#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๘
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 22-10-2025 เมื่อ 18:19 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ พวกเรามีนัดกันที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิตอนตี ๒ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ได้นำรถตู้ซึ่งขับโดยคุณปิง (นายณัฐภาคย์ องค์วรวิทย์) พร้อมด้วยพระครูสมุห์ต้นไม้ (พระครูสมุห์กรณ์พัฒน์ กนฺตวณฺโณ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอุทยาน ไปส่งกระผม/อาตมภาพ น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) และลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) ที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
พวกเราออกจากวัดอุทยานตอนตี ๑ ไปถึงเพิ่งจะตี ๑ ครึ่งเท่านั้น แต่ว่าทางเจ้าหน้าที่ของบริษัทเอ็นซีทัวร์ ไม่ว่าจะเป็นคุณหนึ่ง (นางสาวณิชชารีย์ จั่นแก้ว) คุณการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์ ) และคุณตี๋ (นายภิญชัย จารุพาณิชย์กุล) มาอยู่รอรับพวกเรา พร้อมกับแจกเอกสาร ติดแท็ก จนกระทั่งพวกเรามากันครบถ้วน ครั้งนี้มีบุคคลที่คุ้นเคยอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพราะว่ากระผม/อาตมภาพขอไป "แจม" กับทริปของทางบริษัทเอ็นซีทัวร์ที่จัดไปประเทศภูฏาน แล้วก็ได้รับความเมตตาจากครอบครัวงามพฤกษ์วานิชย์ ของมาดามเฮง (คุณสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) กับลูกสาวคือหมอมุก (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) และคุณจีน่า (นางสาวพลอยจุฑา งามพฤกษ์วานิชย์) ช่วยออกค่าทัวร์ให้ โดยมีคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) ที่อุตส่าห์เดินทางมาส่ง พร้อมกับถวายปัจจัยไว้ ๕,๐๐๐ บาท บอกว่า "คุณแม่ (คุณนวลจันทร์ เพียรธรรม)และผมฝากไปทำบุญด้วยครับ" เมื่อได้เวลา ทางด้านเคาน์เตอร์เปิดให้เช็คอิน กระผม/อาตมภาพเองที่ถือกระเป๋าใบเดียว น้ำหนัก ๕ กิโลกรัมถ้วน ๆ จึงรับภาระแบกกระเป๋าของเอ็นซีทัวร์ไป ๒ ใบ น้ำหนัก ๒๘ กิโลกรัมเศษ ! ครั้นได้ตั๋วไปแล้ว ก็โดนต้อนไปเข้าทางด้านช่อง Fast Track ซึ่งไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเร็วกว่าช่องปกติ แม้แต่ครั้งนี้ก็เช่นกัน..! กระผม/อาตมภาพที่รู้สึกว่า การที่เราเช็คออกด้วยระบบอัตโนมัตินั้น เหมือนอย่างกับไม่ได้ออก เนื่องเพราะว่าไม่มีหลักฐานอะไรอยู่กับฝ่ายเราเลย จึงส่งพาสปอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งนั่งประจำอยู่ ให้ประทับตราออกนอกประเทศแทน จากนั้นก็เดินไปเพื่อรออยู่ที่บริเวณโซน G โดยประตูขึ้นเครื่องของเราก็คือ G5 แต่ว่าถ้าลงไปข้างล่างตอนนี้ก็ไม่มีที่นั่ง พวกเราจึงหาที่นั่ง และบางคนก็ใช้เป็นที่นอนไปด้วย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพฉวยโอกาสภาวนาจนครบชุด แล้วค่อยไปรอที่หน้าประตูขึ้นเครื่อง ปรากฏว่ามีพระนิกายวัชรยานอยู่ ๖ - ๗ รูป ซึ่งน่าจะเป็นพระของประเทศภูฏานนี่เองไปเที่ยวบินเดียวกัน ครั้นได้เวลา เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง
เมื่อขึ้นไปถึงหาที่นั่งได้เรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็หลับตาภาวนา อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าที่ซึ่งปกปกรักษาตลอดเส้นทาง รวมทั้งเจ้าที่เจ้าทางซึ่งดูแลประเทศภูฏานอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าเวลาเลยไปเท่าไร ลืมตาขึ้นมาอยู่กลางฟ้าไปแล้ว..! จากเวลาขึ้นเครื่องตี ๕ ตอนนี้ขาดอีก ๔ นาทีจะ ๖ โมงเช้า..! อีกสักครู่หนึ่งเจ้าหน้าที่ก็มาแจกอาหารเช้า ซึ่งมีผัดหมี่กับไข่เจียวให้เลือก กระผม/อาตมภาพจึงเลือกเอาไข่เจียวมา โดยมีข้าวโพดทอดมา ๒ แผ่น พร้อมกับไส้กรอก แล้วก็ถั่วในลักษณะเหมือนกับแกงดาล พร้อมกับครัวซองต์ ๑ ชิ้น ส่วนโยเกิร์ตนั้นกระผม/อาตมภาพฉันไม่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จึงต้องสละสิทธิ์ไป ครั้นฉันเสร็จแล้วดูนาฬิกา คิดว่ามีเวลาอีกประมาณชั่วโมงครึ่ง เนื่องเพราะว่ายังจะไม่ทัน ๗ โมงเช้าของเราดี ซึ่งถ้าหากว่าเวลาไปถึงสนามบินนานาชาติพาโรก็คือเวลา ๐๗.๑๕ น.ของทางภูฏาน ซึ่งจะตรงกับเวลา ๐๘.๑๕ น.ของบ้านเรา กระผม/อาตมภาพจึงไปเข้าห้องน้ำก่อน แต่ปรากฏว่าคนที่เข้าก่อนนั้นใช้เวลานานมาก จึงต้องนั่งรอจนแทบจะลืมโลกไปเลย ครั้นเข้าห้องน้ำออกมาได้ไม่นาน เครื่องก็ลดระดับลง ทำเอากระผม/อาตมภาพ "เหวอ" ไปทีเดียว ปรากฏว่านาฬิกาในโทรศัพท์เปลี่ยนไปใช้เวลาของภูฏานไปตอนไหนก็ไม่รู้ ? การบินลงค่อนข้างหวาดเสียวมาก เพราะว่าภูเขาห่างจากปีกเครื่องบินนิดเดียว..! เมื่อลงสู่สนามบินโดยปลอดภัย จึงมีเสียงผู้โดยสารปรบมือให้กัปตันเกรียวกราวไปหมด กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่คิดด้วยความภูมิใจว่า สนามบินที่อันตรายระดับต้น ๆ ของโลกนี่แหละ ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ของพวกเรา ได้นำเครื่องลงด้วยพระองค์เองมาแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : เมื่อวานนี้ เมื่อ 05:18 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
พวกเราเดินไปยังอาคารเฉลิมพระเกียรติซึ่งสร้างใหม่ เพื่อทำการตรวจประทับตรารับการเข้าเมือง โดยที่ใช้เพียงวีซ่าและพาสปอร์ตเท่านั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ทราบว่าพวกเรามาจากประเทศไทย ก็อนุญาตให้ใช้ช่องเฉพาะคนภูฏานอีกต่างหาก เจ้าหน้าที่ทักทายว่า "สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ" ทำเอากระผม/อาตมภาพแทบจะไปไม่เป็น ได้แต่อวยพรกลับไปว่า "ตาชิ ทาเล็ก" ซึ่งก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะใช้ได้สำหรับเรื่องนี้หรือเปล่า ? แต่ก็เห็นเขายิ้มรับด้วยความยินดี
พวกเราได้รับการประทับตราผ่านมาแล้ว ก็ไปรอรับกระเป๋าที่สายพานซึ่งงามสุด ๆ เพราะว่าสร้างเป็นป้อมปราการต่าง ๆ แบบของภูฏานอยู่ทุกสายพาน ทำเอาหลายคนไม่สนใจที่จะรับกระเป๋า หากแต่ว่าวิ่งไปถ่ายรูปกับบรรดาป้อมปราการต่าง ๆ แทน เมื่อได้กระเป๋ามาครบถ้วนแล้ว พวกเราจึงออกจากนอกอาคาร ซึ่งมีเจ้าหน้าที่เรียกชี้ให้บางคน นำกระเป๋าไปสแกนเป็นการสุ่มตัวอย่าง..! เมื่อออกมาข้างนอก เจ้าหน้าที่ของทางด้านภูฏาน ซึ่งประสานกับทางเอ็นซีทัวร์ไว้แล้ว ก็พาพวกเราไปขึ้นรถ ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณมินิบัส โดยแบ่งออกเป็น ๒ คัน ปรากฏว่าคณะของเรานั้น มีคุณไก่ (โสภา ตั้งอธิคม) กับสามี (วีรวัฒน์ ตะล่อมสิน) หลุดไปอยู่บัสที่ ๒ อยู่คู่เดียว เมื่อพวกเราขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ทางด้านมัคคุเทศก์ท้องถิ่นก็นำเอา "ผ้าขะตะ" มาถวายให้ ในลักษณะอวยชัยให้พร ยินดีต้อนรับ แล้วพาพวกเราวิ่งเดินทาง ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาทีก็มาถึงสำนักสงฆ์ตัมโช ซึ่งสถานที่นี้มีสะพานข้ามแม่น้ำพาโร ที่ทำด้วยเส้นลวดเก่าแก่ อายุตั้ง ๖๐๐ ปีมาแล้ว ตอนนี้ปิดใช้งานไป โดยสร้างสะพานใหม่คู่ขนานกัน ให้พวกเราสามารถที่จะเดินข้ามไปถ่ายรูปอีกฝั่งหนึ่ง กระผม/อาตมภาพเองฉวยโอกาสลงไปถึงแม่น้ำพาโร เสียง "เจ้าแม่" ซึ่งงวดนี้เก็บตัวสนิทเงียบดีมาก บอกว่า "ให้ลองชิมน้ำดู เผื่อว่าจะรักษาโรคได้" กระผม/อาตมภาพลองวักน้ำมาดื่มดู ปรากฏว่าจืดสนิทและเย็นดีมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : เมื่อวานนี้ เมื่อ 16:31 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นถ่ายรูปจนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว พวกเราก็กลับขึ้นรถและวิ่งต่อไป ไม่ถึง ๒๐ นาทีก็มาถึงบริเวณด่านชูซอม ซึ่งบริเวณนี้เป็นสบแม่น้ำ ๒ สาย มีพระเจดีย์ ๓ องค์ เป็นศิลปะทิเบต ๑ องค์ ศิลปะภูฏาน ๑ องค์ และศิลปะเนปาล ๑ องค์ พวกเราก็เลยเรียกกันว่าด่านเจดีย์ ๓ องค์ และเป็นการดีที่ตรงนี้มีห้องน้ำให้เข้ากันได้ด้วย พวกเราจึงหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย
จนกระทั่งพอเพียงแล้ว ก็วิ่งออกจากเมืองพาโรตรงไปยังเมืองหลวง ก็คือเมืองทิมพู ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ระยะทาง ๖๕ กิโลเมตร พวกเราหยุด ๒ ครั้ง แล้วยังไปถึงเมืองทิมพูก่อนเวลาตั้งนาน จึงแวะไปยังซิมโทกา ซอง ซึ่งเป็นป้อมปราการแห่งแรกของทางประเทศภูฏาน เป็นป้อมปราการที่มีชื่อเสียงมากโดยพิเศษ สร้างขึ้นโดยท่านชับดรุง งาวัง นัมเกล บิดาแห่งประเทศภูฏาน พวกเราไปถึงแล้ว ปรากฏว่าสถานที่ไหนก็ตาม ถ้าต้องถอดรองเท้าก่อนเข้า แปลว่าห้ามถ่ายรูปด้วย และป้อมแห่งนี้ก็ให้พวกเราถอดรองเท้าก่อนเข้าไป พอดีเป็นเวลาทำวัตรเช้าของทางด้านพระภิกษุชาวภูฏานที่นี่ ได้ยินเสียงสวดมนต์ พร้อมกับเสียงกลอง เสียงระฆังกระหึ่ม น่าเลื่อมใส พวกเราเข้าไปกราบสักการะองค์พระโพธิสัตว์ และพระศากยมุนี พร้อมกับทำบุญและตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชา สถานที่นี้มีรูปปั้นของท่านชับดรุง งาวัง นัมเกล อยู่เหมือนอย่างกับเป็นพระประธานองค์หนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าท่านได้รับการยกขึ้นอยู่ในระดับเดียวกับพระโพธิสัตว์ไปแล้ว เมื่อพวกเราทำบุญและตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชากันแล้ว ก็ออกมาทางด้านนอก ขึ้นไปนั่งรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ เพราะว่าพวกเราเคยชินกับการทำอะไรรวดเร็วและตรงเวลา แต่ว่าอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งความจริงก็คือคณะทัวร์หลักเองนั้น มากันแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็เลยทำให้พวกเรารอกันค่อนข้างจะนานทีเดียว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : เมื่อวานนี้ เมื่อ 16:31 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นพร้อมแล้วก็วิ่งตรงไปยังตัวเมืองทิมพู เพื่อไปหาร้านอาหารสำหรับรับประทานเป็นมื้อกลางวัน แต่ปรากฏว่าร้านอาหารของเขามีแต่เล็ก ๆ รับคณะของเราทั้งคณะไม่ได้
ดังนั้น..เราจึงจอดรถอยู่ข้างร้านอาหารใกล้พระเจดีย์องค์ใหญ่ เข้าไปแล้วเห็นอาหารของเขาเป็นบุปเฟต์ กระผม/อาตมภาพที่ไม่เคยรังเกียจอาหารพื้นบ้านที่ไหนเลย จึงจัดการตักมาทุกอย่าง พอชิมเข้าไปแล้วยังรู้สึกดีใจมาก เพราะว่าอาหารทุกอย่างรสชาติค่อนข้างจะดีทีเดียว แล้วหลังอาหารก็ยังมีฟรุตสลัดมาให้อีกต่างหาก เมื่อเข้าห้องน้ำกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปยังวัดบนเขา ชื่อว่าวัดชากังคา ลาคัง ซึ่งคำว่า ลาคัง ก็หมายถึงวัดนั่นเอง วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ที่คนภูฏานนิยมนำเอาลูกเล็กเด็กแดงมาขอพร และขอให้พระตั้งชื่อให้ ปรากฏว่าที่นี่ก็ต้องถอดรองเท้าอีกแล้ว พวกเราจึงได้แต่กราบพระทำบุญกัน แล้วกระผม/อาตมภาพเดินวนดูวิวรอบวัด ซึ่งเห็นตัวเมืองทิมพูที่สวยสดงดงามมาก จากนั้นก็ยังมีเวลาเหลือ ทางมัคคุเทศก์จึงนำเราลงจากวัด มุ่งตรงขึ้นเขาไปอีกด้านหนึ่ง บอกว่าพาไปชมสัตว์ประจำชาติของภูฏาน คือ ทาคิน กระผม/อาตมภาพได้ยินว่าเป็นสัตว์ที่มีเฉพาะทางด้านนี้ แต่ตนเองนั้นเคยไปพบที่ประเทศพม่า และเข้าไปลูบ ๆ คลำ ๆ มา โดยที่เจ้าหน้าที่สวนสัตว์พม่าไม่ได้ห้ามปรามอะไรมาแล้ว..! เมื่อมาถึงสถานที่จอดรถ บรรดามัคคุเทศก์ลงไปซื้อตั๋ว กระผม/อาตมภาพฉวยโอกาสเดินเข้าไปก่อน เส้นทางแบ่งออกเป็น ๒ สาย ก็คือทางขวามือจะเดินขึ้นไปบนเส้นทางที่เขาทำเป็นทางเดิน อยู่ในลักษณะลดเลี้ยวไปตามป่าสน ซึ่งคุณตี๋ มัคคุกเทศก์บอกว่าควรจะขึ้นทางด้านนั้น เพราะว่าช่วงนี้แดดร้อนมาก ตัวทาคินจะหลบร้อนอยู่ในป่า แต่บังเอิญ "เจ้าแม่" ท่านบอกว่า "ให้ไปทางซ้ายมือ" ซึ่งต้องเดินขึ้นเนินไป กระผม/อาตมภาพจึงบอกคุณตี๋ว่า "จะเดินไปทางนี้ เดี๋ยวค่อยอ้อมไปทางด้านหลังแทน" แต่พอโผล่ขึ้นเนินไปก็ตะลึง เพราะว่าบรรดาทาคินเป็นสิบ ๆ ตัว แห่กันมารออยู่ทางด้านนี้ สามารถที่จะถ่ายรูปได้อย่างใจ แถมยังจับลูบ ๆ คลำ ๆ ได้ทุกตัวอีกด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
แต่พอเมื่อมีคนดึงเอาต้นหญ้าไปให้ แล้วบรรดาทาคินแห่กันเข้ามากิน กระผม/อาตมภาพจึงดึงเอายอดไผ่ไปให้ ปรากฏว่าพวกเจ้าตัวประหลาดนี้แย่งกันใหญ่ เหตุที่เรียกว่าตัวประหลาด เพราะว่ามีเขาเหมือนวัว มีตัวเหมือนแพะ แต่เป็นแพะที่ตัวใหญ่เท่าวัวนั่นเอง..! จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ต้องมาห้ามว่าไม่ให้เลี้ยงอาหารสัตว์พวกนี้ พวกเราจึงต้องถอยออกมาด้วยความเสียดาย ขึ้นไปรับน้ำชากาแฟกันบนร้านของเขา ซึ่งจะเรียกว่า "คาเฟ่แมว" ก็น่าจะได้ เพราะว่ามีแมวจอมป่วนอยู่ตัวหนึ่ง วิ่งไปโต๊ะโน้นบ้าง โต๊ะนี้บ้าง เผื่อว่าจะมีอะไรให้กิน..!
ครั้นรับคาเฟอีนไปแล้ว พวกเราก็ลงจากเขาตรงไปยังสถานที่พักในคืนนี้ก่อน ก็คือโรงแรม Phuntsho Pelri โดยที่พวกเราเข้าที่พัก อาบน้ำอาบท่า พักผ่อนกันก่อน เนื่องจากว่าโปรแกรมต่อไปก็คือ เราจะเข้าชมพระราชวังที่เปิดตั้งแต่ ๕ โมงเย็นเป็นต้นไป จึงมีเวลาพักผ่อนประมาณ ๒ ชั่วโมง กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะหาน้ำร้อนมาอาบได้ ไม่ทราบว่าเปิดเป็นคนแรก ๆ แล้วน้ำไม่ร้อนหรือเปล่า ? แถมยังมีป้ายบอกให้ช่วยกันประหยัดน้ำ จึงใช้วิธีวิ่งผ่านน้ำ แล้วก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนของวันนี้เอาไว้ก่อน เผื่อว่าถ้ากลับมาจากการไปชมพระราชวังแล้วไม่มีเวลา ทุกท่านจะได้ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนวันนี้โดยไม่ขาดช่วงลง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|