#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๘
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปร่วมงานประชุมสัมมนาพระวินยาธิการ จังหวัดกาญจนบุรี ตามปีงบประมาณปี ๒๕๖๘ และเป็นผู้บรรยายให้หัวข้อบทบาทของพระวินยาธิการในปัจจุบันนี้ ที่วัดทุ่งลาดหญ้า ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี
โดยวิทยากรท่านแรกก็คือนางพัชรินทร์ พัดทอง ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประกอบกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรี ได้ผู้อำนวยการรายใหม่ ก็คือนายภาณุพงศ์ คงเชื้อจีน มาถึงก็ประเดิมงานใหญ่เลย คำว่าพระวินยาธิการ ก็คือ พระผู้ที่หน้าที่ในการกวดขันพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัย เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และหนักมาก เพราะว่าต้องทำทั้งหน้าที่เจ้าอาวาส หน้าที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์ และหน้าที่เจ้าคณะปกครอง เขาถึงได้ใช้คำว่า อธิการ (อะ-ทิ-กา-ระ) คือการกระทำอันยิ่ง วินยะ (วิ-นะ-ยะ) ก็คือ วินัย ตามภาษาบาลี เมื่อเอามาสนธิกันจึงเป็นพระวินยาธิการ คราวนี้ในเรื่องของการกวดขันพระภิกษุสามเณรให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรมนั้น ต้องบอกว่าระยะนี้ หรือว่ายุคสมัยนี้เป็นอะไรที่ลำบากยากเย็นมาก ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาพระไตรปิฎกมา จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติศีลคือ ปฐมอาบัติปาราชิกขึ้นมา เมื่อพระองค์ท่านได้พรรษา ๒๐ แล้ว..! ก็แปลว่าประกาศพระพุทธศาสนามา ๒๐ ปี ไม่มีความเสียหายอะไรเกิดขึ้น เนื่องเพราะว่าในระยะแรก พระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้ามากมายมหาศาล ทุกท่านรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร ต่อให้ไม่มีศีลพระ ท่านก็ไม่ละเมิดในส่วนที่ทำให้เกิดความเสียหาย พอมาภายหลัง ปุถุชนบวชเข้ามามากเข้า..มากเข้า ก็ไปเริ่มที่พระสุทินนกลันทบุตร ตามเนื้อเรื่องที่พวกท่านสวดไปไม่นาน "ยันเตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ ฯลฯ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ประเทศอินเดียมีธรรมเนียมประหลาดก็คือว่า ถ้าหากว่าบ้านไหนไม่มีหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้ชายคอยดูแลทรัพย์สมบัติ หรือบริหารจัดการให้งอกเงย สมบัติทั้งหมดก็จะโดนยึดเป็นของหลวง ผู้หญิงก็บริหารแทนไม่ได้..!
ในเมื่อพระสุทินนกลันทบุตรเป็นลูกชายคนเดียวแล้วไปบวช เศรษฐีผู้เป็นพ่อก็เครียดแล้ว ตัวเองก็แก่จนมีลูกไม่ไหว จึงไปขอร้องพระสุทินนกลันทบุตรว่า "เจ้าจะบวช พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ว่าช่วยทิ้งเชื้อสายเอาไว้ให้หน่อย ถ้าหากว่าเกิดเป็นลูกชายจะได้มีคนดูแลทรัพย์สมบัติต่อไป" พระสุทินนกลันทบุตรเสียอ้อนวอนไม่ได้ รู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี ก็เลยยอมทำตามจนกระทั่งภรรยาท้องขึ้นมา..! ตนเองก็ลังเลสงสัยว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่น่าจะถูกต้อง จึงคิดมากจนเครียด ผอมดำดูไม่ได้..! พรรคพวกเพื่อนฝูงสอบถามแล้ว ท่านก็เล่าให้ฟังตามความเป็นจริง พระปุถุชนก็อย่างว่า อดปากยื่นปากยาวไม่ได้..! จึงนำไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ท่านสอบถามแล้วว่าเป็นเรื่องจริง ถึงได้บัญญัติห้ามพระภิกษุหรือว่าบรรพชิตเสพเมถุน ก็คือการมีเมีย ตอนนี้กำลังดังมาก รายล่าสุดที่เป็นนักเทศน์ดัง มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย น่าจะถือว่าไม่ใช่เมีย ก็คิดไปได้นะ..! หลังจากนั้น ในเรื่องของอาบัติต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบัญญัติศีลขึ้นมาถึง ๒๒๗ ข้อ แล้วแต่ละข้อบางทีมี "อนุบัญญัติ" ตามมาอีกมากมาย บางข้ออนุบัญญัติเพิ่มมาถึง ๒๐๐ กว่าข้อ..! ไหนยังจะมี "อภิสมาจาร" อีก สรุปง่าย ๆ ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติศีลขึ้นมา เพราะต้องการ "กดข่มผู้เก้อยาก" แปลเป็นภาษาไทยว่า "ไอ้พวกหน้าด้าน" เพื่อความสุขของภิกษุผู้มีศีลอันเป็นที่รัก เพื่อป้องกันอาสวกิเลสอันจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อป้องกันอาสวกิเลสอันจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อความดีความงามในหมู่สงฆ์ ฯลฯ คราวนี้พระองค์ท่านมอบหมายให้พระอุปัชฌาย์เป็นผู้ดูแลพระภิกษุสามเณร แต่พอคณะสงฆ์ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย แล้วปัจจุบันก็ปรับเปลี่ยน มีการปกครองคณะสงฆ์ตามลำดับชั้น การดูแลพระภิกษุสามเณรโดยพระอุปัชฌาย์จึงเปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ใช่พ้นหน้าที่ หน้าที่การดูแลพระภิกษุสามเณรที่สำคัญที่สุด อันดับแรกคือเจ้าอาวาส อันดับที่สองคือพระอุปัชฌาย์ ถ้าท่านสองรายนี้เข้มงวดกวดขัน ปัญหาแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ตัวอย่างก็คือหลวงปู่สาย อคฺควํโส (พระครูสุวรรณเสลาภรณ์) วัดท่าขนุน ลูกศิษย์ทำผิด หนีออกจากวัดไปอยู่ถึงอ่างทอง สมัยนั้นการเดินทางไม่ได้ง่ายเหมือนกับสมัยนี้ ต่อให้เดินทางง่ายเหมือนสมัยนี้ จากทองผาภูมิถึงอ่างทองก็ต้องวิ่งรถกัน ๔ - ๕ ชั่วโมง สมัยนั้นต้องนั่งเรือไปขึ้นวังโพธิ์ นั่งรถไฟต่อเข้ากรุงเทพฯ แล้วค่อยหายานพาหนะไปจังหวัดอ่างทอง หลวงปู่สายตามไปสึกลูกศิษย์ที่นั่น..! ท่านถือว่าท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านต้องรับผิดชอบ
ความเข้มงวดกวดขันก็ดี ศีลพระก็ดี กฎหมายบ้านเมืองก็ตาม มีเอาไว้สำหรับผู้ละอายชั่วกลัวบาปเท่านั้น ประเภท "ทุมมังกุ" ก็คือ "พวกหน้าด้าน" จะศีลกี่ข้อหรือกฎหมายกี่ข้อ ไม่มีความหมายสำหรับคนทั้งหลายเหล่านั้น จึงเป็นอะไรที่น่าสงสารพระวินยาธิการของเรามาก เพราะว่าเป็น "ยักษ์ไม่มีกระบอง"..! ถ้าหากว่าไม่บอก ได้ยินคำว่า "ตำรวจพระ" ทุกคนก็คงคิดว่ามีอำนาจเต็มมือ แต่ความจริงแล้วไม่มีอำนาจอะไรเลย ถึงเวลาจะจัดการเรื่องก็ต้องแจ้งผู้บังคับบัญชา ต้องขอความร่วมมือจากหน่วยราชการ ก็เลยทำให้คนที่รู้ไม่มีใครเกรงใจตำรวจพระ..! กระผม/อาตมภาพจึงอยากให้ตำรวจพระทุกรูป ทำแบบหลวงปู่ชุ้น - พระเดชพระคุณพระธรรมเสนานี (ชุณณห์ กิตฺติวณฺโณ) อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม สมัยที่ท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่หลายสิบปี ไอ้พวกนอกลู่นอกทางไม่มีใครกล้าเข้าจังหวัดนครปฐม..! เพราะว่าท่านจัดการกับพวกนอกลู่นอกทางด้วย ๒ มาตราเท่านั้น ก็คือมาตรา ๕ สูงกับมาตรา ๕ ต่ำ ทันตบเป็นตบ ทันเตะเป็นเตะ..! ท่านตบร่วงคามือไปนับรายไม่ถ้วน จนกระทั่งไม่มีใครกล้าไปทำผิดทำพลาดในจังหวัดนครปฐม คนเขาลือกันว่า "มีเสืออยู่ที่วังตะกู" แต่พวกท่านต้องเข้าใจนะครับว่าหลวงปู่ชุ้นท่านเป็น "ปาปมุต" คณะสงฆ์ยกให้ ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะท่านเคร่งครัดในพระธรรมวินัยจริง ๆ จนอายุ ๗๐ กว่าจะ ๘๐ ปีแล้ว ท่านก็ยังทำเหมือนเดิม กระผม/อาตมภาพต้องไปสะกิดว่า "หลวงเตี่ย..อายุขนาดนี้แล้วยังไปตบมันอีก ถ้ามันสวนเข้าเดี๋ยวจะเดือดร้อนนะครับ..!" ท่านบอกว่า "ไม่มีทาง คนทำชั่วมันรู้ว่าตัวมันผิด มันไม่กล้าตอบโต้หรอก" อันนี้เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง คือต่อให้คนชั่วคนนั้นจะดื้อด้านเถียงกระจายขนาดไหนก็ตาม แต่ก็รู้แต่แรกแล้วว่าตัวเองผิด ถ้าเหตุผลเราดีกว่า เขาก็ต้องยอม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เผือกน้อย : เมื่อวานนี้ เมื่อ 06:31 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
แต่หลวงปู่ท่านขี้เกียจพูดเหตุพูดผลกับพวกนี้ ไปถึงก็ตบเปรี้ยงร่วงไปเลย ไอ้นั่นร่วงไปกองกับพื้นแล้วก็ยัง "โอ๊ย..ทำไมท่านมาตบอาตมา ?" หลวงปู่ท่านก็เลยเตะซ้ำอีกที บอกว่า "คราวหน้ามึงจะปลอมเป็นพระต้องเนียนกว่านี้หน่อยพระเณรเขาพูดผมคุณ ไม่ใช่พูดอาตมา..!" แต่คราวนี้สมัยนี้ถ้าไปทำอย่างนั้น..กล้องมาเป็นร้อย..! มีเหตุมีผลอะไรก็ตาม เขาไม่ฟังทั้งนั้น จึงกลายเป็นอะไรที่น่าหนักใจมาก ๆ
กระผม/อาตมภาพจึงถวายคำแนะนำพระวินยาธิการจังหวัดกาญจนบุรีทั้ง ๒๐๐ กว่ารูปที่เข้าอบรมว่า "ให้ปฏิบัติหน้าที่ในเชิงรุก แสดงตนให้ชัดเจนว่าเป็นตำรวจพระ" ซึ่งคุยกันแล้ว ฝ่ายดูแลท่านจะทำบัตรให้ กระผม/อาตมภาพบอกว่าขอบัตรใหญ่ ๆ เลย แบบข้าราชการสำนักพระราชวัง ติดบัตรทีเกือบเท่ากระดาษเอสี่..! ให้รู้ชัด ๆ ไปเลยว่าเป็นใคร แล้วใช้วิธีตระเวนไป โดยเฉพาะในตลาด ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าพวกนี้จะไปบิณฑบาต แล้วเน้นจะเอาแต่เงิน หรือถ้าได้ข้าวได้ของมาก็เอาไปขายต่อ..! คนจะทำชั่ว ถ้าเห็นตำรวจก็จะไม่ทำ สมัยผู้การแต้ม มือปราบหูดำ (พลตำรวจตรีวิชัย สังข์ประไพ) ท่านดูแลนครบาลอยู่ แทบไม่มีคดีเลย โดยเฉพาะคดีจี้ปล้นบนสะพานลอย เพราะว่าท่านสั่งให้รถตรวจการณ์ ที่เราเรียกกันว่า "ฉลามบก" วิ่งตามถนนหลักทุกสาย "มึงไม่ต้องทำอะไร มึงวิ่งไปสุดถนน ส่วนมึงวิ่งมาสุดถนน สองคันสลับกัน พอสุดทางแล้วก็เปลี่ยนฝั่ง" เท่ากับว่าเห็นรถตำรวจวิ่งอยู่ทั้งวัน คนจึงไม่กล้าทำผิด กลัวว่าถ้าทำตอนนั้น รถตำรวจผ่านมาพอดี จะซวยไม่รู้เรื่อง..! ดังนั้น..ถ้าพระวินยาธิการของเราดำเนินการในเชิงรุก จะป้องปรามบรรดาภิกษุสามเณรนอกคอกได้มากกว่านี้ แต่..แต่ถ้าหากว่าอยู่ทองผาภูมิก็โอเค มาเบิกค่าน้ำมันกับกระผม/อาตมภาพได้ แล้วอำเภออื่นเขาจะไปเอาจากไหน ? ยิ่งเดี๋ยวนี้เขาประชดประชันกันว่า "อย่าทำบุญกับพระ" ทุกอย่างตั้งแง่ว่าพระภิกษุสามเณรต้องดีเลิศประเสริฐศรีหมด แต่กูไม่ทำบุญกับพระ..! สมัยนี้ขาดงบประมาณแล้วคุณจะทำอะไรได้บ้าง ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:15 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
![]()
ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จึงต้องฝากเป็นการบ้านว่า อันดับแรกเจ้าอาวาส อันดับสองพระอุปัชฌาย์ อันดับที่สามเจ้าคณะปกครอง และอันดับสุดท้าย พระวินยาธิการ ถ้าประชุมสัมมนาแบบวันนี้ต้องประชุมทุกฝ่าย ไม่ใช่ประชุมเฉพาะพระวินยาธิการที่เป็น "ยักษ์ไม่มีกระบอง" ไม่มีกระบองยังไม่พอ "ไม่มีเสบียง" อีกต่างหาก ถวายคำแนะนำไปเท่าไรก็ไม่น่าจะทำได้ เพราะว่าถ้าเจ้าอาวาส พระอุปัชฌาย์ หรือเจ้าคณะปกครองไม่สนับสนุน ก็ได้แค่ตั้งไปโก้ ๆ เท่านั้นเอง..!
เรื่องพวกนี้ท่านจะเห็นว่างานหลายอย่าง ทางคณะสงฆ์พยายามทำ แต่ว่าช่องว่างรอยโหว่มีเยอะมาก แม้กระทั่งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องพระพุทธศาสนาเพิ่งจะออกมาพูดว่า "จะต้องมีการตั้งธนาคารพุทธ จะต้องมีการแยกเงินวัด แยกเงินส่วนตัว" ไอ้พวกหลับหูหลับตาพูด..! เพราะปัจจุบันนี้เขาก็แยกเงินวัด แยกเงินส่วนตัวอยู่แล้ว ส่วนธนาคารพุทธร้องเรียกให้ตั้งมาเป็นสิบ ๆ ปีจนเขาเลิกร้องไปแล้ว คุณค่อยมาพูดถึง..! จึงเป็นเรื่องที่เราทำงานอยู่ในลักษณะ "ตั้งรับ..รอเวลาพัง..!" ไม่สามารถที่จะรุกได้ เพราะไม่ได้รับการสนับสนุน จึงเหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ใครมีหน้าที่ในจุดไหน รับผิดชอบหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด อย่างที่กระผม/อาตมภาพไม่ได้ตั้งเป้าอะไรกับพวกท่านมากมายหรอก ตั้งไว้แค่ว่า "บวชมาแล้ว ให้ชาวบ้านไหว้ได้เต็มมือก็พอ" พูดง่าย ๆ ว่ารอเวลาแตกดับกันไปเอง เพราะว่าการแก้ปัญหาไม่ได้แก้แบบบูรณาการ คือทุกส่วนร่วมมือกัน เป็นการแก้ปัญหาในลักษณะปัดสวะบ้าง เก็บขยะเฉพาะหน้าบ้านตัวเองบ้าง พูดไปก็เครียด..! สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : เมื่อวานนี้ เมื่อ 03:18 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|