กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 20:08
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,321
ได้ให้อนุโมทนา: 226,996
ได้รับอนุโมทนา 816,666 ครั้ง ใน 40,283 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 01:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,341
ได้รับอนุโมทนา 4,508,901 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันสอบนักธรรมชั้นตรี (สนามหลวง) วันที่สอง ในวิชาธรรมวิภาค ปีนี้ทำเอาพระนวกะและน้องสามเณรร้องกันระงม เพราะว่าข้อสอบออกมายาก ชนิดที่คนจบนักธรรมชั้นเอกแล้วก็อาจจะสอบตกได้..! แต่ว่าเนื้อหาสาระในส่วนที่นำมาออกข้อสอบนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ และจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นส่วนของผู้ที่บวชอยู่ต่อไป หรือผู้ที่สึกหาลาเพศไปก็ตาม

อย่างเช่นที่ถามว่า ถ้าปรารถนาประโยชน์ในปัจจุบันควรจะปฏิบัติในหลักธรรมอะไร ? ซึ่งตรงนี้ส่วนใหญ่แล้วนักเรียนของเราจะได้ยินคำว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ แต่กลายเป็นว่ามาเป็นภาษาไทยล้วน ๆ ก็เลยทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นชินทั้งภาษาไทยและภาษาบาลีเกิดความสับสนขึ้นมาได้

คราวนี้ในเบื้องต้นของนักธรรมชั้นตรี เขามักจะเฉลยว่า ประโยชน์ในปัจจุบันก็คือชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง เหล่านี้เป็นต้น ก็ให้ปฏิบัติตามหลักหัวใจเศรษฐี ซึ่งย่อไว้ว่า อุ อา กา สะ โดยที่มีคนเอาไปภาวนาเป็นพระคาถาขลังมามากแล้ว..!

แต่ความจริง อุนั้นคืออุฏฐานสัมปทา ความขยันหมั่นเพียรในการหาทรัพย์

อารักขสัมปท รู้จักเก็บงำทรัพย์สินนั้น บางทีก็ต้องใช้รวมกับโภควิภาค ก็คือแบ่งปันทรัพย์สินออกเป็นส่วน ๆ ส่วนไหนพึงใช้ ส่วนไหนพึงเก็บ

กัลยาณมิตตตาคือ คบแต่เพื่อนดี ไม่ชักพาไปในทางเสียหาย

และ สมชีวิตา ดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง คืออยู่ในศีลในธรรม เป็นต้น บางคนก็ย่อให้จำง่าย ๆ ว่า "ขยันหา รักษาทรัพย์ คบเพื่อนดี มีชีวิตพอเพียง"

แต่คราวนี้ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่ได้มีแค่ที่เฉลยในนักธรรมชั้นตรี เพราะว่าสิ่งที่พระองค์ท่านสอนนั้น หมายเอาทั้งประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต และประโยชน์สูงสุด คือ พระนิพพาน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า วันนี้, 01:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,341
ได้รับอนุโมทนา 4,508,901 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าหากว่าสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่งก็คือ เราเป็นผู้ที่รักษาศีลครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าหากว่าทุกคนในชุมชนนั้นมีศีลสมบูรณ์ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ในปัจจุบันนั้น ก็จะเป็นวงสังคมที่มีแต่ความสงบสุข ไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่มีการดื่มสุราหรือติดยาเสพติด เป็นต้น

ถ้าหากว่ามีการเจริญสมาธิภาวนา จนกระทั่งเป็นอัปปนาสมาธิ ประโยชน์สุขในปัจจุบันก็คือ สงบระงับจากกิเลส ทำให้มีปัญญามองเห็นว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี แล้วก็เลือกกระทำในสิ่งที่ดี เว้นในสิ่งที่ไม่ดี ก็จะทำให้หลักธรรมของเราเจริญงอกงาม ขณะที่กิเลสไม่มีช่องทางทำอันตรายอะไรเราได้ หรือถ้าสามารถใช้ปัญญาพิจารณาจนรู้แจ้งแทงตลอด ปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง เราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ก็แปลว่าทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์สุขในปัจจุบันของเรา ก็สามารถที่จะก้าวไปถึงปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์สูงสุดได้ เพราะว่าในปัจจุบัน ถ้าเข้าไปถึงก็จะเป็นผู้ที่มีความสุขที่สุด เนื่องเพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง ไม่สามารถที่จะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับท่านเหล่านั้นได้อีก

จึงเป็นเรื่องที่พระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลาย ศึกษาในเรื่องของธรรมะแล้ว
อย่าได้มองตื้น ๆ แค่ที่กรรมการเขาเฉลยข้อสอบ เพราะว่าสิ่งที่เขาเฉลยมานั้นไม่หมด เราตอบตามเขา อาจจะถูกต้องตามตำราสนามหลวง แต่ว่าในส่วนที่ถูกต้องแท้จริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นยังไปไม่ถึง ถ้าท่านทั้งหลายไปยึดมั่นถือมั่นว่าตามนั้น อาจจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิโดยไม่รู้ตัว อย่างแย่ที่สุดก็คือหาความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมไม่ได้ เพราะไปคิดว่าหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามีแค่นี้เอง..!

ดังนั้น..ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพศึกษาตำรา ก็เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านแนะนำว่าให้ไปเรียนเอาไว้หน่อย เพราะว่านักปริยัติคือผู้ที่ติดตำรา มักจะมองว่านักปฏิบัตินั้นโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท่านใช้คำว่า "แกไปเรียนเอาไว้หน่อย ให้เขารู้ว่าแกเก่งกว่า..!"

กระผม/อาตมภาพจึงต้องไปถามบรรดารุ่นพี่ว่าเขาเรียนอะไรกันบ้าง ? เพราะว่าวัดท่าซุงไม่ได้เปิดสำนักเรียน ใครจะเรียน ใครจะสอบ ต้องขวนขวายด้วยตนเอง ไปค้นหาตำราเอามาอ่าน ไปขอลงชื่อสอบร่วมกับทางคณะจังหวัด แล้วถึงเวลาก็ตะเกียกตะกายไปสอบเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า วันนี้, 01:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,341
ได้รับอนุโมทนา 4,508,901 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริง ๆ เรื่องของการเรียนทางโลก เราจะรู้ซึ้งมากกว่าหลายเท่า เพราะว่าตำราเหล่านั้นเท่ากับมายืนยันว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร โดยที่ผู้ปฏิบัติธรรมถ้าเข้าถึงจริง ๆ จะรู้ว่าคำพูดหรือตำราไม่สามารถอธิบายสภาวธรรมที่แท้จริงได้ เนื่องเพราะว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือว่าตัวหนังสือจะอธิบายได้ ดังที่บาลีใช้คำว่าปัจจัตตัง คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจักรู้เห็นได้ด้วยตนเอง

อย่างที่กระผม/อาตมภาพยกตัวอย่างอยู่บ่อย ๆ ว่าคำว่า "สุข" ในองค์ฌานนั้น ตำราบอกว่ามีความรู้สึกเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ก็คืออธิบายได้หยาบมาก..!

ปกติของปุถุชน ซึ่งโดนไฟใหญ่ ๔ กอง คือ รัก โลภ โกรธ หลง เผาผลาญอยู่ตลอดเวลา เร่าร้อนดิ้นรน แต่หาทางออกไม่เจอ เมื่อท่านปฏิบัติสมาธิภาวนา จนกำลังใจเริ่มทรงตัว อำนาจสมาธิจะกดไฟใหญ่ ๔ กองนั้นให้ดับลงชั่วคราว บุคคลที่โดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาอยู่ ๆ ไฟดับลง มีความสุขแค่ไหนนั้นอธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้
เราท่านทั้งหลายจึงควรที่จะศึกษาตำรา ควบคู่กับการปฏิบัติธรรมไปด้วย ถึงจะได้ส่วนที่พึงได้อย่างครบถ้วน

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าร้อยกว่าปีทีผ่านมา ปริยัติและปฏิบัติของเราโดนแยกออกจากกันด้วยหลักสูตรการเรียนของคณะสงฆ์ แล้วก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาจนปัจจุบันนี้ ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ก็คือมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล็งเห็นจุดอ่อนตรงนี้ จึงได้กำหนดให้ทุกหลักสูตรของมหาวิทยาลัย ถ้าเข้าไปศึกษาต้องมีการปฏิบัติธรรมประจำปี

อย่างเช่นว่าระดับประกาศนียบัตรก็ต้องปฏิบัติธรรมประจำปี ๑๐ วัน

ระดับปริญญาตรีต้องปฏิบัติธรรมประจำปี ๆ ละ ๑๐ วัน หลักสูตรอย่างต่ำ ๔ ปี ก็แปลว่าก่อนจะจบ ต้องปฏิบัติธรรมให้ได้อย่างน้อย ๔๐ วัน

ระดับปริญญาโทต้องปฏิบัติธรรมปีละ ๑๕ วัน ก็คือก่อนจบหลักสูตร อย่างน้อยต้องปฏิบัติธรรมได้ ๓๐ วัน เหล่านี้เป็นต้น ปริญญาเอกก็ว่าไปตามหลักสูตรของเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า วันนี้, 01:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,341
ได้รับอนุโมทนา 4,508,901 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ามหาวิทยาลัยสงฆ์ของเราไปนำเอาหลักสูตรที่ผิดพลาดมาสอน แล้วตอนนี้ก็ระบาดไปทั่วประเทศ ก็คือไปเอาหลักสูตรพองยุบมาปฏิบัติ ซึ่งหลักสูตรนี้ปฏิเสธสมาธิภาวนาระดับอัปปนาสมาธิ บอกว่าทำให้ขี้เกียจ..! เราต้องภาวนาอยู่แค่ระดับขณิกสมาธิ หรืออุปจารสมาธิเท่านั้น โดยอธิบายว่าเหมือนอย่างกับเราเก็บงาทีละเมล็ด นานไปก็มีงาเพียงพอที่จะเอามาคั้นน้ำมันใช้งานได้

กระผม/อาตมภาพเคยถกเถียงท่านอาจารย์ผู้สอนมาแล้วว่า "ในเมื่อผมมีงาเป็นเกวียน แล้วทำไมผมต้องไปเก็บทีละเมล็ดด้วย ?" ท่านก็บอกว่าเราต้องปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ก็คือต้องทำให้อินทรีย์ ๕ และพละ ๕ เสมอกัน จึงจะเกิดผลในการปฏิบัติ ก็คือต้องทำให้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เสมอกัน

ตรงนี้กระผม/อาตมภาพไม่เถียง แต่ถามต่อไปว่าในเมื่อสมาธิของกระผมสูง แล้วทำไมเราไม่ปรับเอา ศรัทธา วิริยะ สติ และปัญญาให้ขึ้นมาเสมอกับสมาธิ ? ทำไมต้องลดสมาธิลงไปด้วย ? ทำเอาอาจารย์ท่านนั้นด่ากระผม/อาตมภาพ
ว่า "เป็นแค่เถรใบลานเปล่า ดีแต่จำตำรามาพูด"

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายสุด ๆ เพราะว่า
กรรมฐานสายนี้ทำให้บุคคลหลงเตลิดเปิดเปิงไปเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ? เนื่องเพราะว่ามักจะอาศัยอธิบายหลักธรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติแล้วเจอสภาวธรรมไปลักษณะของญาณ ๑๖ เริ่มตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ ก็คือ ญาณที่สามารถแยกรูปนามออกจากกันได้ บุคคลใดที่สามารถจับพองยุบได้อย่างชัดเจน เขาถือว่าได้นามรูปปริจเฉทญาณแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าของราคาเป็นล้าน ได้มาแค่สลึงเดียว เขาก็บอกว่าใช่ ก็เลยทำให้สายนี้เตลิดเปิดเปิงเข้าป่าเข้าดงไปจนกู่ไม่กลับ..!

เพราะว่าบุคคลที่ผ่านระดับญาณ ๑๖ แล้ว เขาถือว่าต่ำสุดต้องเป็นพระโสดาบัน หรือบางท่านใช้คำว่า "จุฬโสดาบัน" ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็น่าจะหมายถึงพระโสดาปฏิมรรค
แต่ความจริงแล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นยังไม่ทันจะจบชั้นอนุบาล ๑ เลย..! แต่ไปทึกทักว่าตนเองผ่านญาณ ๑๖ แล้ว ต้องเป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย โดยที่ผ่านในลักษณะสลึงเดียวอย่างที่กระผม/อาตมภาพว่ามานี่แหละ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า วันนี้, 01:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,177
ได้ให้อนุโมทนา: 160,341
ได้รับอนุโมทนา 4,508,901 ครั้ง ใน 36,790 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จึงทำให้ครูบาอาจารย์สายนี้มีมานะ ถือตัวถือตนจนเป็นปกติ สิ่งหนึ่งประการใดที่ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ก็ใช้วิธีด่าลูกศิษย์ หรือไม่ก็ให้ลูกศิษย์ไปปฏิบัติให้หนักยิ่งขึ้น ประมาณว่านั่งได้ข้ามวันข้ามคืนก็ยิ่งดี โดยที่ลืมหลวงพ่อโชดก - พระเดชพระคุณพระธรรมธีรราชมหามุนี วิ. (โชดก ญาณสิทฺธิ ป.ธ. ๙) อาจารย์ใหญ่ของสายพองยุบได้กล่าวเอาไว้ว่า "ลูกศิษย์ท่านนี้เก่งมาก นั่งสมาธิภาวนาต่อเนื่องได้ ๒๑ ชั่วโมงต่อเนื่องกันโดยไม่ขยับเลย..!"

พอสอบถามว่า "ลูกศิษย์ท่านนั้นตอนนี้เจริญรุ่งเรืองในคณะสงฆ์ไปถึงไหนแล้ว ?" ท่านบอกว่า "สึกไปแล้วครับ" ก็เพราะว่าอยู่ในลักษณะของการกดกิเลสเอาไว้เท่านั้น แต่ไปมั่นอกมั่นใจว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าแล้ว
จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ที่มาถูกทางแล้ว แต่ไปเอาสายปฏิบัติที่ผิดพลาดมาเสียนี่..!

ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องประพฤติวัตรปฏิบัติธรรม และศึกษาตำราควบคู่กันไปด้วย จะได้เข้าใจว่าที่ตำราเขียนไว้นั้น ที่แท้จริงคืออะไร แล้วก็อย่าได้ไปทึกทักว่าธรรมะของพระพุทธเจ้ามีแค่นั้นเป็นอันขาด เพราะว่าเหมือนกับเราเดินขึ้นบันได ด้วยกิเลสในใจของเรา พอขึ้นบันไดไปขั้นหนึ่ง ก็จะคิดว่าหลักธรรมของพระพุทธเจ้ามีแค่นี้เอง แต่พอก้าวสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ก็..อ้าว..ที่แท้มีมากกว่านี้ แต่ไปยึดมั่นถือมั่นว่าขั้นต่อไปนั้นก็คือแค่นี้อีก จนกว่าจะหมดกิเลสอย่างแท้จริง จึงจะอธิบายสภาวธรรมของพระพุทธเจ้าได้ละเอียดและชัดเจน

ดังนั้น..
ในเรื่องของการเรียนและการปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องที่ควบคู่กัน ชนิดที่ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงเหล่านั้น เพราะว่าสภาวธรรมที่แท้จริง บางทีก็พิลึกพิลั่นจนเราท่านทั้งหลายก็นึกไม่ถึง อย่างที่กระผม/อาตมภาพพบเจอมาด้วยตนเอง อ่านตำรามากี่เล่มไม่เคยบอกอย่างนั้น แต่พอไปอ่านตำราของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านอธิบายไว้ชัดเจนว่าบางท่านอาจจะเป็นอย่างนี้

พวกเราจึงต้องระมัดระวังในการศึกษาและปฏิบัติเป็นอย่างสูง ตำราเป็นเพียงแผนที่นำทาง การปฏิบัติที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทางเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ไปยึดมั่นถือมั่นว่า "กูทำได้ กูเป็นคนดีกว่าคนอื่นเขา" ถ้าอยู่ในลักษณะอย่างนั้น ก็กลายเป็นกิเลสนักปฏิบัติไปอีก

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
เลิศสกุล
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:00



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว