กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 19:45
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,199
ได้ให้อนุโมทนา: 226,675
ได้รับอนุโมทนา 813,198 ครั้ง ใน 40,062 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 00:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,100
ได้ให้อนุโมทนา: 159,899
ได้รับอนุโมทนา 4,505,597 ครั้ง ใน 36,711 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ พวกเราได้จัดงานบำเพ็ญกุศลถวายบูรพาจารย์วัดท่าขนุนกันไปเรียบร้อยแล้ว ในส่วนที่ทุกท่านถ้าสังเกต ก็คือวันนี้พระของเรารวมแล้ว ๖๒ รูป..! ก็แปลว่าจากยอดปกติ ๔๓ รูป ถ้าหากว่าท่านที่ไปอยู่สำนักข้างเคียงกลับมาด้วย เราก็จะมียอดพระภิกษุมากกว่าเดิมอีกเป็นครึ่ง ๆ แล้วทั้งหมดนี้ก็ยังกลับมาไม่หมดอีกด้วย..!

ส่วนที่บอกกล่าวนี้ไม่ใช่ภูมิใจว่าเรามีพระภิกษุสามเณรมาก หากแต่อยากจะบอกกับทุกท่านว่า
"พวกเราอยู่มากขนาดนี้ มีใครที่คิดว่าสามารถเป็นหลักให้กับญาติโยมได้บ้าง ?" ส่วนใหญ่พวกเราก็แค่ยืนหยัดอยู่ในจุดเล็ก ๆ ก็คือวัดหรือสำนักของตน ไม่สามารถที่จะก้าวออกไปกว้างไกลได้มากกว่านั้น เพราะว่าขาดการขัดเกลาและฝึกฝนตนเองจนเป็นที่ศรัทธาเชื่อถือของญาติโยม ซึ่งตรงนี้จะโทษใครไม่ได้ นอกจากความขี้เกียจของเราเอง

สมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่กับครูบาอาจารย์ทางสายวัดป่าภาคอีสาน ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่เห็นแก่กินแก่นอน เดินจงกรมภาวนา พิจารณากันเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า หลายท่านเสียดายเวลาที่ต้องออกบิณฑบาต และต้องเสียเวลามาฉัน ทั้ง ๆ ที่ท่านก็ฉันแค่มื้อเดียว จึงทิ้งการบิณฑบาต ทิ้งการฉันอาหาร อดกันทีหนึ่ง ๗ วันบ้าง ๑๐ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง เพื่อเอาเวลาไปประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมของตน ที่อยู่ในลักษณะกำลังต่อสู้กับกิเลสอย่างหนัก ไม่เปิดโอกาสให้กิเลสเหนือกว่าได้

ต่อให้มาถึงรุ่นของกระผม/อาตมภาพเอง ช่วงที่ประพฤติปฏิบัติอย่างจริง ๆ จัง ๆ อย่างเก่งก็พักคืนละ ๒ ชั่วโมงเท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าเดินจงกรมภาวนากันทั้งคืน ต่อให้หมดสภาพสลบไสลไป ก็ตั้งใจไว้ว่าอีกไม่เกิน ๒ ชั่วโมงจะลุกมาปฏิบัติธรรมต่อไป..!

ดังนั้น..ท่านที่เคยเห็นกระผม/อาตมภาพตอนโน้น
กับตอนนี้ จะรู้สึกถึงความต่างกันมาก เพราะว่าตอนโน้นน้ำหนัก ๕๔ กิโลกรัม ปัจจุบันนี้ ๖๑ กิโลกรัม พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่กับการปฏิบัติธรรมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก..!

วันหนึ่ง ๆ พอทำหน้าที่ประจำของตนเองเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การเข้าเวรหน้าตึกเพื่อรับใช้หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่าน หรือว่าเป็นเวรดูแลโรงครัว เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เข้าที่ภาวนาทันที ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน กำหนดรู้อยู่อย่างเดียวว่างานต่อไปของเราคืออะไร ? อย่างเช่นว่า ๕ โมงเย็นต้องไปทำวัตรค่ำ ต่อด้วยเจริญพระกรรมฐาน เสร็จแล้วก็เข้าที่ภาวนาเฉพาะตนต่อไป ก็คือ
งานที่เป็นไปตามระเบียบ ตามวินัยก็ไม่ให้เสีย งานภาวนาของตนเองก็ไม่ทิ้ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า วันนี้, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,100
ได้ให้อนุโมทนา: 159,899
ได้รับอนุโมทนา 4,505,597 ครั้ง ใน 36,711 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าการต่อสู้กับกิเลสนั้น ถ้าเราไปเปิดโอกาสให้กิเลสเมื่อไร โอกาสที่เราจะโดนตีตายมีสูงมาก..! เพราะว่าพวกนี้ไม่เคยปรานีเรา แต่พวกเรามักจะไปปรานีกิเลส การประพฤติปฏิบัตินั้น จะสร้างความร้อนในการแผดเผากิเลส ที่เรียกว่าตบะ เมื่อกิเลสโดนเผา กลัวว่าจะตายก็ดิ้นรน หาทางให้เราพักบ้าง ไปโทรศัพท์บ้าง ไปเช็คไลน์บ้าง ไปอัพเฟซบุ๊กบ้าง เวลาที่เราจะไปสู้กับกิเลสจริง ๆ กลายเป็นว่าไปคล้อยตามกิเลส แล้วท้ายที่สุดก็โดนจูงจมูกไปอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้..!

จึงเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วสะท้อนใจว่า
พระของเรามีจำนวนมากถึง ๖๐ - ๗๐ รูป แต่ยังหาที่เป็นหลักให้กับญาติโยมจริง ๆ ไม่ได้เลย เพราะความย่อหย่อนในการปฏิบัติ ท่านทั้งหลายจะไปประมาทว่าเรามีศีลครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็นพระแล้ว กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ใช่ พระพุทธเจ้าสอนเราทั้งศีล ทั้งสมาธิ และทั้งปัญญา พวกเราส่วนใหญ่ศีลก็ยังบกพร่องอยู่ สมาธิก็ไปไม่ถึงไหน แล้วจะเอาอะไรไปให้ปัญญาได้อาศัยในการพินิจพิจารณาธรรม ทั้งยังประกอบไปด้วยความประมาทเป็นปกติ เห็นแก่กิน เห็นแก่นอน แต่ไม่เห็นแก่การปฏิบัติธรรม..!

เรื่องพวกนี้ บุคคลที่รับทุกข์รับโทษเป็นคนแรกก็คือตัวเราเอง ถึงเวลาก็ต้องดิ้นรนเดือดร้อน เพราะโดนกิเลสแผดเผา แทนที่จะไปเผากิเลส ภาระหน้าที่การงานต่าง ๆ ของเรา ถ้าหากว่ามีรับผิดชอบก็ทำไป โดยใส่สติไว้ตรงหน้า งานทุกอย่างถ้าเราทำโดยมีสติ ก็คือการปฏิบัติธรรม เพราะว่าสติจำเป็นในทุกเมื่อ ที่จะระมัดระวังไม่ให้เราตกเป็นทาสกิเลส ไม่ใช่โดนจูงจมูกไปไกลหลายกิโลเมตรแล้วกว่าจะรู้ตัว ซ้ำยังไม่คิดที่จะดิ้นรนให้หลุดออกมา หากแต่ตามไปเรื่อยเปื่อย แล้วแบบนี้อีกกี่ชาติถึงจะเอาดีได้..!?

โดยเฉพาะในสถานการณ์โลกยุคปัจจุบัน ที่สังคมเรียกร้องจากพระภิกษุสามเณรของเราสูงมาก แล้วในลักษณะของการเรียกร้องก็ไม่ใช่เรียกร้องแบบผู้เข้าถึงธรรม หากแต่เป็นการเรียกร้องตามกิเลส หรือความเข้าใจของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการเข้าใจผิดแบบมิจฉาทิฏฐิอีกด้วย..!

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ถ้าหากว่าเราทั้งหลายเคร่งครัดในธรรมวินัย มีสมาธิเป็นเครื่องรักษาตนไม่ให้กิเลสโจมตีเราได้ มีปัญญาเพียงพอที่จะมองเห็นช่องทางว่าทำอย่างไรจะรักษาตัวให้รอดจากตรงนี้ ก็คือสถานการณ์ที่ รัก โลภ โกรธ หลง กำลังรุมตีเราอยู่เฉพาะหน้า ถ้าอย่างนั้นก็พอที่จะนับเป็นสมมติสงฆ์ ที่ชาวบ้านเขาไหว้ได้เต็มมือบ้าง ไม่ใช่ว่าเขาเรียกร้องหรือด่าอะไรมาตรงกับเราหมด ถ้าอยู่ในลักษณะนั้น เราไม่มีโอกาสที่จะไปถกเถียงหรือแก้ตัวเลย เพราะว่าทุกอย่างที่เราทำ ตรงกับที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสิ้น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า วันนี้, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 33,100
ได้ให้อนุโมทนา: 159,899
ได้รับอนุโมทนา 4,505,597 ครั้ง ใน 36,711 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ล่าสุดนี้ก็ยังมีข่าวคราวที่เขาจะจัดการกับบรรดานักบวชในพุทธศาสนาของเรา ที่ "แหกคอก" ออกไปไกลเกิน จนสร้างความเสียหายให้กับพระพุทธศาสนา ทำให้ชาวบ้านเขาเสื่อมศรัทธา โดยเฉพาะในช่วงอื่นนั้น กระแสยังไม่แรงขนาดนี้ ถ้าจัดการอะไรรุนแรงลงไป เขาก็กลัวว่ากระแสจะตีกลับ กลายเป็นเดือดร้อนเอง จึงปล่อยยาวมาเป็น ๑๐ ปี แต่ช่วงนี้กระแสสังคมให้แล้ว จึงต้องชิงโอกาสในการจัดการเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเป็นการชำระพระพุทธศาสนาให้สะอาดขึ้น

ถ้าท่านทั้งหลายจำในปหาราทสูตรได้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเทียบให้ปหาราทอสูรได้ทราบว่า พระธรรมวินัยนี้เปรียบเหมือนกับทะเล มีข้อหนึ่งที่ว่าย่อมซัดซากศพขึ้นสู่ฝั่งอยู่เสมอ ก็คือท้องทะเลจะไม่เก็บพวกซากศพหรือขยะเอาไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนซัดขึ้นฝั่ง

เราท่านทั้งหลายจะกลายเป็นขยะในพระธรรมวินัยนี้ หรือว่ากลายเป็นซากศพซึ่งเขารังเกียจลอยอยู่ในทะเลก็ตาม ถ้าไม่สามารถที่จะกลับกลายการกระทำของตนเองได้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะโดนซัดขึ้นสู่ฝั่งเช่นกัน จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต้องตระหนัก ไม่ใช่ว่าอยู่วัดท่าขนุน เป็นวัดใหญ่ มีพระภิกษุสามเณรมาก ญาติโยมให้ความเคารพนับถือมาก สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นเรื่องของส่วนรวม ตัวเราเองมีอะไรให้เขาเคารพนับถือหรือยัง ?

อย่างที่เราพิจารณากันบ่อย ๆ ว่า
"คุณวิเศษของเรามีหรือไม่ ? เพื่อที่จะได้ไม่เก้อเขินเมื่อเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม" "ตัวเราติเตียนตัวเราเองโดนศีลได้หรือไม่ ?" "ผู้รู้พิจารณาแล้วติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่ ?" เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เราพิจารณาโดยการท่องคล่องปากไปวัน ๆ หากแต่ต้องเอามาใช้งานจริง ๆ ด้วย

อันดับแรกเพื่อรักษาตัวของเรา ไม่ให้โดนกิเลสทุบตีอยู่ทุกวัน อันดับต่อไป ถ้าสามารถชำระใจของตนให้กิเลสเหลือน้อยลงได้ เราก็จะเป็นทั้งที่พึ่งของตนเอง และญาติโยมทั้งหลายได้ในระดับหนึ่ง ถ้าสามารถชำระใจให้ผ่องใสจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงได้ นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่ว่าปัจจุบันนี้เรายืนอยู่ตรงไหน ? ห่างไกลจากเป้าหมายเท่าไร ? ต้องใช้ความเพียรพยายามอีกมากเท่าไร ? นั่นเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพฝากให้ท่านทั้งหลายไปพินิจพิจารณา และปฏิบัติกันเอง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : วันนี้ เมื่อ 05:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว