วนใหญ่สำหรับนักท่องเที่ยวก็เป็นประมาณมินิบัสอย่างที่พวกเรานั่งกันมา เหตุก็เพราะว่าถนนนั้นวิ่งคดเคี้ยวไปตามภูเขา และเป็นถนนแคบ ๆ รถใหญ่ไม่สามารถที่จะเข้าโค้งได้ หรือถ้าจะฝืนเข้าโค้งก็แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพไปเจอมาที่เมืองตองยี ประเทศพม่า ก็คือจากรถเมล์สั้น ๆ ที่เราเคยชิน สามารถเข้าโค้งเขาชานโยม่าได้โดยไม่ลำบากมากนัก ขาลงเราสามารถจองรถทัวร์ใหม่เอี่ยม ซึ่งซื้อมือสองมาจากประเทศญี่ปุ่นได้ จนรู้สึกรื่นเริงบันเทิงใจมาก

แต่ที่ไหนได้..ใช้เวลาวิ่งมากกว่ารถขนาดสั้นเกือบ ๓ ชั่วโมง..! เพราะว่าถนนบนเขาชานโยม่า ซึ่งคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมานั้น แทบทุกโค้งรถจะต้องหยุดเกือบนิ่งสนิท ค่อย ๆ ขยับหมุนกว่าที่จะเข้าโค้งได้ เพิ่งจะตั้งลำก็เจอโค้งต่อไปอีกแล้ว ดังนั้น..ทางประเทศภูฏานจึงใช้รถขนาดใหญ่ที่สุด ก็ประมาณมินิบัสเท่านั้น

สำหรับรถเล็กที่สังเกตดูเป็นรถผลิตในอินเดีย ยี่ห้อมหินทรา แม้กระทั่งสถานีบริการน้ำมันก็เป็นยี่ห้อภารตะ จากประเทศอินเดียเช่นกัน แสดงว่าประเทศอินเดียมีอิทธิพลต่อประเทศภูฏานค่อนข้างสูง แม้กระทั่งเงินรูปี ก็แลกกัน ๑ : ๑ กับเงินงุลตรัมของประเทศภูฏานแห่งนี้ ดังนั้น..ในส่วนของประเทศเล็ก ๆ ที่จะประคับประคองตนให้อยู่ได้ ท่ามกลางมหาอำนาจอย่างอินเดียหรือว่าจีนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการด้วยความระมัดระวังรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า วันนี้, 00:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ด้วยความที่ว่าประเทศภูฏานนั้น มีสัมพันธภาพอันดียิ่งกับประเทศไทย โดยเฉพาะในส่วนของราชวงศ์ ไม่ว่าจะราชวงศ์จักรี หรือว่าราชวงศ์วังชุก ก็มีการติดต่อไปมาหาสู่กัน โดยที่ไม่มีความแตกต่างกันในการปฏิบัติเลย

ราชวงศ์วังชุกนำเอาสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ได้วางรากฐานให้กับประเทศไทย และเห็นว่าเหมาะกับชาวภูฏานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำมาปฏิบัติในประเทศนี้ แม้กระทั่งองค์พระราชาธิบดีหรือว่าองค์ราชินี ก็พยายามที่จะเข้าถึงประชาชนในที่ยากลำบาก ถึงขนาดในรัชกาลก่อน ซึ่งมีพระราชินี ๔ พระองค์ แต่ละพระองค์ได้เดินเท้าเข้าไป เพื่อเยี่ยมเยือนประชากรตามที่สูงต่าง ๆ จนกระทั่งได้ฉายาว่า Walking Queen ก็คือพระราชินีเดินเท้า เป็นต้น

ในส่วนนี้ทำให้ชาวภูฏานนั้นรักคนไทยมาก อย่างวันที่เรามา ทุกคนก็พยายามที่จะพูดภาษาไทยกับเรา อย่างเช่น "สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ" เหล่านี้เป็นต้น และอนุญาตให้นักท่องเที่ยวไทยไปใช้ช่องเฉพาะของชาวภูฏานอีกด้วย แม้กระทั่งมัคคุเทศก์ก็พยายามใช้ภาษาไทย อย่างเช่นเวลาถ่ายรูปก็นับ ๑ - ๒- ๓ ให้พวกเราเอ็นดูกันทุกครั้งไป

เมื่อวานนี้ตอนที่เข้าไปในทาชิโช ซอง หรือทิมพู ซอง ซึ่งเป็นทั้งพระราชวัง ที่ตั้งหน่วยทหาร ตลอดจนกระทั่งหน่วยราชการและวัดนั้น เขาอนุญาตให้เข้าได้เฉพาะช่วง ๕ โมงเย็นเท่านั้น พวกเราเข้าไปในช่วงที่เขาเชิญธงชาติภูฏานลงจากเสา และมีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ นำไปเก็บเอาไว้ เพื่อรอพรุ่งนี้เช้าจะได้แห่ออกมา เชิญขึ้นยอดเสาอีกวาระหนึ่ง พวกเราจะเข้าไปทางด้านใน ใครที่มีกระเป๋า มีเป้ ก็ต้องผ่านเครื่องสแกน ส่วนพวกเราที่เดินตัวเปล่า อย่างดีก็ถือขวดน้ำหรือว่าถือโทรศัพท์เอาไว้ถ่ายรูป ก็ให้เดินผ่านซุ้มตรวจ ซึ่งอยู่ในลักษณะตรวจพอเป็นพิธีเท่านั้น

ครั้นเข้าไปข้างในแค่ช่วงทางขึ้น ก็มีรูปปั้นนูนต่ำสวย ๆ งาม ๆ ระดับยอดฝีมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปของมังกรอสุนี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศภูฏานนี้ หรือว่าบรรดาพระโพธิสัตว์ ตลอดจนกระทั่งบรรดาพระสงฆ์ผู้ใหญ่ นางฟ้าผู้พิทักษ์ประเทศ ตลอดจนกระทั่งอัษฏมงคล ก็คือสิ่งมงคล ๘ ประการของทางมหายาน พวกเราสามารถถ่ายรูปทางด้านนอกได้ทุกซอกทุกมุม แต่ถ้าเข้าไปข้างในถอดรองเท้าเมื่อไร ก็แปลว่าห้ามถ่ายรูปเมื่อนั้น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า วันนี้, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเข้าไปถวายผ้าขะตะที่รับมาในวันแรก แก่องค์พระศรีศากยมุนีพระประธานในวัด ซึ่งองค์ใหญ่โตมโหฬารมาก และถวายเงินทำบุญไป ๕๐๐ งุลตรัม รับเอาน้ำมนต์ที่พระลามะท่านรินถวายมา ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วก็คือต้องกินเข้าไปนิดหนึ่ง แล้วที่เหลือก็ลูบใส่ศีรษะ หลังจากนั้นแล้วค่อยเดินชมสถานที่ภายใน ซึ่งตกแต่งเอาไว้ได้สวยงาม ตามวัฒนธรรมของชาวภูฏาน สถานที่นั้นเป็นหอพระใหญ่โตมโหฬารมาก คาดว่าสามารถที่จะให้พระมาเจริญพระพุทธมนต์กันได้เป็นร้อย ๆ รูปเลยทีเดียว

ภายในทาชิโช ซอง แห่งนี้เคยเป็นที่ขึ้นบรมราชาภิเษกของกษัตริย์จิกมี ซิงเย วังชุก องค์รัชกาลที่ ๔ และกษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน สถานที่ภายในจึงค่อนข้างกว้างขวางมาก

พวกเราถ่ายรูปกันจนแสงหมด จึงได้อำลาอาลัยออกมาข้างนอก แล้วก็เจอต้นไม้แปลก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไม่รู้จัก ลักษณะต้นและลูกเหมือนกับลิ้นจี่ แต่ผลใหญ่กว่าลิ้นจี่เล็กน้อย แต่พอเก็บผลที่สุกตกอยู่กับพื้นมาบิออก เนื้อในกลับเหมือนน้อยหน่าบ้านเรา เสียดายว่าเป็นเวลาค่ำ ก็เลยไม่ได้ลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร ?

บริเวณทางเดินออกของเรานั้น มีสวนกุหลาบที่ปลูกเลียนแบบที่พระราชวังภูพิงคราชนิเวศน์เอาไว้ แต่ว่าการดูแลยังดีไม่เท่าบ้านเรา อาจจะเป็นเพราะว่าทางนี้อากาศหนาวเย็นกว่ามาก ทำให้กุหลาบมีการชะงักงัน ไม่ได้เจริญเติบโตเต็มที่ก็เป็นได้

สำหรับวันนี้ พวกเราจะเดินทางไปยังเมืองหลวงเก่า คือเมืองภูนาคา ซึ่งระยะการเดินทางนั้นอยู่ที่ประมาณ ๓ ชั่วโมงเศษ เราจึงนัดกันด้วยตัวเลข ๖ - ๗ - ๘ ก็คือปลุกเวลา ๖ โมงเช้า วางกระเป๋าหน้าห้องและรับประทานอาหารกันตอน ๗ โมง เริ่มล้อหมุนออกเดินทางตอน ๘ โมงเช้า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า วันนี้, 00:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ด้วยความที่ว่าเมื่อวานนี้ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยานของเรา กระเป๋าเดินทางได้อันตรธานไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ก็คือของตนเองนั้นเป็นห้อง ๓๑๗ แต่กระเป๋าไปอยู่ที่ห้อง ๓๑๒ กว่าจะหาเจอก็แทบล้มประดาตาย..!

บรรดาเจ้าหน้าที่พนักงานโรงแรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงตอบว่า ตัวเลข ๒ กับเลข ๗ นั้นคล้ายคลึงกันมาก เมื่อเขียนหวัด ๆ ก็เลยทำให้เข้าใจผิด เอาไปส่งไว้ในห้องที่ไม่มีคนจองและไม่มีคนอยู่เสียด้วย ถ้าหากตามหาไม่เจอ ก็มีหวังสวัสดีเธอจ๋ากันแน่นอน..! วันนี้พวกเราจึงขออนุญาตดูจนกว่ากระเป๋าจะขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ถึงจะขึ้นรถออกเดินทางกันต่อไป

เวลา ๘ นาฬิกาเกือบ ๕ นาที รถของพวกเราได้วิ่งออกจากโรงแรมที่พัก ตรงไปทางเมืองภูนาคา ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศภูฏานมาก่อน ตอนนี้เพิ่งจะเห็นว่าเรื่องของรถมินิบัสนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าหนทางคดเคี้ยววกวนขึ้นเขาไปอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นรถใหญ่กว่านี้ ไปไม่รอดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะถนนนั้น มีประมาณเลนครึ่งของบ้านเราเท่านั้น ถึงเวลารถหลีกกันแต่ละทีก็แทบที่จะกระจกมองข้างกระทบกัน ทำเอากระผม/อาตมภาพเองนึกถึงอีกประเทศหนึ่งที่มีสภาพถนนแบบนี้ ก็คือประเทศเนปาล แต่ว่าเขาก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเป็นอย่างยิ่ง

ประมาณ ๔๕ นาที พวกเราก็มาถึงช่องเขาโดชูลา พาส ซึ่งมีความสูงที่สุดของประเทศภูฏาน คือสูงจากระดับน้ำทะเล ๓,๑๔๕ เมตร ทันทีที่ลงจากเขา คุณตี๋ก็อุทานว่า "สุดยอดมาก..มาเกือบ ๒๐ ครั้งแล้ว ฟ้ายังไม่เคยเปิดให้เห็นเทือกเขาหิมาลัยชัดเจนได้ขนาดนี้เลย" พวกเราจึงแห่กันลงจากรถไป ลืมความสนใจสถูป ๑๐๘ องค์ที่ตั้งอยู่ทางขวามือไปเกือบสนิท..! ทางด้านซ้ายมือเมื่อมองผ่านต้นสนภูเขาออกไป เห็นยอดเขาน้อยใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัย ที่มีหิมะขาวโพลนแจ่มจ้าอยู่ในแสงตะวัน พวกเราจึงหามุมถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่ แล้วก็มีหมอกมาบังอยู่เป็นพัก ๆ

จนกระทั่งได้รูปกันครบถ้วนแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ไปถ่ายรูปพระสถูปทั้ง ๑๐๘ องค์ ซึ่งสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบรมราชินีอาชิ ดอร์จี วังโม วังชุก สมเด็จพระบรมราชินีของรัชกาลที่ ๔ ในราชวงศ์วังชุก ในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก รัชกาลที่ ๔ ทรงปราบกบฎได้รับชัยชนะกลับมา จึงสร้างสถูปทั้ง ๑๐๘ องค์ถวายเป็นพุทธบูชา โดยที่ให้ชื่อว่า พระสถูป ดรุก วังเกล โชเตน เพื่อที่เป็นเครื่องหมายของความสงบสันติ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : วันนี้ เมื่อ 13:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า วันนี้, 00:15
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพวกเราใช้เวลาถ่ายรูปตรงนี้กันแล้ว ค่อยไปเข้าห้องน้ำที่บริเวณร้านกาแฟ ซึ่งทางเอ็นซีทัวร์ให้พวกเราเลือกฉันกันตามสบาย แล้วจะจัดการเคลียร์บัญชีให้เอง แต่กระผม/อาตมภาพไม่ฉันอะไร เพราะว่าต้องหาห้องน้ำกลางทาง เดี๋ยวจะลำบากโดยใช่เหตุ..!

เพียงแต่เจ้าแม่ที่ตามประกบอยู่ บอกให้ถอดเสื้อฮีตเทคออกเก็บได้แล้ว กระผม/อาตมภาพต้องมองหน้ายายหนูเจ้าถิ่น "นี่อากาศ ๑๑ องศาเซลเซียส เธอจะให้หลวงพ่อปอดบวมตายหรือไร ?" แม่เจ้าประคุณยืนยันว่า "ขอให้เชื่อเถอะ..!" จึงต้องถอดออกเก็บอย่างที่ทุกคนต้องการ แล้วก็ขึ้นรถเป็นการเร่งรัดให้ทุกคนขึ้นรถตามไปด้วย เมื่อรถเริ่มออกวิ่งถึงได้รู้ เพราะว่าบริเวณช่องเขาแห่งนี้เป็นจุดสูงสุด แล้วที่เหลือก็คือวิ่งลงต่ำไปโดยตลอด ยิ่งต่ำอากาศก็ยิ่งร้อนชื้นมากขึ้นทุกที จนกระทั่งรู้สึกดีใจว่าเราได้เก็บเสื้อกันหนาวไปแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าต้องมาถอดบนรถคงจะทุลักทุเลน่าดู..!

จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๐.๔๐ น. ของภูฏาน รถก็จอดให้เข้าห้องน้ำที่บริเวณร้านค้าของชาวบ้าน ซึ่งนำเอาผักผลไม้ ตลอดจนกระทั่งผลิตผลอื่น ๆ มาจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในส่วนของเนยแข็ง ซึ่งแข็งพอ ๆ กับหินเลยทีเดียว..! หั่นเป็นชิ้น ๆ แขวนเอาไว้ดูสวยงาม แต่ว่าไม่เป็นมิตรกับฟันนัก เนื่องเพราะว่าความเย็นของอากาศ ทำให้เนยแข็งนั้น แข็งจนกระทั่งน่าจะต้องใช้ค้อนทุบถึงจะสามารถเอามากินได้..!

ในเมื่อมาถึงตรงนี้ก็ใกล้เพลแล้ว ทางเอ็นซีทัวร์จึงได้ปรับโปรแกรมให้พวกเราฉันเพลก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าตามโปรแกรมเราจะต้องไปยังวัดชิมิ ลาคัง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้เลี้ยวเข้าภัตตาคารกูคำ (KU - KHAM HOUSE) ซึ่งเขียนเอาไว้แล้ว กระผม/อาตมภาพอ่านว่า "กูขำ เฮ้าส์..!"

เมื่อเข้าไปข้างใน เห็นการตกแต่งร้านของเขาก็ยังทึ่ง เพราะว่ามีภาพ "พระบฏ" หรือที่เรียกกว่า "ทังกา" เก่า ๆ สวย ๆ มากมาย แถมยังมีพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ชั้นล่างอีกด้วย แต่ด้วยความที่เรามาถึงตอน ๑๑ โมงกว่านิดหน่อยแล้ว จึงได้ตั้งหน้าตั้งตาฉันภัตตาหาร ซึ่งประกอบไปด้วยแป้งและผักเป็นหลักอีกตามเคย โดยมีเอ็นซีทัวร์นำเอาน้ำพริกกะปิและปลาทูทอดมาเพิ่มให้ด้วย

แต่กระผม/อาตมภาพไปไหนก็มักจะฉันแต่ของเขาเท่านั้น แล้วทางด้านน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) ยังดูแลข้ามคันรถอีกต่างหาก ด้วยการนำเอาส้มจีนและฝรั่งขี้นก ที่ซื้อมาจากร้านชาวบ้าน ล้างสะอาดแล้วมาถวาย กระผม/อาตมภาพฉันฝรั่งไปคนเดียว ๕ ลูก เหลือไว้ให้พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร ลูกเดียว เพราะรู้ว่าของรสชาติแบบนี้ อีกฝ่ายไม่ฉันแน่นอน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : วันนี้ เมื่อ 10:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า วันนี้, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่ออิ่มแล้วจึงได้ลงไปยังชั้นล่าง ดูพิพิธภัณฑ์ของเขา ซึ่งมีบรรดาของเก่าต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป ภาพพระบฏ ตลอดจนกระทั่งบรรดาวัชระ และเครื่องประกอบการสวดมนต์ต่าง ๆ ทุกชิ้นถ้าหากว่าท่านมีปัญญาซื้อเขาก็ขาย..! แต่ด้วยความที่เป็นของเก่าของสะสม ราคาจึงไม่ได้เป็นมิตรกับกระเป๋าเลย อย่างเช่นภาพพระบฏภาพหนึ่งก็ประมาณ ๖,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ ดอลลาร์อเมริกัน วัชระที่ประดับไปด้วยแก้วตลอดจนกระทั่งหินเทอร์ควอยส์ อันหนึ่ง ๑๘,๐๐๐ ดอลลาร์อเมริกัน..! เป็นต้น พวกเราส่วนมากจึงได้แค่ชมและถ่ายรูปกันมาเท่านั้น

หลังจากนั้นก็พากันขึ้นรถ ออกเดินทางไปยังถนนเล็ก ๆ แคบ ๆ ซึ่งรู้สึกว่ามินิบัสของเรายังจะใหญ่กว่าถนนเสียอีก..! วิ่งมาไม่กี่นาทีก็มาถึงลานจอดรถของหมู่บ้านชิมิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดชิมิ ลาคัง พวกเราเรียกหมู่บ้านนี้ว่า "หมู่บ้านปลัดขิก" เนื่องเพราะว่าหมู่บ้านนี้เป็นที่ซึ่งท่านลามะดรุกปา กวนเลย์ ซึ่งมีวัตรปฏิบัติคล้ายกับหลวงพ่อจี้กง ก็คือไม่อยู่ในศีลในธรรมตามสายตาของชาวบ้าน แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือท่านไปถึงไหนก็มีเมียมีลูกที่นั่น..! แต่กลายเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านเป็นอย่างมาก เพราะว่าท่านสามารถอธิบายในเรื่องทางเพศ จนกลายเป็นธรรมะได้อย่างอัศจรรย์..!

ท่านได้ทำการปราบนางปีศาจหมาตัวหนึ่ง โดยการใช้ศิวลึงค์สะกดเอาไว้ ขอภัยที่ใช้คำว่า "ศิวลึงค์" เนื่องเพราะว่าจะกลายเป็นศาสนาฮินดูไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้คนก็เลยเคารพนับถือศิวลึงค์เป็นหลัก ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ภาพถ่าย ของเกี่ยวกับอวัยวะเพศชายต่าง ๆ มีสร้างตั้งแต่ขนาดเล็กประมาณนิ้วก้อย จนกระทั่งขนาดใหญ่โตเกือบเท่าเสาเรือน ใครมีปัญญาจะแบกไปก็ยินดีจำหน่ายให้..!

พวกเราเดินเท้าขึ้นไปยังวัดชิมิ ลาคัง ซึ่งเป็นวัดที่บรรดาญาติโยมสารพัดเชื้อชาติ มาที่นี่เพื่ออธิษฐานขอบุตรกับท่านลามะดรุกปา กวนเลย์ แล้วก็สมหวังไปตาม ๆ กัน แม้กระทั่งสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ก็ยังพาสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก องค์ปัจจุบัน มากราบขอพรที่นี่ด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า วันนี้, 00:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไปแล้วก็เห็นบรรดาผู้หญิงผู้ชาย ซึ่งเป็นชาวภารตะ (อินเดีย) มีความเคารพในศิวลึงค์อยู่แล้ว มาขอพรให้มีลูก ถ้าหากว่าผู้หญิงเป็นคนขอพร ก็ต้องแบกศิวลึงค์อันประมาณเด็ก ๔ - ๕ ขวบอยู่บนหลัง เดินวนรอบวัดให้ครบรอบจึงจะสมหวังดังคำอธิษฐาน..! มีอัลบั้มรูปของฝรั่งสารพัดเชื้อชาติที่มาขอลูกที่นี่แล้วประสบความสำเร็จ มาลงรูปลงลายเซ็นเอาไว้มากมาย กระผม/อาตมภาพทำบุญไป ๕๐๐ งุลตรัม บอกว่า "แค่ทำบุญ ไม่ได้ต้องการลูก..!" แล้วออกมาทางด้านนอก ถ่ายรูปหมู่รวมกัน

จากนั้นก็เดินลงไปยังรถ เข้าไปตามร้านค้า ซึ่งทุกร้านก็มีแต่สารพัดอวัยวะเพศจำหน่ายเป็นหลัก ส่วนอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบเท่านั้น วนไปสองร้าน จึงไปเจอรูปหล่อจามรี ซึ่งตั้งราคาไว้ที่ ๓,๙๐๐ งุลตรัม กระผม/อาตมภาพต่อเหลือ ๓,๐๐๐ ถ้วน แม่ค้าโวยวายว่า "ลดทีตั้ง ๙๐๐ เป็นไปไม่ได้..! ขอสัก ๓,๒๐๐ ก็แล้วกัน" กระผม/อาตมภาพยืนยันว่า "Three Thousands only" แม่เจ้าประคุณคิดหนักอยู่พักใหญ่ กว่าจะยอมพนักหน้าให้ กระผม/อาตมภาพเป็นคนประเภทนี้เอง ก็คือมีราคาในใจของตนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าคนอื่นรับไม่ได้ ไม่ขายเราก็ไม่ว่า แต่ถ้าขาย ต้องขายในราคาที่ตนเองตั้งเอาไว้ในใจนี่แหละ..!

จากนั้นทางคณะทัวร์ก็นำพวกเราวิ่งออกจากหมู่บ้านชิมิ ตรงไปยังเมืองภูนาคา เพื่อไปชมป้อมปราการภูนาคา ซอง ซึ่งเป็นทั้งหน่วยทหาร ตลอดจนกระทั่งพระราชวัง มาจอดรถถ่ายรูปทางด้านนอกกันจนพอใจแล้ว ถึงได้เข้าไปที่ลานจอดรถ เดินข้ามสะพานเข้าไปถ่ายรูปทางด้านใน กระผม/อาตมภาพอาศัยว่าไม่กลัวความสูง ก็เลยเดินเร็วกว่าคนอื่นเขา ถ่ายรูปจนกระทั่งทุกคนมาครบแล้ว จึงได้ถ่ายรูปหมู่กันที่หน้าปราสาทหลัก ซึ่งด้านบนมีผึ้งหลวงทำรังอยู่นับ ๑๐ รัง แต่ว่าตอนนี้ร้างไปหมดแล้ว..!

เมื่อเข้าไปถึงทางด้านในซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีกระทั่งต้นโพธิ์ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้ กระผม/อาตมภาพที่เดินเข้าไปก่อน จึงขึ้นไปบนหอสูงสุด ซึ่งต้องขึ้นบันไดไปทีละชั้น ๆ ชั้นละ ๒๐ ขั้น ไปถึงยอดด้านบนมองลงมา เห็นบรรดาญาติโยมเดินเข้ามาแล้ว ตะโกนเรียกเผื่อมีใครจะถ่ายรูปให้ แต่ปรากฏว่าความสูงที่เห็นคนตัวเท่ามด ทำให้คนได้ยินเสียงแต่มองไม่เห็นกระผม/อาตมภาพ ก็เลยไม่ได้รูปมาสักรูป..!

นอกจากถ่ายรูปห้องพระด้านบน กราบพระแล้วลงมาข้างล่าง ค่อยมาถ่ายรูปหมู่กัน แล้วตรงเข้าไปยังพระวิหารใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนก็คือท้องพระโรงในการว่าราชการนั่นเอง เข้าไปถวายปัจจัยบำรุงวัดเป็นจำนวน ๕๐๐ งุลตรัม อุทิศให้กับเจ้าแม่ที่ตามติด ๆ ไม่ห่าง..!

หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปทุกรูปที่เขาห้าม เนื่องเพราะว่าที่ใดก็ตาม ถ้าต้องถอดรองเท้าเข้า เป็นอันรู้กันว่าห้ามถ่ายรูป และที่นี่ก็มีป้ายห้ามเต็มไปหมด แต่ด้วยความที่เจ้าแม่รู้อยู่แล้วว่ากระผม/อาตมภาพไม่ค่อยจะฟังใคร จึงปล่อยให้ถ่ายรูปไปแต่โดยดี..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า วันนี้, 00:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,333
ได้ให้อนุโมทนา: 159,828
ได้รับอนุโมทนา 4,513,501 ครั้ง ใน 36,946 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครั้นย้อนออกมาเก็บรายละเอียดด้านนอกแล้ว พวกเราก็กลับมาขึ้นรถ ใครที่อยากเข้าห้องน้ำก็ไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นโชเฟอร์ก็พาเราวิ่งไปไม่กี่นาที จอดลงที่ลานจอดรถอีกแห่งหนึ่ง บอกว่าให้ไปชมสะพานแขวนภูนาคา สมัยก่อนต้องเดินมาจากภูนาคา ซองมา แต่ว่าสมัยนี้รถสามารถเข้ามาใกล้ เดินประมาณ ๓๐ นาทีก็ถึง กระผม/อาตมภาพลองเดินดูแล้ว ปรากฏว่าแค่ ๒ นาทีเท่านั้นเอง..!

ส่วนสะพานแขวนซึ่งสร้างขึ้นและบูรณะขึ้นมาใหม่นั้น ต้องบอกว่ากว้างใหญ่สมกับเป็นสะพานที่ยาวที่สุดของภูฏาน กระผม/อาตมภาพใช้เวลาเดินไปกลับถึง ๓ นาทีทีเดียว กลับมาถึงฝั่งนี้แล้ว ญาติโยมจำนวนมากยังเดินมาไม่ถึงสะพานเลย จึงต้องไปนั่งรออยู่บนรถบัส ทำการส่งงานต่าง ๆ จนทุกคนกลับมาพร้อม ทางโชเฟอร์ถึงได้นำพวกเราวิ่งข้ามแม่น้ำ ซึ่งมีสะพานเหล็กขนาดใหญ่รองรับรถได้ ตรงเข้าไปยังตัวเมืองภูนาคาเพื่อหาที่พัก แต่ด้วยความที่ว่าโรงแรมซางโต เพลรี ของเราอยู่บนยอดเขา กว่าจะขึ้นไปถึงต้องใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว

ทางโรงแรมส่งคนมาต้อนรับ แจกผ้าเย็น และเวลคัม ดริ๊งค์ เป็นชามะนาวเปรี้ยวจี๋..! แต่กระผม/อาตมภาพชอบมาก ในระหว่างที่นั่งรอเพราะว่ากระเป๋าที่ส่งมาก่อนนั้น เขาจัดสลับห้องกันไปหมด ระหว่างที่รอเขาจัดกระเป๋ากลับคืนห้องเดิม กระผม/อาตมภาพเดินไปดูสินค้าของเขา ปรากฏว่าเจ้าของร้านที่เป็นสาวใหญ่ อัธยาศัยดีมาก บอกว่าตรงนี้แค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น สินค้าหลักอยู่ทางร้านใหญ่ข้างนอก ว่าแล้วก็เดินนำไปแบบกระตือรือร้นมาก

กระผม/อาตมภาพกับน้องการ์ตูนตามไป เห็นภายในมีข้าวของสารพัดอย่างจำหน่าย ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ ตลอดจนกระทั่งเครื่องไม้เครื่องมือในการสวดมนต์ไหว้พระ และรูปสลักต่าง ๆ เมื่อดูสิ่งที่เขาทำเป็นประคำบ้าง เป็นแหวนบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเทอร์คอยส์ก็ดี หรือว่าอำพันก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นของแท้..!

ครั้นมาถามลูกแก้วลาพิส ลาซูรี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖ เซนติเมตร เธอบอกว่าราคา ๒,๕๐๐ งุลตรัม กระผม/อาตมภาพถามว่า "ลดได้ไหม ?" เธอแทบจะไม่คิดเลย บอกว่า "ถ้าหลวงพ่อต้องการ จำหน่ายให้แค่ ๑,๘๐๐ งุลตรัมเท่านั้น..!" กระผม/อาตมภาพจึงรีบซื้อมา แล้วเดินย้อนมาบอกกับทุกคนที่รอห้องพักอยู่ เมื่อทุกคนได้ยินว่ามีของดีของแท้ราคาถูก จึงแห่กันไปจนแน่นร้านไปหมด ส่วนกระผม/อาตมภาพกลับมาเข้าห้องพัก ทำการซักผ้าและสรงน้ำแล้ว จึงได้บันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ขาดช่วงในการฟัง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว