|
#1
|
||||
|
||||
|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
| สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#2
|
||||
|
||||
|
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ พรุ่งนี้กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวไปภูฏาน (พู-ตาน) ตอนตี ๒ สมัยก่อนประเทศนี้เขาอ่านชื่อว่าภูฐาน ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปได้ยินเจ้าของประเทศเขาอ่านออกเสียงอย่างไร เลยกลายเป็นภูฏานอย่างทุกวันนี้
ประเทศภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่มีทางออกทะเล ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็คือประเทศอื่นเขาวัดความเจริญจากมูลค่ามวลรวมประชาชาติ ก็คือรายได้ของคน แต่ภูฏานเขาวัดจากมวลความสุขประชาชาติ ก็คือเอาความสุขของประชาชนเป็นหลัก ประเทศภูฏานค่อนข้างจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อย แต่ว่าส่วนที่เขาทำได้ดีน่าชื่นใจเลยก็คือรักษาพื้นที่ป่าไว้ได้เกิน ๖๐ เปอร์เซ็นต์ จึงเป็นประเทศที่มีการปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศติดลบ ไม่ทราบเหมือนกันว่า "คาร์บอนเครดิต" นี่เปลี่ยนเป็นเงินได้หรือเปล่า ? ถ้าเปลี่ยนได้ก็น่าจะทำรายได้เข้าประเทศไม่น้อยเลย ส่วนที่จะไปนั้น ความจริงถ้าหากว่าไปเสียตั้งแต่ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว ก็คงจะไปช่วยเขาสร้าง "หลวงพ่อโตดอร์เดนมา" ซึ่งตรงลานหน้าหลวงพ่อโตนั้นเขาจัดเป็นที่ต้อนรับตอนในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ และสมเด็จพระบรมราชินีฯ เสด็จไป เพียงแต่ว่าตอนนั้น กระผม/อาตมภาพยังเป็นอาจารย์ประจำของ มจร.อยู่ มีวันหยุดแค่เสาร์ - อาทิตย์เท่านั้น ไม่สามารถที่จะเดินทางทีหนึ่งได้ ๕ วัน ๗ วันแบบปัจจุบันนี้ จึงไม่สามารถที่จะไปได้ ทั้ง ๆ ที่ไปโดยไม่ต้องเสียค่าเข้าประเทศ ซึ่งเขาคิดวันละ ๑๐๐ ดอลลาร์อเมริกัน มาตอนหลังก็ขึ้นไปถึงวันละ ๒๐๐ ดอลลาร์ เพราะว่าต้องการจำกัดจำนวนคนเข้าประเทศ ซึ่งการจำกัดจำนวนคนเข้าประเทศนั้น ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะว่าคนภูฏานส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในลักษณะอนุรักษ์นิยม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2025 เมื่อ 01:44 |
| สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#3
|
||||
|
||||
|
ในเมื่อช่วงนั้นไม่ได้ไป มาช่วงนี้ทางเอ็นซีทัวร์ของคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม จัดโปรแกรมไปในช่วงที่กระผม/อาตมภาพสามารถปลีกตัวไปได้พอดี จึงขออาศัยพ่วงไปด้วย พูดง่าย ๆ ว่าจะไปไหนได้แต่รอแปะไปกับคนอื่น ทำท่าเหมือนกับเป็นกาฝาก ในส่วนที่เป็นกาฝากจริง ๆ ก็คือไม่จ่ายค่าทัวร์เอง ถ้าไม่มีคนจ่ายให้ก็ไม่ไปไหนกับใคร..!
เพียงแต่ว่าระยะนี้ พอขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ก็อยู่ในลักษณะคนตกงาน เพราะว่าถ้าเขาไม่ปรึกษาก็ไม่มีอะไรให้ทำ..! ประกอบกับมีคนจ่ายค่าทัวร์ให้ ก็เลยค่อนข้างที่จะออกต่างประเทศบ่อยหน่อย ประมาณ ๓ - ๔ เดือนข้างหน้านี้ แทบจะออกกันทุกเดือน บางงานไม่ไปก็โดนพรรคพวกเพื่อนฝูงบีบคอให้ไปด้วย เหตุที่ไม่ไปเพราะว่าบางสถานที่เคยไปมาแล้ว แต่คนที่ไม่เคยไปอยากจะให้ไปด้วย เขาก็ต้องจ่ายสตางค์ให้..! เรื่องของการเดินทาง ถ้าหากว่าใครเรียนหนังสือรุ่นเก่า ๆ ก็ต้องดูใน "นิทานเวตาล" ที่บรรดาหนุ่ม ๆ เขามาแสดงทัศนคติของตนเอง เพื่อที่เอาชนะใจผู้หญิง จะได้แต่งงานด้วย ซึ่งเขาแต่งไว้เป็นโคลงเป็นกลอนไพเราะมาก แต่ถ้าหากว่าอ่านไม่เป็น ก็อาจจะออกมาไร้อรรถรสได้เช่นกัน อย่างที่เขากล่าวเอาไว้ว่า "จงจรเที่ยว เทียวบทไป พงพนไพร ไศละลำเนา ดั้นบถเดิน เพลินจิตเรา แบ่งทุกขเบา เชาวนไวฯ" เพราะว่าสภาพจิตของคนเรามักจะเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ อยู่เป็นปกติ ถ้าหากว่าคุ้นชินกับสถานที่ใดที่หนึ่งก็มักจะเซื่องซึม เพราะว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ ดังนั้น..การที่พระของเราออกธุดงค์นั้น ส่วนหนึ่งก็คือเพื่อที่จะอาศัยสถานที่ใหม่ ๆ ขัดเกลาสภาพจิตของตนเอง เนื่องเพราะว่าเวลาอยู่ในสถานที่ใหม่ ความหวาดระแวงเกรงอันตรายจะเกิด สภาพจิตของเราจะตื่นโดยอัตโนมัติ บางคนบอกว่า "ผิดที่ นอนไม่หลับ" แต่ความจริงก็คือจิตของเราตื่น เพราะเกรงว่าจะมีอันตราย แต่พอเคยชินไปไม่กี่วัน ก็ "นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น" อีก..! ดังนั้น..ในช่วงแรกถ้ากำลังใจของเราห่วยแตก ใช้อะไรไม่ได้เลย เอาแต่กินกับนอน ถ้าได้เปลี่ยนสถานที่บ้างก็จะเป็นการดี แต่ว่าหลายต่อหลายท่านในปัจจุบันก็ทำเอาการธุดงค์นั้น กลายเป็นรอยด่างในหมู่สงฆ์ไปแล้ว อย่างเช่นว่าส่วนหนึ่งออกธุดงค์เพราะว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ประมาณว่า ถ้าไม่มีข้อแม้เยอะ ก็คิดว่าตนเองดีกว่าที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นเขา..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2025 เมื่อ 01:47 |
| สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#4
|
||||
|
||||
|
อีกพวกหนึ่งเข้าป่า ตรงนี้กระผม/อาตมภาพเจอมาด้วยตนเอง ก็คือไปหาที่เสพยาบ้า..! ไม่ต้องกลัวว่าตำรวจจะจับ เพราะว่าตำรวจไม่เดินตามเข้าป่าไปขนาดนั้นอยู่แล้ว พอถึงเวลาเมายาบ้าขึ้นมา ไม่มีอะไรจะทำก็แข่งกันวิ่งขึ้นเขา หรือไม่ก็ผลัดกันเอามีดสปาตาร์เฉาะกบาลกัน..! เลือดไหลท่วมจนกระผม/อาตมภาพต้องลากออกมาหาหมอ ก็เลยกลายเป็นว่าการธุดงค์ในปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งที่เสียหายเพราะว่าไม่ได้ไปเพื่อขัดเกลากิเลสกัน
โดยเฉพาะบางท่านที่พบในป่า ทุกท่านก็คงจะเห็นว่าย่ามธุดงค์ใบใหญ่ขนาดไหน ? กระผม/อาตมภาพเองใช้ย่ามเล็กตามปกติ เพราะว่าแทบจะไม่ได้ใส่อะไรเลย ข้าวของอื่น ๆ ก็ใส่อยู่ในบาตรแล้ว ก็จะมีย่ามเล็ก ๑ ใบเผื่อต้องใส่ของอื่น มีบาตรที่เป็นถุงสัมภาระบรรจุของ แล้วก็มีกระติกน้ำเท่านั้น แต่ไปเจอพระธุดงค์บางคณะ พอเขาเห็นเข้าก็ถามว่า "นี่ท่านมาทำอะไร ?" ตอบไปว่า "ธุดงค์เหมือนกับท่านนั่นแหละ..แล้วผมมั่นใจว่าผมอยู่ได้นานกว่าด้วย" เพราะว่าของท่านใช้ไม้คานหาบย่ามธุดงค์ไป ๔ ใบ..! ถ้ากระผม/อาตมภาพขนของไปขนาดนั้นก็คือย้ายวัดแล้ว..! ดังนั้น..การธุดงค์ในปัจจุบันนี้ บางทีก็แค่เปลี่ยนที่กินเปลี่ยนที่นอนแค่นั้น แบกของไปมากมายขนาดนั้น แล้วจะไปขัดเกลาอะไรตัวเองได้ ? โดยเฉพาะไปกันเป็นคณะใหญ่ ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่ง กระผม/อาตมภาพไปเจอธุดงค์คณะใหญ่ เขาเดินกัน ๓๐๐ รูป..! ทำเอาหลงป่าไปเลย เหตุที่หลงก็เพราะว่าด่านสัตว์ที่เราอาศัยเดิน โดนพระเณร ๓๐๐ รูปเดินแหลกลาญไปหมด หาทางเดิมของตัวเองไม่เจอ..! แล้วแต่ละท่านก็ไม่ทราบว่ากลัวหลงอะไรขนาดนั้น มีการฉีกเศษผ้าอาบผูกไว้เป็นระยะ ๆ ๒ ก้าว ๓ ก้าวก็ผูกชิ้นหนึ่ง ๒ ก้าว ๓ ก้าวก็ผูกชิ้นหนึ่ง กระผม/อาตมภาพยังคิดว่า "แล้วมึงจะเอาผ้าที่ไหนมาเยอะแยะขนาดนั้น ?" ท้ายสุดไปได้ไม่ไกล ก็เริ่มเห็นเศษรัดประคดผูกไว้ "ดูท่ามึงไม่รอดแน่นอน..!" เพราะว่าถ้าตามที่กระผม/อาตมภาพเดินก็คือบางที ๒๐๐ - ๓๐๐ เมตร ถึงจะเอามีดเฉาะต้นไม้ไว้สักรอยหนึ่ง เผื่อว่าขากลับเราจะย้อนกลับทางเดิม ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีพับยอดหญ้าเอาไว้ รอยพับก็คือทางที่เราจะเดินกลับ ก็แปลว่าต้องพับชี้ไปย้อนหลัง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2025 เมื่อ 01:51 |
| สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|
#5
|
||||
|
||||
|
คราวนี้ท่านไปขนาดนั้น ลองดูในพระไตรปิฎก เห็นแล้วบางทีก็ใจหาย พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "มหาโจรบางจำพวก รวบรวมผู้คนได้เป็นร้อยเป็นพัน เข้าสู่คามนิคมแล้วทำการปล้นชิงชาวบ้าน เปรียบเสมือนภิกษุบางประเภทที่รวบรวมกันเป็นจำนวนมาก เข้าสู่โคจรคาม (โค-จะ-ระ-คาม) ฯลฯ"
เราลองนึกดูว่าพระเป็นร้อย ๆ ไปถึง ชาวบ้านเขาจะเลี้ยงไหวไหม ? แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็รอบคอบมาก เพราะว่าเขาจะมีกำหนดว่าวันนี้เดินถึงไหน แล้วก็ส่งคนและรถเสบียงไปล่วงหน้า สรุปว่าธุดงค์ของเขาไม่น่าจะได้อะไร นอกจากหัดเดินป่าเท่านั้น..! ดังนั้น..การที่ไปต่างประเทศของกระผม/อาตมภาพก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสถานที่เท่านั้น ภารกิจต่าง ๆ บางทีจะมากกว่าปกติด้วยซ้ำไป อย่างไปอินโดนีเซียครั้งแรก ตอนกลางคืนผีมา ๗,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ ตัวมาขอส่วนบุญ พวกเราต้องเข้าใจว่าบุญกุศลเปรียบเหมือนแสงสว่าง ถ้าหากว่าอยู่ในสถานที่มืดมิด แล้วเราสว่างอยู่คนเดียว ใคร ๆ ก็รู้ เขาก็จะแห่กันมาหา แล้วกระแสนั้นต่อให้เราไม่ได้ทิพจักขุญาณก็ตาม บางทีก็โดนกวนจนนอนไม่หลับ เพราะว่าถ้าไม่ได้เขาก็ไม่ไป..! ดังนั้น..วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ ไปถึงไหนก็ตาม ให้ตั้งใจแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาก่อน ใช้ตามหลักการอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั่นแหละ ครอบคลุมได้ทั่วถึงดี แล้วหลังจากนั้นจะขอความปลอดภัยอะไรจากพวกเขาก็ว่ากันไป ในเมื่อรับไปแล้วก็ทำงานบ้าง..ไม่ใช่กินฟรี..! คราวนี้เราไปต่างประเทศส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่ในลักษณะแบบนี้ ก็คือคนอื่นเห็นว่าไปเที่ยว แต่กระผม/อาตมภาพว่างานหนักกว่าตอนที่ไม่ได้เที่ยวเสียอีก..! เพียงแต่ว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้ บางทีก็มาบอกมาเล่าพวกเราให้รับรู้ไว้ ใครเดินตามรอยไปจะได้รู้ว่าที่ไหนมีอะไรบ้าง แต่มาระยะหลังก็โดนห้าม เพราะว่าพวกเราพอไปถึง บางทีพอรู้จักว่าตรงนั้นเจ้าที่เจ้าทางเป็นใคร ก็ใช้เขาส่งเดช ไม่ได้ดูเงาหัวตัวเองเลยว่าท่านระดับเท่าไร แล้วเราระดับเท่าไร จนกระทั่งบางแห่งท่านขอร้องไว้ว่ากรุณาอย่าได้บอกชื่อกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นแล้วเขาเรียกทำหูทวนลมได้ แต่ถ้าเขาออกชื่อ ไม่รู้จะทำหูทวนลมอย่างไร..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2025 เมื่อ 02:01 |
| สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|