#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ พวกเราได้จัดงานบำเพ็ญกุศลถวายบูรพาจารย์วัดท่าขนุนกันไปเรียบร้อยแล้ว ในส่วนที่ทุกท่านถ้าสังเกต ก็คือวันนี้พระของเรารวมแล้ว ๖๒ รูป..! ก็แปลว่าจากยอดปกติ ๔๓ รูป ถ้าหากว่าท่านที่ไปอยู่สำนักข้างเคียงกลับมาด้วย เราก็จะมียอดพระภิกษุมากกว่าเดิมอีกเป็นครึ่ง ๆ แล้วทั้งหมดนี้ก็ยังกลับมาไม่หมดอีกด้วย..!
ส่วนที่บอกกล่าวนี้ไม่ใช่ภูมิใจว่าเรามีพระภิกษุสามเณรมาก หากแต่อยากจะบอกกับทุกท่านว่า "พวกเราอยู่มากขนาดนี้ มีใครที่คิดว่าสามารถเป็นหลักให้กับญาติโยมได้บ้าง ?" ส่วนใหญ่พวกเราก็แค่ยืนหยัดอยู่ในจุดเล็ก ๆ ก็คือวัดหรือสำนักของตน ไม่สามารถที่จะก้าวออกไปกว้างไกลได้มากกว่านั้น เพราะว่าขาดการขัดเกลาและฝึกฝนตนเองจนเป็นที่ศรัทธาเชื่อถือของญาติโยม ซึ่งตรงนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากความขี้เกียจของเราเอง สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่กับครูบาอาจารย์ทางสายวัดป่าภาคอีสาน ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่เห็นแก่กินแก่นอน เดินจงกรมภาวนา พิจารณากันเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า หลายท่านเสียดายเวลาที่ต้องออกบิณฑบาต และต้องเสียเวลามาฉัน ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ฉันแค่มื้อเดียว จึงทิ้งการบิณฑบาต ทิ้งการฉันอาหาร อดกันทีหนึ่ง ๗ วันบ้าง ๑๐ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง เพื่อเอาเวลาไปประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมของตน ที่อยู่ในลักษณะกำลังต่อสู้กับกิเลสอย่างหนัก ไม่เปิดโอกาสให้กิเลสเหนือกว่าได้ ต่อให้มาถึงรุ่นของกระผม/อาตมภาพเอง ช่วงที่ประพฤติปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ อย่างเก่งก็พักคืนละ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าเดินจงกรมภาวนากันทั้งคืน ต่อให้หมดสภาพสลบไสลไป ก็ตั้งใจไว้ว่าอีกไม่เกิน ๒ ชั่วโมงจะลุกมาปฏิบัติธรรมต่อไป..! ดังนั้น..ท่านที่เคยเห็นกระผม/อาตมภาพตอนโน้นกับตอนนี้ จะรู้สึกถึงความต่างกันมาก เพราะว่าตอนโน้นน้ำหนัก ๕๔ กิโลกรัม ปัจจุบันนี้ ๖๑ กิโลกรัม พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่กับการปฏิบัติธรรมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก..! วันหนึ่ง ๆ พอทำหน้าที่ประจำของตนเองเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การเข้าเวรหน้าตึกเพื่อรับใช้หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่าน หรือว่าเป็นเวรดูแลโรงครัว เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าที่ภาวนาทันที ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน กำหนดรู้อยู่อย่างเดียวว่างานต่อไปของเราคืออะไร ? อย่างเช่นว่า ๕ โมงเย็นต้องไปทำวัตรค่ำ ต่อด้วยเจริญพระกรรมฐาน เสร็จแล้วก็เข้าที่ภาวนาเฉพาะตนต่อไป ก็คืองานที่เป็นไปตามระเบียบ ตามวินัยก็ไม่ให้เสีย งานภาวนาของตนเองก็ไม่ทิ้ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
เนื่องเพราะว่าการต่อสู้กับกิเลสนั้น ถ้าเราไปเปิดโอกาสให้กิเลสเมื่อไร โอกาสที่เราจะโดนตีตายมีสูงมาก..! เพราะว่าพวกนี้ไม่เคยปรานีเรา แต่พวกเรามักจะไปปรานีกิเลส การประพฤติปฏิบัตินั้น จะสร้างความร้อนในการแผดเผากิเลส ที่เรียกว่าตบะ เมื่อกิเลสโดนเผา กลัวว่าจะตายก็ดิ้นรน หาทางให้เราพักบ้าง ไปโทรศัพท์บ้าง ไปเช็คไลน์บ้าง ไปอัพเฟซบุ๊กบ้าง เวลาที่เราจะไปสู้กับกิเลสจริง ๆ กลายเป็นว่าไปคล้อยตามกิเลส แล้วท้ายที่สุดก็โดนจูงจมูกไปอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้..!
จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วสะท้อนใจว่า พระของเรามีจำนวนมากถึง ๖๐ - ๗๐ รูป แต่ยังหาที่เป็นหลักให้กับญาติโยมจริง ๆ ไม่ได้เลย เพราะความย่อหย่อนในการปฏิบัติ ท่านทั้งหลายจะไปประมาทว่าเรามีศีลครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็นพระแล้ว กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ใช่ พระพุทธเจ้าสอนเราทั้งศีล ทั้งสมาธิ และทั้งปัญญา พวกเราส่วนใหญ่ศีลก็ยังบกพร่องอยู่ สมาธิก็ไปไม่ถึงไหน แล้วจะเอาอะไรไปให้ปัญญาได้อาศัยในการพินิจพิจารณาธรรม ทั้งยังประกอบไปด้วยความประมาทเป็นปกติ เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน แต่ไม่เห็นแก่การปฏิบัติธรรม..! เรื่องพวกนี้ บุคคลที่รับทุกข์รับโทษเป็นคนแรกก็คือตัวเราเอง ถึงเวลาก็ต้องดิ้นรนเดือดร้อน เพราะโดนกิเลสแผดเผา แทนที่จะไปเผากิเลส ภาระหน้าที่การงานต่าง ๆ ของเรา ถ้าหากว่ามีรับผิดชอบก็ทำไป โดยใส่สติไว้ตรงหน้า งานทุกอย่างถ้าเราทำโดยมีสติ ก็คือการปฏิบัติธรรม เพราะว่าสติจำเป็นในทุกเมื่อ ที่จะระมัดระวังไม่ให้เราตกเป็นทาสกิเลส ไม่ใช่โดนจูงจมูกไปไกลหลายกิโลเมตรแล้วกว่าจะรู้ตัว ซ้ำยังไม่คิดที่จะดิ้นรนให้หลุดออกมา หากแต่ตามไปเรื่อยเปื่อย แล้วแบบนี้อีกกี่ชาติถึงจะเอาดีได้..!? โดยเฉพาะในสถานการณ์โลกยุคปัจจุบัน ที่สังคมเรียกร้องจากพระภิกษุสามเณรของเราสูงมาก แล้วในลักษณะของการเรียกร้องก็ไม่ใช่เรียกร้องแบบผู้เข้าถึงธรรม หากแต่เป็นการเรียกร้องตามกิเลส หรือความเข้าใจของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการเข้าใจผิดแบบมิจฉาทิฏฐิอีกด้วย..! แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ถ้าหากว่าเราทั้งหลายเคร่งครัดในธรรมวินัย มีสมาธิเป็นเครื่องรักษาตนไม่ให้กิเลสโจมตีเราได้ มีปัญญาเพียงพอที่จะมองเห็นช่องทางว่าทำอย่างไรจะรักษาตัวให้รอดจากตรงนี้ ก็คือสถานการณ์ที่ รัก โลภ โกรธ หลง กำลังรุมตีเราอยู่เฉพาะหน้า ถ้าอย่างนั้นก็พอที่จะนับเป็นสมมติสงฆ์ ที่ชาวบ้านเขาไหว้ได้เต็มมือบ้าง ไม่ใช่ว่าเขาเรียกร้องหรือด่าอะไรมาตรงกับเราหมด ถ้าอยู่ในลักษณะนั้น เราไม่มีโอกาสที่จะไปถกเถียงหรือแก้ตัวเลย เพราะว่าทุกอย่างที่เราทำ ตรงกับที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสิ้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ล่าสุดนี้ก็ยังมีข่าวคราวที่เขาจะจัดการกับบรรดานักบวชในพุทธศาสนาของเรา ที่ "แหกคอก" ออกไปไกลเกิน จนสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนา ทำให้ชาวบ้านเขาเสื่อมศรัทธา โดยเฉพาะในช่วงอื่นนั้น กระแสยังไม่แรงขนาดนี้ ถ้าจัดการอะไรรุนแรงลงไป เขาก็กลัวว่ากระแสจะตีกลับ กลายเป็นเดือดร้อนเอง จึงปล่อยยาวมาเป็น ๑๐ ปี แต่ช่วงนี้กระแสสังคมให้แล้ว จึงต้องชิงโอกาสในการจัดการเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเป็นการชำระพระพุทธศาสนาให้สะอาดขึ้น
ถ้าท่านทั้งหลายจำในปหาราทสูตรได้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเทียบให้ปหาราทอสูรได้ทราบว่า พระธรรมวินัยนี้เปรียบเหมือนกับทะเล มีข้อหนึ่งที่ว่าย่อมซัดซากศพขึ้นสู่ฝั่งอยู่เสมอ ก็คือท้องทะเลจะไม่เก็บพวกซากศพหรือขยะเอาไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนซัดขึ้นฝั่ง เราท่านทั้งหลายจะกลายเป็นขยะในพระธรรมวินัยนี้ หรือว่ากลายเป็นซากศพซึ่งเขารังเกียจลอยอยู่ในทะเลก็ตาม ถ้าไม่สามารถที่จะกลับกลายการกระทำของตนเองได้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะโดนซัดขึ้นสู่ฝั่งเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต้องตระหนัก ไม่ใช่ว่าอยู่วัดท่าขนุน เป็นวัดใหญ่ มีพระภิกษุสามเณรมาก ญาติโยมให้ความเคารพนับถือมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเรื่องของส่วนรวม ตัวเราเองมีอะไรให้เขาเคารพนับถือหรือยัง ? อย่างที่เราพิจารณากันบ่อย ๆ ว่า "คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม" "ตัวเราติเตียนตัวเราเองโดนศีลได้หรือไม่ ?" "ผู้รู้พิจารณาแล้วติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เราพิจารณาโดยการท่องคล่องปากไปวัน ๆ หากแต่ต้องเอามาใช้งานจริง ๆ ด้วย อันดับแรกเพื่อรักษาตัวของเรา ไม่ให้โดนกิเลสทุบตีอยู่ทุกวัน อันดับต่อไป ถ้าสามารถชำระใจของตนให้กิเลสเหลือน้อยลงได้ เราก็จะเป็นทั้งที่พึ่งของตนเอง และญาติโยมทั้งหลายได้ในระดับหนึ่ง ถ้าสามารถชำระใจให้ผ่องใสจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงได้ นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่ว่าปัจจุบันนี้เรายืนอยู่ตรงไหน ? ห่างไกลจากเป้าหมายเท่าไร ? ต้องใช้ความเพียรพยายามอีกมากเท่าไร ? นั่นเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพฝากให้ท่านทั้งหลายไปพินิจพิจารณา และปฏิบัติกันเอง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : วันนี้ เมื่อ 05:41 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 15 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 14 คน ) | |
เผือกน้อย |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|