|
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๖ กรกฏาคม ๒๕๖๘ เป็นอย่างไรว่าที่สามเณร ? ไม่ทันจะบวชเลย เกือบสิ้นชีวิตแล้วใช่ไหม ? คราวนี้ถ้าได้ยินใครพูดว่า "บวชแล้วสบาย" บอกให้เขาไปบวชเลย บอกไปนะว่า "กูยังไม่ทันจะบวชเลย กูก็จะตายแล้ว !" เดี๋ยวพวกเราหลังจากที่บวชเนกขัมมะแล้ว ให้ปฏิบัติธรรมตามปกติ ส่วนช่วงประมาณเที่ยงครึ่ง เราจะบวชสามเณรเฉลิมพระเกียรติถวายกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงเจริญพระชนมายุ ๗๓ พรรษาเต็ม บรรพชาหมู่ ๗๔ รูป ซึ่งเป็นโอกาสอันดี ที่ครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเราได้แสดงความจงรักภักดีโดยการบรรพชาถวายกุศล ไปนึกถึงหลวงพ่อสมคิด (พระครูบวรกาญจนธรรม) วัดตะเคียนงาม ท่านเองนอกจากพ่อแม่จะแจ้งเกิดช้าแล้ว ใบเกิดยังหายอีก ที่ชาวบ้านเรียกใบเกิดก็คือสูติบัตร ที่บ้านอาตมาก็แบบนั้น ได้อะไรมาแม่ก็เหน็บหลังคาเอาไว้ หนูแทะบ้าง โดนน้ำบ้าง บางทีรื้อหลังคาก็ทิ้งไปทั้งหมดนั่นเลย..! หลวงพ่อสมคิดจึงบวชไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใบเกิด ไม่มีบัตรประชาชน พอดีเขาต้องการพระบวชเฉลิมพระเกียรติถวายในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านไปถามเขาว่า "ไม่มีบัตรประชาชน ไม่มีใบเกิด บวชได้ไหม ?" เขาบอกว่า "ได้" ท่านก็เลยตัดสินใจบวช แล้วก็ไม่สึก อยู่ยาวมาเลย หมดเรื่องหมดราวไป ตอนหลังก็ทำหนังสือสุทธิพระ แล้วก็เอาหนังสือสุทธิพระไปขอทำบัตรประชาชน จึงหมดปัญหาไป แต่ว่าด้วยความที่แจ้งเกิดช้า เกิดแล้วตั้ง ๔ - ๕ ปี พ่อถึงจะไปแจ้งเกิดให้ เพราะฉะนั้น..ตอนนี้อายุจริงของท่านคือ ๘๐ ปี แต่อายุบัตรประชาชนคือ ๗๕ ปี ของพระเขาให้เกษียณที่อายุ ๘๐ ปี แต่หลวงพ่อสมคิดจะไปเกษียณที่อายุ ๘๕ ปี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2025 เมื่อ 01:16 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
ส่วนว่าที่สามเณรของเรา ระยะเวลาแค่ประมาณสามวันเท่านั้น ลองกันดู สมัยก่อนลูกผู้ชายถ้าไม่บวชพระก็ต้องเป็นทหาร บวชพระก็ต้องบวช ๑ พรรษา ก็คือต่ำสุด ๓ เดือน แล้วเราบวชเณร ๓ วันจะรอดไหม ?
อะไรที่เคยทำได้ตอนเป็นฆราวาส พอเป็นพระเป็นเณรแล้วทำไม่ได้ ที่เขาบอกว่า "สึกก็อยากจะสวด บวชก็อยากจะร้อง" สึกแล้วดันขยันสวดมนต์ ตอนบวชพระไม่ทำ..! แต่พอบวชก็อยากจะร้องเพลง พระห้ามร้องเพลงก็อยากจะร้องทั้งวัน..! คราวนี้อย่าลืมว่าเราทุกท่านบวชถวายในหลวง แม้กระทั่งการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติก็ถวายในหลวง ปกติแล้วจะถวายอะไรในหลวงก็ต้องเป็นของที่ดีที่สุด คราวนี้เราเป็นเณร เป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็จะมีศีล ๑๐ ศีล ๘ เป็นคุณสมบัติ ก็ต้องรักษาให้ดีที่สุด ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง จะได้ถวายของดีที่สุดกับในหลวง ก็คือการที่ควบคุม กาย วาจา ใจ ของตนให้อยู่ในศีล ตอนนี้เราอาจจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร โตขึ้นกว่านี้หน่อยก็จะรู้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2025 เมื่อ 01:17 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ในหลวงพระราชินีไม่ได้อยู่ในวังเลยนะ ท่านไปอยู่แนวหน้าตั้งแต่แรก ๆ แล้ว ไปกินไปนอนอยู่กับทหาร สาเหตุของการที่ทหารยืนยันไม่ให้อีกฝ่ายล่วงล้ำอธิปไตย ก็เพราะว่าในหลวงอยู่ด้วย พวกเราจะไปคิดว่าท่านเองอยู่สบายในกรุงเทพฯ..เปล่า ท่านไปนอนคลุกดินคลุกทรายอยู่กับทหารตั้งแต่แรกแล้ว
คราวนี้ในสิ่งที่พระองค์ท่านทำ ในหลวงของเราท่านความจริงพูดเก่งนะ แต่ท่านไม่ค่อยพูด ทำอย่างเดียว ท่านทำแบบ "ปิดทองหลังพระ" ตามนโยบายของผู้เป็นทูนกระหม่อมพ่อ เพราะว่าทูนกระหม่อมพ่อเขียนเรื่อง "นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ" แล้วยังมีปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ พระองค์ท่านทำพิธีปฐมบรมราชาภิเษก ก็คือขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินอย่างเป็นทางการ เมื่อขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วพูดอะไรประโยคแรก เขาเรียกว่า "ปฐมบรมราชโองการ" พระองค์ท่านตรัสว่า "เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาราษฎรสืบไป" พูดง่าย ๆ ก็คือ "อะไรที่พ่อทำไว้ พระองค์ท่านจะทำต่อไป" ไม่ค่อยเหมือนรัฐบาลของเรา รัฐบาลนี้พอของใหม่มานี่ ของเก่าทำอะไรไว้ดีแค่ไหนกูก็ไม่เอา ตั้งโครงการใหม่ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยว "กิน" ยาก ทำโครงการใหม่ ตั้งงบประมาณใหม่ เพื่อที่จะได้ "กิน" กันให้ถนัด นี่อาตมามองโลกในแง่ร้ายไปไหม ?! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราที่ตั้งใจบวชเฉลิมพระเกียรติ ก็ต้องสำรวม กาย วาจา ใจ ให้ดี สามวันไม่ตายหรอก แค่ใกล้ ๆ ตายเท่านั้น..เชื่อเถอะ..! ไม่เคยได้ยินใช่ไหมที่เขาบอกว่า "บวชแล้วสบาย" คนไหนพูดนี่ลากคอมาบวชที่วัดท่าขนุนเลย ดูว่าจะสบายไหม ? ตีสามครึ่งต้องตื่นแล้ว แล้วท่านเจ้าอาวาสไม่รอด้วย นั่งลงได้ก็นำกรรมฐานเลย ใครมาไม่ทันช่างหัวมัน เสียประโยชน์เอง แต่ว่าระยะนี้เสียงไม่มี ยิ่งพูดเสียงเบายิ่งไม่ได้เลย นำกรรมฐานเมื่อเช้ามืดนี้พยายามเต็มที่แล้ว แทบจะขาดใจตาย..! ก็ทำหน้าที่ไป ตายเมื่อไรก็จบกัน เพราะว่า "ทำให้ดู อยู่ให้เห็น ตายให้เป็น เย็นให้ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-08-2025 เมื่อ 01:22 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
หลังจากกินอาหารกลางวันแล้ว พวกเราก็ต้องไปแห่รอบโบสถ์ แล้วเข้ามาบวชเณรกันในศาลานี้ ให้พี่เลี้ยงเขียนชื่อ นามสกุล ชั้นเรียน ของสามเณรให้ชัดเจน ถ้าอยู่ชั้นเดียวกันก็ไล่ชื่อตามอายุจากน้อยไปหามาก
รุ่นนี้คงไม่มีแล้วหรอกกระมัง ? รุ่นหลวงพ่อเรียนชั้น ป. ๑ ตัวเองอายุ ๗ ขวบ แต่เพื่อนร่วมชั้น ป. ๑ อายุ ๑๗ - ๑๘ ปีไปเสียครึ่งห้อง..! สมัยก่อนใครสอบได้ไม่ถึง ๕๐ % เขาปรับตกให้เรียนซ้ำชั้น แล้วก็ตกได้ตกดี ตกกันจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว หลวงพ่อเพิ่งจะเป็นเด็ก ๗ ขวบ ตัวกะเปี๊ยกเดียว เข้าไปเจอเพื่อนอายุ ๑๗ - ๑๘ เต็มห้องเลย ต้องแหงนหน้าคุย เพื่อนผู้หญิงบางคนแหงนแล้วยังไม่เห็นหน้าเลย เห็นแต่นม ตัวเราเล็กไปหน่อย..! มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ไม่นึกว่าเขาจะได้ดีในชีวิต ชื่อจริงอย่าไปรู้เลย เรียกกันว่า "ไอ้ร้อง" ร้องไห้ได้ทั้งวัน..! หลวงพ่ออยู่ ป. ๑ ไอ้ร้องก็เข้าเรียนชั้น ป. ๑ หลวงพ่ออยู่ ป. ๒ ไอ้ร้องก็อยู่ ป. ๑ หลวงพ่ออยู่ ป. ๓ ไอ้ร้องก็อยู่ ป. ๑ หลวงพ่ออยู่ ป. ๔ ไอ้ร้องก็อยู่ ป. ๑ หลวงพ่ออยู่ ป. ๕ ไอ้ร้องลาออก..! อย่านึกว่าไม่มีนะ ทองผาภูมิยังมีอยู่เลย เรียน ๑๒ ปีอยู่ชั้น ป. ๒ ไม่ใช่อายุ ๑๒ นะ เรียนมา ๑๒ ปีอยู่แค่ชั้น ป. ๒ มาบวชพระวัดท่าขนุนด้วย ช่วยสอนกันไปหนึ่งพรรษา บอกพระท่านว่า "ทันเตะเป็นเตะ ทันเขกเป็นเขก เอาให้หนัก" คนนี้เป็นเด็กสมาธิสั้น จะทำเฉพาะเรื่องที่ตัวเองชอบ ถ้าเป็นเรื่องอื่นไม่สนใจ เลยต้องบังคับเรียน ครูไม่กล้าตีแต่พระไม่กลัว บอกไว้แล้วว่าถ้าเขกกบาลทันให้เขก ทันเตะก็เตะ..! คนเรากลัวเจ็บ เขากลัวเจ็บก็ตั้งใจเรียน บวชอยู่ ๓ เดือนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ แม่เกือบจะปิดตลาดเลี้ยง..! ลูกเรียนโรงเรียน ๑๒ ปีอยู่แค่ชั้น ป. ๒ แต่อยู่วัดท่าขนุน ๓ เดือนได้นักธรรมตรี ได้ประกาศนียบัตรไปติดข้างฝาโก้ ๆ แล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2025 เมื่อ 01:42 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ปรากฏว่าเรียนอยู่ ๕ ปี ไอ้ร้องสอบไม่ได้สักครั้ง ลาออก หลวงพ่ออยู่ชั้น ม.ศ. ๑ กลับไปเยี่ยม ไอ้ร้องอาย..ไม่ยอมโผล่หน้ามาเจอ หลังจากนั้นหลวงพ่อก็เข้ากรุงเทพฯ ไปทำงาน ไปเรียนทหาร จบทหารออกมา ไอ้ร้องเป็นผู้ใหญ่บ้าน..! เป็นไปได้อย่างไรวะ ?! แล้วตอนหลังขึ้นเป็นกำนันอีกด้วย..!
คนเรานี่เก่งกันคนละอย่าง ไอ้ร้องเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่มนุษยสัมพันธ์ดี จริงใจกับคนอื่น ไม่รู้ว่าคนอื่นเห็นว่าไอ้ร้องโง่หรือเปล่า ? ไอ้ร้องก็เลยกลายเป็นผู้ใหญ่บ้าน แล้วกลายเป็นกำนัน คราวนี้ก็กล้าพูด กล้าสู้หน้าคน ไม่อย่างนั้นเวลาเพื่อนไปเยี่ยม เขาจะหนีไม่ยอมให้เจอ..! เพราะฉะนั้น..บางคนเรียนไม่เก่ง ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพียงแต่ว่าสตีฟ จ๊อบ และมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก มีแค่อย่างละคนเดียว อย่าไปอ้างว่าสองคนนั้นเรียนไม่จบไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย รวยเป็นหมื่น ๆ ล้าน โลกนี้มี ๕,๐๐๐ - ๖,๐๐๐ กว่าล้านคน มี สตีฟ จ๊อบ และ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก แค่อย่างละคนเท่านั้น เราอย่าไปหวังว่าจะรวยได้แบบนั้น เดี๋ยวพวกเราสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน แล้วปฏิบัติธรรมกันต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-08-2025 เมื่อ 01:44 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]() ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๒๗ กรกฏาคม ๒๕๖๘ อะไรที่ทำไปนาน ๆ ทำจนเคยชิน จะเรียกว่าฤทธิ์ก็ได้ คือเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบาก ภาษาบาลีว่ากัมมวิปากชาฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม อย่างเช่นว่านกบินได้ ปลาอยู่ในน้ำได้ ไส้เดือนมุดดินได้ ไม่เห็นสัตว์เหล่านั้นต้องไปฝึกกสิณเลย คราวนี้ในสิ่งที่เราทำจนชินอย่างเช่นการบิณฑบาต ฝนตกแดดออกก็ไป เมื่อไปจนชิน จึงกลายเป็นฤทธิ์อย่างหนึ่ง ก็คือมีฤทธิ์สามารถฝ่าฝนบิณฑบาตได้ ขณะที่วัดอื่นไม่เอาด้วย..! ในเมื่อวิบากหรือวิปาก (วิ-ปา-กะ) เป็นการส่งผลจากอดีต ส่วนใหญ่เป็นอดีตชาติ..ใช่ไหม ? แต่ความจริงสิ่งที่เราทำวินาทีนี้พอวินาทีถัดไปก็เป็นอดีตแล้ว ดังนั้น..ถ้าหากว่าเราทำเป็นปกติต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ อดีตทั้ง ๆ ที่เราทำในชาตินี้ ก็สามารถส่งผลให้ในชาติปัจจุบันนี้ได้ บางคนเขาว่า "ถ้าหากว่าทำบุญก็จะได้ชาติหน้า ทำหน้าจะได้ชาตินี้" เพียงแต่ระวังให้หาหมอฝีมือดี ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นที่ทำออกมาแต่ละคนดูไม่ได้เลย หลอนไปหมด..! ด้วยความที่อาตมภาพเป็นคนดู "โหงวเฮ้ง" เป็น พอเห็นแล้วก็รู้เลยว่ารายนี้ทำอะไรมาบ้าง เพราะว่าผิดเพี้ยนหมด แล้วการเพี้ยนบางอย่างก็ทำให้เกิดเสียผลกับเจ้าของอย่างมาก..! อย่างเช่นว่าเขานิยมการตัดปีกจมูกออกให้เหลือเล็ก ๆ หารู้ไม่ว่าจมูกใหญ่ ๆ ที่บางคนเขาเรียกว่าจมูกสิงโตหรือจมูกชมพู่ เป็นจมูกของคนที่สามารถควบคุมลูกน้องได้ มีบริวารกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น จะควบคุมได้หมด พอไปทำจมูกมา โหงวเฮ้งเปลี่ยน ฐานอำนาจหมด คราวนี้ลูกน้องแค่ ๓ คน ๕ คนก็คุมไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้าใครมีปัญหาตรงนี้ โปรดทราบว่าผลร้ายเกิดจากการที่ท่านไปพึ่งมีดหมอเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:01 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
![]()
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เขมรรบไทย แต่ไทยไม่ได้อยากรบเขมร เขมรแหย่มาก ๆ เข้า เขมรก็เลยได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์ว่า "เป็นชาติแรกที่ทดสอบเครื่องบินรบกริพเพนของสวีเดน" เพราะว่าประเทศอื่น ๆ เขาใช้กริพเพนในการลาดตระเวนหาข่าว ประเทศไทยใช้ในการรบ เขมรเลยได้รับการจารึกเป็นประวัติศาสตร์ว่าเป็นประเทศแรกที่โดนเครื่องบินกริพเพนถล่มเอา..!
เราจะเห็นว่าในสมัยนี้แม้ว่าสงครามการข่าวจะสำคัญมาก แต่ด้วยความที่มีตาวิเศษอยู่เต็มท้องฟ้าไปหมด ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำอะไร ดาวเทียมบันทึกไว้หมด ดังนั้น..สิ่งที่เขมรถล่มเรา แล้วกล่าวหาว่าไทยลงมือก่อน ก็เลยไม่มีประโยชน์อะไร เพราะคนสมัยนี้ไม่โง่ เขาเปิดดาวเทียมดูได้ แล้วที่หนักกว่านั้นก็คือ เขมรกล่าวหาว่าไทยขยายแนวรบออกไปนอกพื้นที่ขัดแย้ง แต่เขมรเองกลับบุกจังหวัดตราด ที่อยู่นอกพื้นที่ขัดแย้งห่างกันหลายร้อยกิโลเมตร ขนาดเขมรตั้งใจยิงปืนใหญ่ใส่ประเทศลาว แล้วอ้างว่าเป็นกระสุนจากประเทศไทย ลาวก็ฉลาด..เปิดดาวเทียมดู เห็นชัดว่ากระสุนไม่ได้มาจากฝั่งไทย น่าเสียดายว่าไทยเราก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวเลขที่แท้จริงว่าทหารเขมรตายไปเท่าไร ? เพราะว่าจะทำให้ประเทศไทยดูเหมือนอย่างกับโหดร้าย ส่วนเขมรก็ไม่กล้าเปิดเผย กลัวว่าคนของเขารู้แล้วจะหมดกำลังใจ เอาแค่ที่ภูมะเขือ ภูผี ถ้าหากใช้ภาษาทหารก็คือว่า "ละลาย" ทั้งกองพัน คำว่าละลายก็คือเสียหายจนไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ของตนต่อไปได้ สมมุติระดับกองพันอาจจะเหลือไม่ถึงหมู่..! อะไรแบบนั้น พวกที่ไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันมา รอดไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? ภาษาจิ๊กโก๋เขาว่าเขมรอยู่ในสภาพ "ร่างกายต้องการการปะทะ" ซึ่งความจริงไทยเราทำไม่รู้ไม่ชี้ก็ได้ ตีบุกยึดไปเรื่อย ๆ ได้หมดทั้งประเทศก่อนแล้วค่อยตั้งโต๊ะเจรจา เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศก็เห็นด้วย แต่ว่าปฏิบัติการทุกอย่างมีผลกระทบในระดับนานาชาติ ไม่ใช่คิดแล้วทำได้เลย ต้องดูข้อดีข้อเสียว่ามีอะไร ได้ผลดีอะไร มีผลเสียอย่างไร เรื่องพวกนี้เราต้องรับรู้ไว้อย่างเดียวแต่อย่ารับทราบ ก็คือรับรู้ไว้ในลักษณะของข่าวสารบ้านเมือง แต่อย่าไปมีอารมณ์ร่วมด้วย มีอารมณ์ร่วมด้วยเมื่อไร ก็กลายเป็น รัก โลภ โกรธ หลง เมื่อนั้น..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
![]()
เณรหมายเลขสองแถวแรกนั่นใคร ? ไม่เคยมาก่อนใครเลย..! เมื่อคืนก็มาเป็นคนสุดท้ายตอนที่เสร็จกรรมฐานแล้ว เป็นเณรที่วัดเรา ? แล้วหายหัวไปไหน ? แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องใหม่ ดันกลายเป็นตัวอย่างที่เลว..! เดี๋ยวน่าจะต้องมีการแจกรางวัลให้ วัดท่าขนุนรวย แจกรางวัลพระเณรเป็นประจำ ถึงเวลาก็เอาไปคนละ ๓ ที ๕ ที ถ้าหลวงพ่อตีเองก็สาหัสหน่อย ถ้าคนอื่นตีก็เบาหน่อย..!
ตอนสมัยเรียนทหารอยู่ เขาแบ่งคนเป็นสี่จำพวก ไม่ใช่บัว ๔ เหล่านะ มีพวกฉลาดแล้วขยัน..เขาบอกว่าให้ไปอยู่แนวหน้า ส่วนพวกฉลาดแล้วขี้เกียจ..ให้วางแผนอยู่แนวหลัง พวกโง่แล้วขี้เกียจ..ให้ส่งไปอยู่กับพวกฉลาดแล้วขยัน จะลากถูลู่ถูกังกันไปได้ ส่วนพวกโง่แล้วขยัน..เขาบอกว่า..ยิงทิ้งให้หมด..! มีแต่สร้างความเสียหายให้กับหน่วยงาน บางอย่างเราก็ไม่คิดว่าคนจะโง่ได้ขนาดนั้น รุ่นของอาตมภาพทั้ง ๆ ที่เรียนนักเรียนนายสิบ เขาถือว่าแต่ละคนมีการศึกษามาพอตัว เพราะอย่างน้อยต่ำสุดก็ต้องจบชั้น ม. ๓ ขึ้นไปเขาถึงจะรับ ตอนนั้นเป็นวิชาสงครามทุ่นระเบิด ด้วยความที่ฝึกกันในป่าก็มีของสูญหายบ้าง ก็ "โดนซ่อม..!" คำว่า "ซ่อม" ก็คือ "ทำให้ดีขึ้น" แต่จริง ๆ ก็คือโดนลงโทษ อย่างเช่นว่า "นั่งกระโดด" บางคนใช้คำว่า "ลุกนั่ง" โดนไป ๑๕๐ ยก..! อื้อหือ..แค่ลุก ๆ นั่ง ๆ ร้อยครั้งก็แย่แล้ว..ใช่ไหม ? แต่นี่หนึ่งยกคือ ๔ ครั้ง ๑-๒-๓-หนึ่ง, ๑-๒-๓-สอง, ไล่ไป ๑๕๐ ยกก็ ๖๐๐ ครั้ง..! ส่วนใหญ่ทำครบแล้วก็กองกับพื้นหมด ถ้าเป็นสมัยนี้เขาบอกว่ากล้ามเนื้อสลายตัว..ใช่ไหม ? มีสิทธิ์ไตวายได้..! แสดงว่าทหารรุ่นอาตมภาพนี่อึดกว่าควายอีก ไม่เห็นเป็นอะไรสักคน ๑ - ๒ วันก็หายดีแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:47 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
![]()
ปรากฏว่าวันนั้นฝึกวิชาขว้างระเบิด ทหารขว้างระเบิดนี่เขาไม่ใช่เงื้อมือแล้วขว้างนะ เขาให้ทอยขึ้น ก็คือแกว่งแขนจากข้างล่างขึ้นบน ถามว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ? เพราะว่าถ้าเงื้อมือแล้วขว้างพลาด ระเบิดจะตกอยู่ใกล้ ๆ แต่ถ้าทอยขึ้น อย่างไรก็ไปได้ไกล คนแรงดี ๆ บางทีไปได้ถึง ๓๐ - ๔๐ เมตร..!
วันนั้นครูฝึกชักสลักปุ๊บ ยัดใส่มือเพื่อน อย่ารู้เลยว่าชื่ออะไร ครูฝึกบอกว่า "ขว้างให้สุดแรงเลยนะมึง..!" เพื่อนก็ "ครับ" หันขวับมาขว้างตูมใส่กลางกลุ่มของอาตมา..! ไอ้พวกเราร้อง "เฮ้ยยย..!" ต่างคนต่างพุ่งหลาวไปคนละทิศละทาง..! อาตมภาพกับเพื่อนคนที่ปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นน้องเขยหลวงพ่อเจ้าคุณปัญญา (พระเทพปริยัติโสภณ, ดร.) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี พันเอกประสิทธิ์ พุฒตาล พุ่งหมวกเหล็กชนกันเสียงดัง "ป๊งงง..!" ดาวขึ้นว่อนทั้งคู่ ต่างคนต่างพุ่งออก เขาพุ่งมาทางนี้ เราพุ่งไปทางนั้น..! ขวิดกันพอดีเลย เฮ้อ..ลุกขึ้นได้ก็กระชากคอเสื้อเพื่อนที่ขว้างระเบิด ตอนนั้นอาตมาแรงดี มือเดียวยกคนได้ทั้งคน ถามว่า "มึงทำเหี้..อะไรแบบนี้วะ ? จะตายห่ากันหมดทั้งกองร้อย !" เพื่อนบอกว่า "กูกลัวว่าถ้าขว้างเข้าป่าแล้วจะหาย เดี๋ยวพวกมึงจะโดนซ่อมอีก" ได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล" "มึงห่วงพวกกูมากเลยว่าจะโดนซ่อม แต่มึงไม่ห่วงเลยว่าพวกกูจะตายห่..!" รู้หรือยังว่าพวกประเภทโง่แล้วขยันมีจริง ? เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า เพื่อนคนนี้ปัจจุบันเกษียณแล้วเป็นแค่จ่าแก่ ๆ ในขณะที่คนอื่น ๆ เป็นผู้กองผู้การกันหมดทั้งรุ่น..! ไม่ได้ซ้ำเติมหรอกนะ ชอบใจความซื่อของเขา แต่ตอนนั้นบอกตรง ๆ ว่าถ้าเหตุผลไม่พอนี่อาตมาต่อยคว่ำตรงนั้นเลยนะ..! เขากลัวลูกระเบิดหายก็เลยโยนเข้าไปในกลุ่มเพื่อน อย่างไรก็ต้องมีเพื่อนสักคนเห็น..! อะไรประมาณนั้น ??? โชคดีที่ว่าเมื่อสลักระเบิดดีดขึ้น จะมีเวลา ๔ วินาที เวลาคนหนีตาย ๔ วินาทีนี่ไปได้ไกลมาก ก็คือถ้าออกพ้นระยะ ๑๐ เมตร แล้วหมอบลง มักจะไม่เป็นอะไร เนื่องเพราะว่าระเบิดจะระเบิดขึ้นในลักษณะเป็นกรวยบานขึ้นข้างบน จะมีช่องว่างอยู่ประมาณ ๓๐ - ๓๕ องศาจากพื้น ที่จะไม่มีสะเก็ตระเบิดมาโดน ดังนั้น..ถ้าหากว่าพ้นระยะ ๑๐ เมตรแล้วหมอบลงทัน จะไม่เป็นไร ยกเว้นระเบิดรุ่นใหม่ที่คิดออกมา ที่เขาเรียกว่า "ระเบิดขนาน" ระเบิดแล้วออกข้างเลียดพื้นไป คนเราที่คิดในเรื่องฆ่ากันนี่คิดได้ชั่วมากเลยนะ..! ตรงไหนมีจุดอ่อนก็แก้ไขไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 14:30 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
![]()
ปัจจุบันนี้ที่เขาห้ามพกโน่นพกนี่ขึ้นไปบนเครื่องบินก็เพราะอย่างนี้ เอาแค่ว่าด่างทับทิมธรรมดา ๆ กับกลีเซอรีนที่พวกเราก็เห็นว่าเป็นน้ำยาหล่อลื่นบ้าง เป็นโลชั่นทาผิวบ้าง สองอย่างนี้ผสมกันเมื่อไรระเบิดเมื่อนั้น ต่อให้ไม่ระเบิดก็ลุกเป็นไฟ นั่นเป็นของพื้น ๆ เลย และถ้าหากว่าใส่น้ำตาลทรายเพิ่มเข้าไป หรือถ้าหากว่ามีปุ๋ยยูเรียใส่เพิ่มเข้าไป โอ้โห..คราวนี้บรรลัย ตึกทั้งหลังก็ไม่เหลือ..! เขาถึงได้ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องพวกนี้ ด้วยการไม่ให้เอาของเหลวเกิน ๑๐๐ มิลลิลิตรขึ้นเครื่องบิน
ระเบิดรุ่นหลัง ๆ ตั้งแต่ตอนที่อาตมภาพเป็นทหารคือซีโฟร์ (C4) เป็นแท่งระเบิดลักษณะเหมือนอย่างกับแป้งอัดเป็นก้อน ขว้างกบาลกันเล่นก็ได้ไม่เป็นไร..ไม่ระเบิดหรอก..! แต่ถ้าหากว่ามีเชื้อปะทุที่เป็นตัวจุดระเบิดยัดเข้าไป แล้วก็กดปุ่ม รับประกัน..ตึกทั้งหลังก็ไม่เหลือ..! แต่แรงอัดต้องได้ระดับถึงจะระเบิด อาตมาเคยทดลองครั้งแรกใช้ครึ่งปอนด์ เป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประมาณเกือบหนึ่งคืบ พร้อมกับเชื้อปะทุหนึ่งดอก ยัดเข้าไปเสร็จ ก็เอาไปซุกโคนต้นไม้โตเป็นโอบเลย หลังจากนั้นก็ลากสายออกมา ๒๐ เมตร แล้วก็จุดชนวน ต่างคนต่างหลบกันเอง ทหารเขาจะมีรหัสตะโกนบอกเพื่อน "จุดระเบิด..เข้าที่กำบัง" พอบึ้มขึ้นมา..ต้นไม้ทั้งต้นกลายเป็นเสา..กิ่งก้านไม่มีเหลือเลย โดนระเบิดขาดหมด ใบทั้งต้นกลายเป็นผงสีเขียว ๆ เท่านั้น..! ไม่ได้เป็นใบนะ..เป็นผงเลย..! นั่นแค่ระเบิดครึ่งปอนด์ แล้วลองคิดดูว่าถ้ายัดไป ๒ - ๓ ปอนด์แล้วจะเกิดอะไรขึ้น..!? ระยะหลังเขาสามารถที่จะผลิตให้อยู่ในลักษณะเหมือนกับดินน้ำมัน ปั้นเป็นรูปอะไรก็ได้ ปั้นเป็นเส้นแล้วเอาไปล้อมต้นเสาไว้ พอเชื้อปะทุบึ้ม เสาก็ขาดไปทั้งต้น..! สมัยนี้แม้กระทั่งหมากฝรั่งก็ไม่ให้เอาขึ้นเครื่องบิน เพราะว่าคล้ายกับดินระเบิดรุ่นใหม่ ๆ จริง ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|