#1
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ การเจ็บไข้ได้ป่วยมีสารพัดสาเหตุ สำคัญที่สุดก็คือสร้างกรรมเก่าไว้ในอดีต โดยเฉพาะเศษกรรมปาณาติบาต ทำให้ชาตินี้เกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วย ประการต่อไปก็คือแก่ พอร่างกายแก่ เรี่ยวแรงในการต้านทานโรคก็มีน้อยลง ทำให้โรคภัยไข้เจ็บกำเริบได้ง่ายขึ้น สาเหตุหลัก ๆ มีอยู่แค่นี้ ส่วนอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น ประเภทว่า พักผ่อนไม่เพียงพอ คลุกคลีกับคนป่วย กินอาหารไม่ครบหมู่..อย่าไปเชื่อเขา อาตมภาพเห็นรุ่นพ่อรุ่นปู่ซดแต่ข้าวต้มกับน้ำเกลือ ก็เห็นแข็งแรงพอกับควาย..! ไหนบอกว่าต้องกินอาหารครบ ๕ หมู่..?! คนจีนรุ่นนั้นส่วนใหญ่มารับจ้างเป็นกรรมกรแบกหาม อาหารหลักก็คือข้าวต้ม กินข้าวสวยไม่ได้เพราะว่าเปลือง กินข้าวต้มอย่างไร..? ก็หาอะไรพอเค็ม ๆ กินกับข้าวต้มได้ ก็เอากรวดคั่วน้ำเกลือ ถึงเวลาก็ดูด ๆ ให้รู้สึกว่ามีเค็มหน่อย แล้วก็ซดข้าวต้มตามเข้าไป กินเพื่ออยู่ แต่ละคนอาบเหงื่อต่างน้ำ ผอมจนซี่โครงขึ้นกันระนาว หาเงินส่งกลับบ้านที่เมืองจีน โคตรแข็งแรงเลย โดยเฉพาะพวกจับกังแบกข้าวสาร พอถึงเวลาเดินผ่านหัวหน้างานก็เอาไม้ติ้วแหลม ๆ เสียบไว้ที่กระสอบ พอตัวเองแบกไปถึงที่ อย่างเช่นว่าขึ้นที่โกดังหรือว่าแบกลงเรือ ก่อนจะทิ้งกระสอบลง ก็ชักไม้ติ้วออก เก็บรวบรวมไว้ ถึงเวลาหมดงานหรือเวลาหมดวัน ก็เอาไม้ติ้วไปให้ผู้จัดการเขานับ แล้วก็จ่ายเงินให้ตามนั้น เกิดไม่ทันก็ไม่ได้เห็นกันสินะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
โดยเฉพาะการแบกข้าวสารขึ้นเรือ แบกข้าวสารลงจากเรือ เป็นไม้กระดานแผ่นเดียวพาดแล้วกระสอบน้ำหนักเป็น ๑๐๐ กิโลกรัม เดินทีไม้ก็อ่อนยวบ ยวบ ๆ ตามไป พลาดมีสิทธิ์ตาย เพราะโดนกระสอบหนักเป็น ๑๐๐ กิโลกรัมทับลงไป มาเจอเด็กรุ่นหลังแค่ ๕๐ กิโลกรัมก็แบกไม่ขึ้นแล้ว..! อาตมาตอนช่วงวัยรุ่น ข้าวสาร ๑๐๐ กิโลกรัมนี่สบายมาก ไม่รู้สึกหนักเสียด้วยซ้ำไป
คราวนี้เราปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันนี้ พรุ่งนี้ และก็มะรืน คราวนี้เวลาที่พวกเรารอส่วนใหญ่คือการปฏิบัติธรรมช่วงเช้ามืด ซึ่งงวดนี้อาตมภาพน่าจะนำไม่ไหว เพราะว่าไม่มีเสียง การใช้เสียงดังอย่างที่ได้ยินตอนนี้ ก็ต้องอาศัยเรี่ยวแรงเยอะหน่อย ก็จะเหนื่อยง่าย หายใจไม่ทัน ถ้ารู้ว่าแก่แล้วแย่ขนาดนี้ ก็ว่าจะไม่แก่แล้วนะ แต่ดันหลวมตัวแก่ไปซะแล้ว..! พอป่วยแต่ละทีก็ฟื้นยาก สมัยก่อนป่วย ๆ ก็ทำงานไปได้เรื่อยเปื่อย สมัยนี้ป่วยแล้วต้องนอนพัก เขาบอกว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เดี๋ยวพวกเราบวชเนกขัมมะ แล้วเข้าสู่การปฏิบัติธรรมกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (22-10-2025), เด็กใต้ (22-10-2025), ต้นบุญ (เมื่อวานนี้), ทายก (22-10-2025), นาย ธีรัตน์ บุญศรี (22-10-2025), ปกรณ์ (เมื่อวานนี้), ปราโมทย์ (22-10-2025), พุทธภูมิ (22-10-2025), มารวย๙ (เมื่อวานนี้), สัญญะจิตโต (เมื่อวานนี้)
|
#3
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๘ คำว่า การปฏิบัติธรรม ก็คือการขัดเกลากาย วาจา และใจ ของตนเองให้ดีขึ้น มีความสะอาดหมดจดมากขึ้น ถามว่าสะอาดจากอะไร ? ก็สะอาดจากกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่าเรามาเดินจงกรม มานั่งหลับตา แล้วสะอาดจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างไร..? ก็เพราะว่าโดยปกติแล้วคนเราจะโดนกิเลสชักจูง ทางใจ..คือความคิด..คือฟุ้งซ่านไปในด้าน รัก โลภ โกรธ หลง ทางวาจา..คือคำพูด..ที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง จะบัญชา ทางกาย..คือการกระทำ..ซึ่งก็เป็นไปตามที่ รัก โลภ โกรธ หลง จะบัญชา คราวนี้ถ้าพวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย กิเลสก็บังคับได้แต่แค่เราคิด บังคับให้เราพูดไม่ได้ เพราะว่าเราอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมของผู้ปฏิบัติธรรม ซึ่งก็คือผู้หวังความเจริญ จะทำอะไรที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำไม่ได้ พูดง่าย ๆ ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป อยู่ต่อหน้าพระสงฆ์ เราก็มีความเกรงใจ มีความละอาย ก็แปลว่าหนทางที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง สามทาง ก็คือ ใจคิด วาจาพูด กายกระทำ ส่วนใหญ่ก็เหลือแต่คิดอย่างเดียว ก็แปลว่าแค่เรามานั่งเฉย ๆ เราก็ชนะไป ๒ ใน ๓ แล้ว..! หลายท่านที่รู้จักสังเกต จะเห็นว่าบางคนนั่งเฉย ๆ ไม่ได้ เดินให้พล่านไปหมด..! เหมือนอย่างกับมดอยู่บนกระทะร้อน ๆ แล้วก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าร้อนเพราะอะไร ? จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ก็คือความจริง ๔ ประการ ประกอบไปด้วย ทุกข์ ก็คือสิ่งที่เราต้องทน ไม่ว่าจะมากจะน้อย จัดเป็นทุกข์ทั้งสิ้น สมุทัย คือสาเหตุที่ทุกข์นั้นเกิด เราต้องสร้างเหตุ ทุกข์นั้นถึงเกิดขึ้น นิโรธ คือความดับสิ้นไปของทุกข์ บางคนคิดวุ่นคลุ้มคลั่งอยู่ ๓ - ๔ วัน อยู่ ๆ เรื่องที่ตัวเองคิดก็หายไปไหนไม่รู้..!? มรรค คือหนทางที่นำไปสู่ความดับทุกข์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:04 |
#4
|
||||
|
||||
![]()
บางคนก็สงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจ ๔ กลับหัวกลับหางกัน ? ก็เพราะว่าพระองค์ตรัสตามสภาพจิตของเราที่พบเจอ ก็คือพอเกิดทุกข์ขึ้น ปัญญาคนยังไม่พอที่จะมองอย่างอื่น ก็ไปเครียดไปคลุ้มคลั่ง "ทุกข์ฉิบหายเลยโว้ย..!" พอทุกข์มาก ๆ เข้าปัญญาเริ่มทำงาน ก็จะมองว่าทำไมเราถึงทุกข์ ? เครียดอยู่ตั้งสามวัน เครียดเพราะอะไร ? อ๋อ..ซื้อทองไม่ทัน..ราคาขึ้นไปสูงมาก..! สาเหตุมาจากตรงนี้เอง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงตามสภาพจิตใจของคนตอนนั้น เจอทุกข์ กลัดกลุ้มอยู่กับทุกข์ ประเภทเจ็บแล้วเจ็บอีก เจ็บจนเริ่มจะเข็ด ก็ชักจะใช้ปัญญาเป็น จึงค่อยมามองว่าทุกข์เกิดจากอะไร ? ถึงได้รู้สมุทัยตามมา คราวนี้เปะปะไปมาอยู่ ๒ วัน ๓ วัน อยู่ ๆ ความทุกข์หายไปเฉย ๆ นิโรธคือการดับทุกข์จึงเกิดขึ้น เออ..สบาย..ก่อนหน้านี้แบกแทบตาย..! อยู่บ้านก็เป็นทาสหมา เป็นทาสแมว เลี้ยงอยู่ทุกวัน ถึงเวลาก็ต้องมาคิดแล้วว่า วันนี้เลี้ยงหรือยัง ? จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่า ? เราไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุนสามวัน ทิ้งอาหารทิ้งน้ำไว้ให้พอไหม ? จะอยู่กันได้ไหม ? กลับไปบ้านจะเละแค่ไหน ? เครียดอยู่ตั้งหลายวัน ท้ายที่สุดก็..ช่างหัวมันเถอะ..ปฏิบัติธรรมดีกว่า..! ที่เครียดอยู่หายไปตอนไหนหว่า ? ก็เลยเริ่มคิดหาทาง เอ๊ะ..ทำไมอยู่ ๆ หายเครียด ? ความทุกข์ที่แบกเอาไว้ตัดไปตอนไหน ? อ๋อ..ดับไปตอนเราเลิกแบก แค่วางลงก็เบาแล้ว..! ที่เขาบอกว่า "โลกมีไว้ให้เหยียบ ไม่ได้มีไว้ให้แบก" เราไปแบกอยู่เสียนาน พอวางลงก็เลยหายทุกข์ มรรคคือหนทางแห่งความดับทุกข์ เกิดขึ้นเพราะเราเห็นแล้วว่า ถ้าปล่อยวาง ความทุกข์ก็จะสิ้นสุด หรือหายไปเอง ดังนั้น..พระพุทธเจ้าตรัสถึงอริยสัจ ๔ จึงเหมือนอย่างกับกลับหัวกลับหาง กล่าวถึงทุกข์ขึ้นมาก่อน ทุกข์จนพอ ทุกข์จนเข็ด เริ่มมีปัญญาหาสาเหตุ สมุทัยจึงเกิดขึ้น มั่วไปมั่วมาอยู่ ๓ วัน ๗ วัน บางทีก็หลายสิบปี อยู่ ๆ ทุกข์หายไป อ๋อ..ที่แท้ก่อนหน้านี้ ไอ้นั่นก็ลูก ไอ้นี่ก็ผัว อะไร ๆ ก็ของกู..! ตอนนี้พอแล้วไม่เอาแล้ว โยนทิ้งแล้ว..ไปปฏิบัติธรรมดีกว่า อยู่ ๆ รู้สึกเบาสบายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่แท้ก็ง่าย ๆ แค่นี้เอง แค่วางลงก็จบแล้ว ก็ถึงได้เกิดนิโรธ สบายอยู่พักหนึ่ง แต่พอทุกข์ใหม่ก็เครียดอีก ท้ายที่สุดปัญญาเกิด จึงเห็นว่าที่แท้แค่ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างก็จบลงแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:11 |
#5
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..ในเรื่องของอริยสัจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพวกเรามา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรู้ทุกข์..รู้ว่าทุกข์มาจากอะไร ? แล้วก็ดับทุกข์..ก็คือศึกษาและปฏิบัติตามวิธีการ ถ้าทำได้ถูกต้อง ทุกข์นั้นก็จะดับลง ง่าย ๆ แค่นี้เอง..!
คราวนี้พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ สิ่งที่พาให้เราทุกข์ก็เหลือแค่ความคิด ถ้าหากว่าเราไม่คิด เราก็ไม่ทุกข์ วิธีที่จะไม่คิด ถ้านั่งนิ่ง ๆ ก็อยู่กับลมหายใจตรงหน้า หายใจเข้า..ตามดูตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก..ตามดูตามรู้ออกมาจนสุด มีหน้าที่ตามดูเข้าไปจนสุด ตามดูออกมาจนสุด อย่างอื่นไม่ต้องสนใจ ถ้าเผลอสติไปคิดเรื่องอื่น รู้ตัวขึ้นมา รีบดึงกลับมาตรงนี้ใหม่ ตามลมเข้าไปจนสุด ตามลมออกมาจนสุดเหมือนเดิม หรือถ้าหากว่าเคลื่อนไหวอยู่ ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดจับอยู่กับการเคลื่อนไหวของเรา เท้าขวายกขึ้น..เลื่อนไปข้างหน้า..วางลง..สัมผัสพื้น..ถ่ายน้ำหนักไปที่เท้าขวา พร้อมกับเท้าซ้ายยกขึ้น..เคลื่อนไปข้างหน้า..วางลง..สัมผัสพื้น..ถ่ายน้ำหนักลงไปที่เท้าซ้าย พร้อมกับเท้าขวายกขึ้น..เลื่อนไปข้างหน้า..วางลง..สัมผัสพื้น อยู่แค่นี้ เผลอคิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไร ก็จะเดินไม่ตรงกับคำบริกรรมแล้ว อาจจะฟุ้งซ่านไปใหญ่โตอีกต่างหาก ก็แปลว่าถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน ตั้งหน้าตั้งตาเอาสติจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า ความทุกข์ของเราก็จะเหลือน้อยมาก เหลือแต่ความทุกข์ตามสภาพร่างกายเท่านั้น แต่ใจจะไม่ทุกข์ นั่นคือวิธีการปล่อยวางอย่างหนึ่ง ก็คือวางอดีตไม่ไปห่วงหาอาลัยถึงมัน วางอนาคตไม่ไปฟุ้งซ่านใหญ่โตกับมัน หยุดอยู่กับปัจจุบัน คือ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เท่านั้น ถ้าซักซ้อมทำไปบ่อย ๆ กำลังใจมากขึ้น กิเลสก็จะมีอำนาจชักจูงเราได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่อย่าประมาท เพราะว่ากิเลสไม่ได้ไปไหน รอจังหวะอยู่ เราเผลอขาดสติเมื่อไร กิเลสพุ่งกลับมาทันที คราวนี้ก็เขื่อนแตก..! เพราะที่ผ่านมาเก็บกดไว้นาน รู้สึก รัก โลภ โกรธ หลง มาเป็นฟ้าถล่มดินทลาย แทบจะแบกไม่ไหว รับไม่ไหวเลยทีเดียว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:15 |
#6
|
||||
|
||||
![]()
วิธีรับมือที่ดีที่สุดให้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ คุณแม่บ้านก็กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ขัดห้องน้ำ คุณพ่อบ้านก็ตัดหญ้า ซ่อมกรงหมา ซ่อมรั้ว ทาสีบ้านไปเรื่อย เอาให้หายบ้า..! พอกิเลสที่มาฟ้าถล่มดินทลาย เพราะว่าโดนเก็บกดไว้นาน เริ่มเบาลง เหมือนกับเขื่อนแตกแรก ๆ น้ำทะลักมาแรงมาก แต่พอยื้อผ่านไประยะหนึ่ง กำลังน้ำน้อยลง เราก็ค่อย ๆ อุดรู ก็คือดึงสติกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกหรืองานตรงหน้าใหม่ แรก ๆ ก็สู้กันแบบนี้ วันหนึ่งพังเป็นร้อย ๆ ครั้ง หกล้มหกลุก หัวร้างคางแตก แต่ต้องสู้..อย่ายอมแพ้..!
นักปฏิบัติธรรมกว่าจะเอาดีได้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว หาที่ว่างไม่ได้หรอก อย่างอาตมภาพนี่โบราณเรียกว่า "เย็บจนเข็มหลง" คือไม่รู้ว่าจะเย็บแผลไหน ดึงทางด้านนี้แผลทางด้านโน้นเปิด ดึงทางด้านโน้นแผลทางด้านนี้เปิด หามุมเย็บยากมาก..! ดังนั้น..บารมี คือกำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญสุด ๆ ถามว่าสำคัญตรงไหน ? สำคัญตรงที่ว่าแพ้ก็ต้องสู้ ท้อก็ห้ามถอย..! แล้วเราจะมีกำลังใจแบบนี้ได้อย่างไร ? ต้องดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านทรงทรมานพระวรกายอยู่ถึง ๖ ปีเต็ม ๆ ประเภทแค่ลุกก็เซล้ม ร่างกายนี้เอามือลูบไปตรงไหน เส้นขนหลุดหมด เพราะไม่มีอาหารไปหล่อเลี้ยง ขนาดนั้นพระองค์ยังไม่ท้อเลย ประมาณว่าจะตายลงไปก็ช่าง เพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนตั้งใจทำนั้น มีผลดีมหาศาลแค่ไหน..!?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:18 |
#7
|
||||
|
||||
![]()
ถ้าถามว่าแล้วของเรามีผลมหาศาลแค่ไหน ? ก็ถ้าทำดี ทำถูก ก็ตัดชาติตัดภพได้เลย ลองนึกถึงคนที่ลอยคออยู่กลางทะเล พายุรากาซามายังไม่พอ พายุแมตโมตามมา พายุฮาลองตามมา เล่นเอาน้ำท่วมไปครึ่งค่อนประเทศ ลอยคออยู่ มองไปทางไหนไม่เห็นฝั่ง ของเราแย่กว่านั้นเพราะเราลอยมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว แล้วก็ยังคงต้องลอยต่อไปนับชาติไม่ถ้วน..!
แต่ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ทำดีขั้นแรกก็มีเกาะ..ให้พักเบาแรงได้ ก็คือมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาเบื้องต้น ช่วยให้เราหลบพายุร้าย หรือว่าคลื่นลมแรงได้ชั่วคราว ทำดีขึ้นไปอีกก็มีฝั่ง..มองเห็นฝั่งก็ใจชื้น ลอยคออยู่กลางทะเลหมดเรี่ยวหมดแรง พอเห็นฝั่งไม่รู้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาตะกายต่อได้ แล้วถ้าทำถูกต้องจริง ๆ ขึ้นฝั่งได้..จบเลย..ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว..! เพราะฉะนั้น..เราต้องหวังเป้าสูงสุด ก็คือข้ามพ้นทะเลทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน คลาน..ล้ม..ลุก..สู้ใหม่ พลาดอีก..ล้มอีก..ลุกอีก..สู้ใหม่ ตื้อไปเรื่อย สัจจบารมี จริงจังจริงใจ ถ้าหากว่าไม่ถึงที่หมาย ไม่เลิกเด็ดขาด อธิษฐานบารมี จิตใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมาย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เปลี่ยนแปลง ขันติบารมี อดทน อดกลั้น ต่อสารพัดสิ่งที่มากระทบ โดยเฉพาะคำพูดชุ่ย ๆ ของคนรอบข้าง "กูรู้ว่ากูทำแล้วได้อะไร ?" วิริยบารมี พากเพียรไปจนสุดกำลัง ถึงชาตินี้ไปไม่ถึง ก็ขอให้ทางที่เหลือสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าตั้งกำลังใจไว้แบบนี้ ท้อก็ไม่ถอย ลำบากแค่ไหนก็สู้ต่อ ซึ่งจะว่าไปแล้วพวกเราเองมีกำลังใจแบบนี้กันแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหยุดไปเที่ยวกันหมดแล้ว ไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:20 |
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|