กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-10-2025, 19:55
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,188
ได้ให้อนุโมทนา: 226,562
ได้รับอนุโมทนา 815,171 ครั้ง ใน 40,229 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-10-2025, 00:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,790
ได้รับอนุโมทนา 4,512,554 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปประชุมผู้บริหาร คณาจารย์และบุคลากร ของวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรี ศรีไพบูลย์ ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๖๘

สิ่งหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ตั้งแต่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดเป็นต้นมา มีการเรียนการสอนออนไลน์ ก็เลยทำให้ครูบาอาจารย์จำนวนมาก ใช้การเรียนการสอนออนไลน์ยาวมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งข้อเสียของการเรียนการสอนออนไลน์นั้นมีมาก แต่ว่าลูกศิษย์ก็ขี้เกียจ อาจารย์ก็เอาสบายเข้าว่า ก็เลยเป็นปัญหาที่น่าจะปะทุขึ้นมาในเวลาอีกไม่นาน..!

โดยเฉพาะความสัมพันธ์กันระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ กลายเป็นห่างเหินไปโดยใช่เหตุ ของอาจารย์ก็ถือว่าไม่ต้องเดินทางไปที่วิทยาลัยสงฆ์ ของลูกศิษย์ก็ไม่ต้องออกจากวัด แต่ว่าการเรียนการสอนในลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก

ทุกท่านลองนึกถึงว่าถ้าเป็นเด็กนักเรียนยุคเก่าจะหนีการเรียน อย่างน้อยก็ต้องปีนรั้ว หรือไม่ก็มุดช่องหมาลอด..! สมัยนี้แค่คลิกปิดหน้าจอเท่านั้น..จบแล้ว..! กลายเป็นว่าคนรุ่นหลัง ๆ
เรียนเพื่อให้สอบผ่านเท่านั้น ไม่ได้เรียนเพื่อให้รู้จริง ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ในการศึกษาของบ้านเราเมืองเราไปอีกนาน ในเมื่อค่านิยมของยุคนี้สมัยนี้ ไม่เห็นความจำเป็นของการศึกษา เพราะถือว่าขายของออนไลน์ได้ แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ถ้าทุกคนเป็นคนขาย แล้วใครจะเป็นคนผลิตสินค้า ?

ดังนั้น..แนวคิดของคนยุคใหม่ที่กระผม/อาตมภาพได้ยินอยู่บ่อย ๆ เวลาอบรมเด็กนักเรียน ก็คือมักจะอ้างว่าสตีฟ จ็อบส์ก็ดี มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กก็ตาม ไม่ได้เรียนจบปริญญาก็ร่ำรวยเป็นหมื่นล้านแสนล้านได้ กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วอยากจะ "โบก" ให้คว่ำลงไปตรงนั้นเลย ประชากรโลก ๕,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ ล้านคน มีมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กกี่คน ? มีสตีฟ จ็อบส์กี่คน ? แล้วเอ็งคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ ? พูดง่าย ๆ ก็คืออ้างเท่ ๆ ไปอย่างนั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : 17-10-2025 เมื่อ 05:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-10-2025, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,790
ได้รับอนุโมทนา 4,512,554 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะการศึกษายุคใหม่ ที่มี AI เข้ามาช่วยเหลือ ยังโชคดีที่ว่ากระผม/อาตมภาพไม่ต้องมาตรวจวิทยานิพนธ์ของเด็กยุคนี้ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครได้เกินเกรด C เพราะว่าไปให้ ChatGPT เป็นคนเขียนให้ ซึ่งเนื้อหาไม่มีทางที่จะเหมือนกับที่คนเขียน เพราะว่า AI ได้แต่ดึงข้อมูลเอามารวมกันเท่านั้น จะให้วิเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ก็ยาก ทำแค่แค่สลับเนื้อหาเก่าให้เป็นของใหม่ จะได้ไม่ซ้ำกับของคนอื่นเขา

ลองคิดดูว่า
ถ้านิสิตนักศึกษาไม่เขียนสารนิพนธ์หรือทำวิทยานิพนธ์ด้วยตนเอง แล้วจะเอาความรู้ความสามารถที่แท้จริงมาจากไหน ? โดยเฉพาะเด็กยุคใหม่ ถึงเวลาก็ค้นข้อมูลจากโทรศัพท์มือถือ ความรู้ที่แท้จริงในหัวจึงไม่มี ถ้าหากว่าไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือก็มืดแปดด้าน..!

คราวนี้เราลองย้อนกลับมาในวงการสงฆ์ของเราบ้าง
ถ้าหากว่าการเรียนของพระภิกษุสามเณรมีเป้าหมายแค่เรียนให้จบ เรียนให้ได้รับประกาศนียบัตรเท่านั้น เพื่อถึงเวลาจะได้มีคุณสมบัติตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ แล้วบุคคลที่ไม่มีความรู้อย่างแท้จริง จะไปบริหารจัดการวัดวาอารามให้เจริญขึ้นมาได้อย่างไร ?

แล้วในขณะเดียวกัน พระภิกษุสามเณรรุ่นใหม่ ๆ มักจะเป็นบุคคลเหลือเลือกจากสังคมแล้ว ก็คือกลายเป็นบุคคลที่หาที่ไปไม่ได้ ส่วนใหญ่บวชเข้ามาก็ไม่ได้คิดที่จะสร้างความเจริญให้แก่ กาย วาจา ใจ ของตนเอง ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุธรรมอย่างที่ปฏิญาณเอาไว้ตอนบวช ก็คือ "นิพพานะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์นี้มาเพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน"

ในเมื่อเป็นบุคลากรเหลือเลือก ถ้าเข้าสู่กระบวนการผลิตก็เท่ากับเป็นวัสดุเกรด C เกรด D ที่เขาคัดทิ้งแล้วจากสังคมภายนอก มาผ่านขบวนการขัดเกลา แล้วท่านที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นครูบาอาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ สักแต่ว่าสอบให้ผ่านเท่านั้น โดยไม่มีความรู้ที่แท้จริง จะไปขัดเกลาสัทธิวิหาริก หรืออันเตวาสิกของตนเองให้ดี ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น..
ถ้าเราท่านทั้งหลายมีความรับผิดชอบในเขตไหน เราก็ทำหน้าที่ของเราตรงนั้นให้ดีที่สุด โดยเฉพาะทำตัวเองเป็นแบบอย่างที่ดีให้ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-10-2025, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,790
ได้รับอนุโมทนา 4,512,554 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลายท่านอาจจะคิดว่าเราเพิ่งบวชไม่นาน แต่ท่านลองคิดดูว่า การอุปสมบทหมู่ครั้งต่อไปของวัดท่าขนุนก็คือช่วงลอยกระทง ก็แปลว่าถ้ามีพระบวชเข้ามา ท่านก็เป็นรุ่นพี่ แล้วถึงเวลารุ่นน้องสอบถามอะไร เราเองไม่ได้ตั้งใจเรียน ไม่ได้ตั้งใจศึกษา ก็มักจะกำหนดจดจำแล้วก็เอาไปบอกต่อกันผิด ๆ อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเจอมาด้วยตนเอง ก็คือมีผู้ที่เป็นนักบวชรุ่นพี่เขาแนะนำว่า "ขึ้นชื่อว่าผลไม้ ที่ขึ้นชื่อด้วยคำว่า "มะ" ทุกอย่าง สามารถฉันหลังเพลได้" กระผม/อาตมภาพพยายามที่จะหาอ่านตำรา หาข้อมูลแทบเป็นแทบตายยังไม่รู้เลยว่า เรื่องที่รุ่นพี่ท่านนั้นพูดเอามาจากไหน ?

แล้วทุกท่านก็จะเห็นว่าปัจจุบันนี้ แม้แต่ทางคณะสงฆ์ธรรมยุต ก็ไม่ได้เคร่งครัดต่อศีลต่อธรรมอย่างจริงจัง ล่าสุดที่บางท่านไปในงานของวัดธรรมยุต จะเห็นว่าแม้เป็นตอนค่ำ เขาก็เสิร์ฟน้ำมะพร้าวอ่อนมา ทั้ง ๆ ที่มะพร้าวอ่อนเป็น "มหาผล" ต่อให้เป็นน้ำก็ฉันไม่ได้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาเอาข้อห้ามหรือว่าข้ออนุญาตตรงไหนมา ถึงให้ฉันน้ำมะพร้าวหลังเพลได้ ?

อัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บางทีหลายพันปีผ่านไป คนยุคใหม่ยังไม่สามารถที่จะตามทัน บรรดา "มหาผล" ต่าง ๆ อย่างเช่นมะพร้าวอ่อนก็ดี แตงโมก็ตาม มีฮอร์โมนเยอะมากเป็นพิเศษ แล้วถึงเวลาพระภิกษุสามเณรของเราฉันเข้าไปก็จะอยู่ยาก ดังนั้น..คนรุ่นใหม่พอไม่สามารถที่จะทำตามสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งหรือสอน ก็มักจะใช้ "อัตโนมติ" ของตนเองว่าฉันได้ ไม่เป็นไร

ระยะนี้ถ้าหลายท่านเข้าไปในงานวัด โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ก็จะเจอว่าเขาถวายน้ำฟักทอง น้ำข้าวโพด น้ำถั่วเขียว บางทีก็มีน้ำมันเทศ ซึ่งก็คือปั่นมาข้นคลั่กเลย..! ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาพระวินัยของพระจริง ๆ จะเห็นว่า ถ้าเป็นธัญพืช ก็คือพืชที่เป็นอาหาร ไม่ควรทำเป็นน้ำปานะ แต่เขาก็ฉันกันหน้าตาเฉย กระผม/อาตมภาพรับมาแล้วก็วาง ก็คือต่อให้บ่นไปก็ไร้ประโยชน์ ทำให้เขาเหม็นขี้หน้าเสียเปล่า ๆ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-10-2025, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,303
ได้ให้อนุโมทนา: 159,790
ได้รับอนุโมทนา 4,512,554 ครั้ง ใน 36,916 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือมีเมล็ดแตงโม มีเมล็ดทานตะวันเสิร์ฟให้ทุกโต๊ะ โดยเฉพาะงานสวดศพตอนค่ำ แล้วท่านลองคิดดูว่าภาพพระภิกษุไปนั่งแทะเมล็ดแตงโม หรือว่าเมล็ดทานตะวันตอนค่ำ จะงดงามดีหรือไฉน ? จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องเคร่งครัดกับตนเอง อยู่ในลักษณะตึงเอาไว้ก่อน ถ้าผ่อนแล้วจะพอดี ถ้าท่านไปหย่อนยานเสียตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องไปพูดถึงอีกแล้ว

ถ้าหลายท่านสังเกตจะเห็นว่า เมื่อเอ่ยถึงอะไร กระผม/อาตมภาพจะบอกก่อนเลยว่าต้องอาบัติหรือเปล่า ? ก็คือศีลพระขาดหรือไม่ ? ก็แปลว่าสติของท่านจะต้องจดจ่ออยู่กับศีลของตนเอง
ถ้าเราไม่ละอายชั่วกลัวบาป ไม่รักศีลของตนเอง ก็ไม่รู้ว่าจะบวชเข้ามาทำอะไร ? เพราะว่าหานรกใส่ตัวเสียเปล่า ๆ จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกกับพวกท่านว่า ต้องศึกษาให้ชำนาญเข้าไว้

วันก่อนเพื่อนพระส่งภาพโยมเลี้ยงหมูกระทะมา กระผม/อาตมภาพบอกไปเดี๋ยวนั้นเลยว่า "อย่าส่งต่อ..ดราม่าเยอะ" เนื่องเพราะว่า
พระเราห้ามหุงต้มอาหารเอง ห้ามเก็บอาหารไว้เอง ห้ามเก็บอาหารไว้ในที่อยู่ หมูกระทะน่าจะจัดอยู่ในประเภทหุงต้มเอง เพราะว่าที่เขามาก็คืออาหารสด เราก็ต้องมานั่งปิ้งนั่งย่างจนจีวรเหม็นหึ่งไปหมด..! ทันทีที่เขาส่งรูปมา กระผม/อาตมภาพก็บอกไปแบบนั้น

ก็แสดงว่า
ถ้ากำลังใจของเรารู้ระมัดระวังในศีลอยู่ ขยับตัวไปทางไหน ถ้าสติสมบูรณ์ก็จะรู้ว่าศีลขาดหรือไม่ ? อย่าไปให้อภัยตัวเอง เพราะว่าถ้าให้อภัยตัวเองครั้งหนึ่งจะมีครั้งต่อ ๆ ไปทันที เพราะกิเลสจะถือเป็นข้ออ้างว่า "คราวที่แล้วยังทำได้เลย..!"

ดังนั้น..
ในสถานการณ์ของวงการสงฆ์ในปัจจุบัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือขัดเกลาตนเองของเรา พยายามทำตนให้เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ดี ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าไม่สามารถสร้างความเจริญให้กับพระพุทธศาสนาได้ เราก็อย่าเป็นคนทำให้พระพุทธศาสนานี้ต้องพังลงไปด้วยมือของเราเอง..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2025 เมื่อ 01:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว