กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-07-2025, 20:12
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,083
ได้ให้อนุโมทนา: 225,831
ได้รับอนุโมทนา 808,180 ครั้ง ใน 39,753 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-07-2025, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,800
ได้ให้อนุโมทนา: 158,854
ได้รับอนุโมทนา 4,494,272 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพได้นำคณะกรรมการตรวจรับงานก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน ตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบทุกอย่าง ก่อนที่จะรับการส่งงาน เท่าที่ใช้เวลาไปครึ่งวัน ก็มีส่วนของตัวหนังสือที่ผิดพลาดอยู่บ้าง แล้วก็ในส่วนของเอกสารที่ทางบริษัทจะต้องส่งให้พวกเรา ถ้าตรวจสอบแล้วตรงกันกับทางด้านเจ้าหน้าที่ของเรารับผิดชอบทุกอย่าง ก็ต้องโอนเงินให้เขาไป

การโอนเงินนั้นก็ตัดลงมาเหลือแค่ ๑๗ งวด เพราะว่างวดที่ ๑๘ และ ๑๙ นั้น อยู่ในส่วนการลดลงของงาน แต่กระนั้นก็ตาม ๒ งวด ๑๖ ล้าน แถมยังมีเงินประกันผลงานอีกประมาณ ๖ ล้าน ๘ แสนบาท รวม ๆ แล้วต้องจ่ายประมาณ ๒๒ ล้านบาทเศษ..!

ส่วนนี้ไม่ได้หนักใจ เนื่องเพราะว่าต้องการใช้เงินเมื่อไร เงินก็จะมี แต่ส่วนที่หนักใจเป็นงานที่กระผม/อาตมภาพหนีมาหลายปี ก็คือเรื่องที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสั่งเอาไว้ว่า "ถ้าศาลาหลังนี้เสร็จแล้ว ช่วงไหนที่อยู่วัด ให้ออกรับศรัทธาญาติโยมด้วย..!"

กระผม/อาตมภาพหนียาวมาตั้งแต่ปี ๒๕๕๘ เพราะว่าเรายังมีงานก่อสร้าง มีงานหล่อพระ และท้ายสุดก็งานสร้างพิพิธภัณฑ์อยู่อีก กระผม/อาตมภาพก็ถือว่างานยังไม่เสร็จ เจอไอ้ลูกศิษย์ดื้อเข้า หลวงพ่อท่านก็คงปวดหัวเหมือนกัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2025 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-07-2025, 00:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,800
ได้ให้อนุโมทนา: 158,854
ได้รับอนุโมทนา 4,494,272 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนนี้ไม่ขอกล่าวถึง ส่วนที่จะกล่าวถึงก็คือว่าเรื่องเกี่ยวกับ "สีกากอล์ฟ" ที่ทำให้พระผู้ใหญ่จำนวนมากมีปัญหาต้องอาบัติ ไม่ว่าจะเป็นปาราชิก หรือว่าสังฆาทิเสสก็ตาม แม้จะสึกหาลาเพศไปแล้ว บรรดาคลิปต่าง ๆ ที่ "สีกากอล์ฟ" ได้บันทึกเอาไว้ กลับหลุดสู่โซเชียลจำนวนมาก จนกระทั่งพรรคพวกเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพปรารภกันว่า "น่าจะมีการทำกันเป็นขบวนการ..!"

ประการแรก
ถ้าคิดในแง่ร้ายที่สุดก็คือ มีคนต้องการจะทำลายคณะสงฆ์ ซึ่งก็คือทำลายพระพุทธศาสนา ฉวยโอกาสที่ศรัทธาญาติโยมกำลังระส่ำระสาย ก็ปล่อยคลิปต่าง ๆ ออกมาซ้ำเติม ต้องบอกว่าเป็นการกระทำแบบหวังผลชัดเจน

ประการที่สองก็คือ เกิดจากความโลภของคน เนื่องเพราะว่านักข่าวทุกคนต้องการคลิปไปนำเสนอ คาดว่ากว่าที่จะได้ไปก็คงต้องจ่ายเงินกันจำนวนไม่ใช่น้อย แล้วบุคคลที่ตั้งใจให้คลิปหลุด ไม่ว่าจะหวังเงินทองหรือหวังชื่อเสียงในการที่จะไปแคนดิเดตตำแหน่งสำคัญอะไรก็ตาม ถ้าเป็นไปตามข้อสันนิษฐานก็ถือว่าเลวร้ายสุด ๆ เพราะเท่ากับว่า
เป็นการกระหน่ำซ้ำเติมพระพุทธศาสนา โดยที่ต้องการแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น..!

ประการสุดท้ายก็คือคณะสงฆ์ของเรา ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานวิธีระงับอธิกรณ์ต่าง ๆ ในคณะสงฆ์เอาไว้ถึง ๗ ประการ ก็คือ อธิกรณสมถะ ๗ ทางคณะสงฆ์มีการดำเนินการสอบสวนตามหลักอธิกรณสมถะ ๗ หรือไม่ ? เราจะเห็นว่าไม่มีเลย ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสโซเชียล และเป็นไปตามความละอายชั่วกลัวบาปของแต่ละท่านที่มีมากน้อยต่างกันไป

ตลอดจนกระทั่งได้ยินบางท่านบ่นน้อยใจว่า พระผู้ใหญ่นอกจากไม่สอบสวนแล้ว ยังขอให้สึกหาลาเพศไปเลย เพื่อที่
เรื่องจะได้จบ ๆ ลงไป ถ้าอยู่ในลักษณะนี้ก็ผิดหลักพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2025 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-07-2025, 00:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,800
ได้ให้อนุโมทนา: 158,854
ได้รับอนุโมทนา 4,494,272 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลักอธิกรณสมถะประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

๑) สัมมุขาวินัย ก็คือต้องพร้อมหน้าทั้งโจทก์ ทั้งจำเลย และผู้ตัดสินที่ทรงความรู้ ทรงคุณธรรม ซึ่งกระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด ก็คือสอบสวนกันให้ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินไปตามโทษานุโทษนั้น ๆ แต่ว่าเรื่องพวกนี้กลับลำบาก หลายท่านจะเห็นว่าสมัยที่ท่านอาจารย์พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโตยังเป็นเจ้าอาวาสอยู่ พอมีเรื่องเกี่ยวกับอาบัติของพระภิกษุ กระผม/อาตมภาพจะไล่ญาติโยมออกไปทั้งหมดก่อน แล้วค่อยสอบสวนทวนความหรือตัดสินความกัน

เนื่องเพราะยังมีศีลพระที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดไว้ว่า "ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่นแก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติศีลขาดเหมือนกัน" เพราะว่าเท่ากับไปทำลายศรัทธาของญาติโยม เนื่องเพราะว่า
ผู้กระทำผิดนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ศรัทธานั้นมีต่อส่วนรวม ก็คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นยุคนี้สมัยนี้ บรรดาพระภิกษุสงฆ์ที่มาออกคลิปกันอย่างครื้นเครง แถมยังกระทืบกระหน่ำซ้ำเติมอีก อย่างน้อยก็โดนอาบัติข้อนี้ไปกันทุกรูป..!

๒) สติวินัย ซึ่งใช้สำหรับพระอรหันต์เท่านั้น เป็นการประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า บุคคลผู้นี้บรรลุอรหัตผลแล้ว เพื่อที่ไม่ให้ผู้อื่นติเตียนท่านด้วยอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะว่าท่านเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ อย่างไรก็ไม่ไปละเมิดอาบัติใหญ่อยู่แล้ว

อย่างเช่นว่าพระสารีบุตร ถึงเวลาจริยาไม่เรียบร้อย เจอหลุม เจอร่อง เจอลำธาร ก็กระโดดข้ามไปเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า พระสารีบุตรในอดีตชาติเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกัน ๕๐๐ ชาติ จริตนิสัยบางอย่างจึงติดตัวมา ดังนั้น..ในที่ซึ่งบุคคลทั่ว ๆ ไป สามารถสำรวมกิริยาได้ แต่ว่าท่านกลับกระโดดโลดเต้น แต่ว่าท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จึงประกาศบอกต่อสงฆ์ทั้งหลายให้ยึดหลักสติวินัย ก็คืออย่าไปปรับอาบัติเล็กน้อยกับท่าน เพราะว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว

เพียงแต่ว่าสมัยนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้ว จะให้บุคคลอื่นมาประกาศว่ารูปนั้นคือพระอรหันต์ รูปนี้คือพระอรหันต์ก็ใช่ที่ เนื่องเพราะว่าไม่ได้รู้รอบรู้จริงแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องราวจึงอาจจะผิดได้ พลาดได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2025 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 17-07-2025, 00:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,800
ได้ให้อนุโมทนา: 158,854
ได้รับอนุโมทนา 4,494,272 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๓) อมูฬหวินัย เป็นการที่ให้คณะสงฆ์ประกาศให้รู้ทั่วกันว่า บุคคลซึ่งเป็นบ้า ขาดสติ ทำสิ่งหนึ่งประการใดที่บุคคลทั่วไปกระทำแล้วต้องอาบัติ เมื่อรักษาท่านหายเป็นปกติแล้ว ให้ถือว่าท่านไม่ได้ละเมิดอาบัติข้อนั้น ก็คือเท่ากับว่าไม่ได้ทำผิด เพราะว่าเป็นการกระทำตอนที่ขาดสติ หรือเพ้อคลั่งด้วยพิษไข้

๔) ปฏิญญาตกรณะ เป็นการปรับโทษตามที่ผู้นั้นสารภาพเอง เพราะว่าบุคคลสมัยก่อนเป็นผู้ละอายชั่วกลัวบาป และมีสัจจะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ เธอได้กระทำสิ่งนั้นหรือ ?" ก็มักจะรับว่า "พระพุทธเจ้าข้า"

เราจะเห็นว่าบุคคลที่ดื้อรั้นสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุฉัพพัคคีย์ก็ดี หรือว่าท่านอุปนันทศากยบุตรก็ตาม แต่เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความดีก็คือยอมรับความจริง ถ้าผิดก็รับว่าผิด แต่สมัยนี้ทุกท่านจะเห็นว่า บุคคลประเภทนี้กลายเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ถ้าหากว่าเป็นภาษิตจีนก็ประมาณ "ขนหงส์ เขากิเลน" คือไม่ต้องไปหวังว่าจะปรากฏขึ้นในโลกนี้ง่าย ๆ..!

อาบัติทั้งหลายเราต้องทันทีที่ทำ แต่บุคคลสมัยนี้ คุณปรับอาบัติเขาก็ขออำนาจศาล ศาลชั้นต้นตัดสินว่าผิดก็ร้องศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าผิดก็ร้องศาลฎีกา ต่อให้ศาลฎีกาตัดสินว่าผิด ก็อาจจะไปร้องศาลปกครองต่อไป กลายเป็นว่าบุคคลยุคนี้หาที่ละอายชั่วกลัวบาปได้ยาก ดังนั้น..วิธีตัดสินอธิกรณ์ข้อปฏิญญาตกรณะจึงเป็นเรื่องยากสำหรับยุคนี้

ข้อต่อไปก็ยากเหมือนกันก็คือ ๕) ตัสสปาปิยสิกา จากที่กระผม/อาตมภาพตัดสินความมาก็เจอเยอะมาก ก็คือการตัดสินลงโทษแก่ผู้กระทำผิดที่ไม่ยอมพูดอะไร เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ทราบเหมือนกันว่าไปมีแนวคิดอย่างไร ประมาณว่า "ถ้ากูไม่พูดแปลว่าไม่ผิด" "ถ้ากูไม่รับแปลว่าไม่ผิด" เพราะฉะนั้น..สอบถามอะไรก็หุบปากเงียบ ไม่พูดสักคำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้ตัดสินโทษไปตามที่เขาฟ้องร้อง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2025 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 17-07-2025, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,800
ได้ให้อนุโมทนา: 158,854
ได้รับอนุโมทนา 4,494,272 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

๖) เยภุยยสิกา เอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่กระผม/อาตมภาพไม่นิยม เพราะว่าผู้ทรงธรรมเป็นเสียงข้างมากก็ดีจริง แต่ถ้าไปเจอโจรเป็นเสียงข้างมากขึ้นมา เราอาจจะตัดสินความผิดพลาดได้..!

อย่างที่ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าพระวัดท่าขนุนเกือบครึ่งวัดในสมัยนั้น ฟ้องร้องทิดท่านหนึ่ง เกี่ยวกับการอวดอุตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน กระผม/อาตมภาพยังตัดสินด้วยวิธีสัมมุขาวินัย ค่อย ๆ สอบถาม ค่อย ๆ ไล่เลียง แม้ว่าเขาจะใช้วิธีลื่นเป็นปลาไหล ถามซ้ายตอบขวา ถามไปไหนมาตอบสามวาสองศอก..! ก็ไล่ถามไปเรื่อยจนกระทั่งเขาจนต่อถ้อยคำแล้วยอมรับ ถึงได้ตัดสินความว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกแล้ว..!

เพราะฉะนั้น..ถ้าตัดสินด้วยเสียงข้างมากเป็นประมาณในปัจจุบันนี้อันตรายมาก เพราะถ้าหากว่าคนที่ไม่ชอบขี้หน้ามีมากก็เรียบร้อย คุณจะไปหาความยุติธรรมไม่ได้เลย..!

ข้อสุดท้ายก็คือ ๗) ติณวัตถารกวินัย เป็นการไกล่เกลี่ย ประนีประนอม ซึ่งสมัยนี้นิยมกัน แต่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า การไกล่เกลี่ยแบบนี้ทั้งสองฝ่ายต้องเป็นผู้ทรงธรรม คือไม่ว่าจะฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด เพราะว่าถ้าไม่ใช่ผู้ทรงธรรม ไกล่เกลี่ยกันไปแล้ว ไม่อยากมีเรื่อง รับปากว่าเลิกแล้วต่อกันท่ามกลางสงฆ์ แต่ถึงเวลาไปผูกพยาบาทอาฆาต หาเรื่องเอาคืน การไกล่เกลี่ยนั้นก็จะไม่มีประโยชน์เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2025 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 17-07-2025, 00:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,800
ได้ให้อนุโมทนา: 158,854
ได้รับอนุโมทนา 4,494,272 ครั้ง ใน 36,410 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เท่าที่กล่าวมาวิธีระงับอธิกรณ์ทั้ง ๗ ข้อ ท่านทั้งหลายเห็นว่าคณะสงฆ์เราทำอะไรบ้าง ? เราเป็นพระภิกษุสามเณร สิ่งแรกที่ต้องยึดถือคือพระธรรมวินัย รองลงไปคือกฎหมายบ้านเมือง รองลงไปเป็นจารีตประเพณี ไม่ใช่ถึงเวลาพระธรรมวินัยซึ่งเป็นหลักของพวกเราไม่ได้ใช้งาน แต่ไปปล่อยให้กฎหมายบ้านเมืองจัดการ แบบนี้ก็ไม่น่าจะใช่

ถ้าหากว่าพวกเราจัดการกันเอง ระบุความผิดชัดเจน ลงโทษกันไปเลย จะเป็นอะไรที่งดงามกว่า และทำให้พุทธศาสนิกชนไม่เสื่อมศรัทธา แต่ส่วนใหญ่สมัยนี้มักจะมีการปกป้องกัน เนื่องเพราะว่าผู้ตัดสินไม่ได้ทรงธรรมอย่างแท้จริง ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ต้องประกอบไปด้วยโจทก์ ไปด้วยจำเลย ไปด้วยผู้ตัดสินที่ทรงธรรม

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของคณะสงฆ์เราจึงไม่ใช่เรื่องที่จัดการได้ง่าย ๆ ทุกท่านจะเห็นว่าถ้าคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิจัดการอะไรไม่ไหว จะนิมนต์พระครูวิลาศกาญจนธรรมเข้าไปดำเนินการเสมอ พอเรื่องเรียบร้อยลงเมื่อไร ท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็จะชักแถวเสนอหน้าไปรับความดีความชอบ กระผม/อาตมภาพก็ถอยออกมาเงียบ ๆ
เรามีหน้าที่รักษาพระธรรมวินัยและพระพุทธศาสนา ใครอยากได้หน้าก็ให้เขาไป ทำงานแบบปิดทองหลังพระเป็นดีที่สุด..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2025 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
พิมลธรรม
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว