#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : เมื่อวานนี้ เมื่อ 18:39 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ความจริงกระผม/อาตมภาพน่าจะนอนสลบไสลไป จนกว่าจะได้ยินเสียงระฆังทำวัตรเช้าเลย..! แต่พอดีว่าประมาณ ๐๓.๑๕ น. ฝนก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก จึงได้ตื่นเพราะเสียงฝน แล้วเดินจากที่พักไปยังสำนักงานเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ล้างหน้าล้างตา แต่งองค์ทรงเครื่อง แล้วออกไปเจริญพระกรรมฐานและทำวัตรเช้า ร่วมกับพระภิกษุสามเณรทุกรูป
เพียงแต่ว่าฝนที่ตกอยู่ทำให้ไม่ได้ยินเสียงระฆังเรียกบิณฑบาต จึงออกไปช้ากว่าพระภิกษุสามเณรถึง ๑๓ นาทีด้วยกัน แต่ด้วยความที่เป็นคนเดินเร็วมาก โดยปกติบุคคลทั่วไปจะใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงละ ๔ กิโลเมตร นี่หมายถึงคนที่เดินเก่งเป็นมาตรฐาน แต่กระผม/อาตมภาพนั้นเคยเดินป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ๙๓ กิโลเมตร ๑๒ ชั่วโมงก็ทะลุแล้ว เฉลี่ยได้ประมาณ ๘ กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นเป็นภูมิประเทศขึ้นเขาลงห้วยอีกด้วย..! ส่วนในทางราบนั้น ไม่ทราบว่าถ้าตนเองเร่งฝีเท้าแล้วจะได้กี่กิโลเมตร/ชั่วโมง ? แต่ว่าเดินไปทันพระภิกษุสามเณรที่หัวสะพานคอนกรีตทางฝั่งตลาด แล้วก็เลยนำทุกท่านออกบิณฑบาต โดยที่รอดจากฝนมาได้อย่างหวุดหวิด..! เมื่อกลับมาฉันเช้าแล้ว ค่อยหอบเอาสัญญาบัตรพัดยศขึ้นรถ ตรงไปยังวัดเขื่อนวชิราลงกรณ โดยปกติแล้วถ้ามีการรับพระราชทานเลื่อน หรือพระราชทานตั้งพระครูสัญญาบัตรของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็จะมีการจัดงานฉลองให้ที่วัดปรังกาสี ของหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ แต่ด้วยเหตุที่ว่าระยะนี้ยังอยู่ในระหว่างจัดงานสวดพระอภิธรรม ถวายพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ (พูลศักดิ์ ปญฺญาวุโธ) อดีตรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ อยู่ที่วัดเขื่อนวชิราลงกรณทุกคืน สถานที่ทุกอย่างก็จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว จึงได้ย้ายการฉลองจากวัดปรังกาสี ไปที่วัดเขื่อนวชิราลงกรณแทน เมื่อพวกเราพร้อมแล้ว กระผม/อาตมภาพก็จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย นำพระครูสัญญาบัตรทั้งเก่าและใหม่ ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรและญาติโยมที่มาร่วมงาน ทำการเจริญพระพุทธมนต์ หลังจากที่กราบพระแล้ว ถึงได้ตั้งขบวนแห่รอบอุโบสถวัดเขื่อนวชิราลงกรณ โดยมีน้อง ๆ จากวงโยธวาทิต โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา เดินตามขบวน บรรเลงเพลงให้อย่างสนุกสนาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:53 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นครบ ๓ รอบแล้ว ค่อยตรงไปยังศาลาการเปรียญวัดเขื่อนวชิราลงกรณ โดยมีนายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ มาเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ครั้นได้เวลาแล้ว ท่านชาคริตก็อ่านตราตั้ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าสัญญาบัตรของกระผม/อาตมภาพ (ทจอ.ชพ.วิ.) ของหลวงพ่อสังวรณ์ (พระครูปิยสีลสังวรการ) จต.ชท. เจ้าคณะตำบลลิ่นถิ่นเขต ๒ เจ้าอาวาสวัดวังหิน พระครูประภัสสรกาญจนคุณ จร.ชท. เจ้าอาวาสวัดสะพานลาวประชาสรรค์ และพระครูวิสุทธิ์กาญจนธรรม จร.ชท. เจ้าอาวาสวัดปากลำปิล็อก คณะสงฆ์นำโดยพระครูน้อย (พระครูกิตติชัยกาญจน์) เจริญชัยมงคลคาถา
เมื่อเสร็จการเจริญชัยมงคลคาถาแล้ว ก็เป็นการถวายปัจจัยไทยธรรม และกรวดน้ำรับพร หลังจากนั้นทั้งทางคณะสงฆ์และฆราวาส ก็มาถวายมุทิตาสักการะ ทั้งหลวงพ่อพระครูวรกาญจนโชติ เจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ และหลวงพ่อพระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์ รองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิที่เหลืออยู่เพียงรูปเดียว เข้ามาถวายมุทิตาสักการะด้วยกระเช้าใบใหญ่และซองปัจจัย ต่อด้วยท่านชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ ถวายทุเรียนลอยน้ำทองผาภูมิ ซึ่งท่านประมูลมาจากงานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิ และสืบสานงานลานบ้านลานวัฒนธรรม โดยที่ทุเรียนลูกนี้ราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท..! เป็นที่น่าเสียดายว่า กระผม/อาตมภาพนั้นไม่สามารถจะฉันทุเรียนได้อีกแล้ว เนื่องเพราะว่ามีโควต้าปีละ ๑ เม็ดเท่านั้น ซึ่งฉันเข้าไปแล้ว ก็ต้องยอมความดันขึ้นไป ๒ วัน ๓ วัน จึงถวายให้กับทางคณะสงฆ์นำไปฉีกแบ่งกัน ในงานถวายภัตตาหารเพลวันนี้เลย..! เมื่อถ่ายรูปร่วมกันเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัววิ่งลงมายังกาญจนบุรี ตอนแรกคิดว่าน่าจะทันขึ้นทางด่วนพิเศษสาย M ๘๑ แต่ปรากฏว่าไม่ทัน เนื่องเพราะว่าวันนี้เป็นวันอังคาร ซึ่งเขาไม่เปิด ทางด่วนสายนี้จะเปิดบ่าย ๓ โมงวันศุกร์ จนถึง ๙ โมงเช้าของวันจันทร์ทุกอาทิตย์ ระยะนี้ให้วิ่งฟรีไปก่อน จนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์แล้วถึงจะเก็บค่าผ่านทาง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
กระผม/อาตมภาพจึงมาแวะฉันเพลด้วยข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อ ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท.ไทรโยค พร้อมกับโทรแจ้งเจ๊เรณู เจ้าของร้านอาหารไอซ์ ซึ่งเป็นขาประจำของวัดท่าขนุน ว่าให้เตรียมเมนูสำหรับงานฉลองสัญญาบัตรพัดยศของพระครูวิลาศกาญจนธรรมด้วย
หลังจากนั้นก็ได้เดินทางฝ่ารถติดเข้ามายังวัดอุทยาน ซึ่งจะเป็นที่พักของคืนนี้ แล้วก็ต้องไปประจำการที่พุทธมณฑลในโครงการ "สืบสานงานพ่อ ต่อยอดทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย" ซึ่งมีการจัดกิจกรรมอยู่ถึง ๓ วันต่อเนื่องกัน โดยที่กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นทั้งคณะกรรมการหลัก เป็นทั้งคณะอนุกรรมการ และเป็นทั้งอนุกรรมการปฏิบัติงานเฉพาะของโครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ พูดง่าย ๆ ว่าจะในฐานะตำแหน่งใหญ่ ตำแหน่งเล็ก ก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ในระหว่างที่กำลังทำงานรออยู่ ปรากฏว่าคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานกรรมการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ตลอดจนกระทั่งคุณหนึ่ง (นางสาวณิชชารีย์ จั่นแก้ว) และน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์ ) ได้นำเอาผ้าไตรไทยธรรม ตลอดจนกระทั่งแจกันดอกไม้ มาถวาย เป็นการมุทิตาสักการะวันเกิดย้อนหลัง และมุทิตาในการเลื่อนสมณศักดิ์ของกระผม/อาตมภาพด้วย พร้อมกับมาแจ้งกำหนดการที่ได้นิมนต์กระผม/อาตมภาพไปยังประเทศภูฏาน ซึ่งทางเอ็นซีทัวร์จัดภายในปลายปีนี้ หลังออกพรรษาแล้ว ในเรื่องของการจัดทัวร์หรือว่าเดินทางท่องเที่ยวนั้น กระผม/อาตมภาพถือสาหนักหนาว่า ไม่ว่าจะเงินสงฆ์หรือว่าเงินส่วนตัวจะไม่ใช้ไปในเรื่องนี้เป็นอันขาด จะไปก็ต่อเมื่อมีผู้ที่จ่ายค่าท่องเที่ยวให้เท่านั้น ซึ่งโดยมากผู้ที่นิมนต์ก็จะเป็นผู้จ่าย แต่ด้วยความที่ว่างานนี้ ทั้งมาดามเฮง (คุณสมหวัง งามพฤกษ์วานิชย์) หมอมุก (นางสาวรุจิรา งามพฤกษ์วานิชย์) และคุณจีน่า(นางสาวพลอยจุฑา งามพฤกษ์วานิชย์) ลูกสาว ร่วมกันจ่ายค่าเดินทางให้กระผม/อาตมภาพและน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) รวม ๒ ที่นั่ง โดยมีทิดแจ๊ค (นายกรชัย บันดาลศิริกุล) และน้องโอ (ปาริฉัตร อายุวัฒนะ) ปวารณาถวายมาด้วย แต่กระผม/อาตมภาพปฏิเสธไป เพราะว่าเจ้าภาพโอนเงินมาแล้ว ไม่เช่นนั้นผู้ที่รับภาระค่าใช้จ่ายตรงนี้จะต้องเป็นคุณนวลจันทร์ เพียรธรรมจากเอ็นซีทัวร์นั่นเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:06 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
เรื่องของการไปต่างประเทศนั้น มีบุคคลบางประเภทที่ไอคิวเตี้ยไอเดียต่ำ ปัญญานิ่ม เห็นแก่ตัวสุด ๆ มีการตำหนิว่าทำไมกระผม/อาตมภาพจึงไปโดยที่มีน้องเล็กติดตามแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ได้พิจารณาว่างานที่ผ่านมานั้น กระผม/อาตมภาพให้โควต้าพี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) พี่สาวของตนเองไปแทน ส่วนน้องเล็กนั้นต้องควักกระเป๋าเองหลายหมื่นบาทเพื่อที่จะเดินทางไปด้วย..!
การที่เราเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง นอกจากไม่รู้จักมุทิตายินดีในความดีของผู้อื่นแล้ว ยังออกแนวอิจฉาริษยาเข้าไปต่อว่าในโซเชียลต่าง ๆ อยู่ในลักษณะแสดงออกถึงกำลังใจที่ต่ำมากของตนเอง เนื่องเพราะว่าลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) ประกาศทริปไปซินเจียงเป็นเวลาหลายเดือน แต่ตนเองไม่สนใจที่จะจอง พอคนอื่นเดินทางไปแล้ว กระผม/อาตมภาพนำมาเล่าเรื่อง ก็เกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมา อยู่ในลักษณะที่ว่า "สวรรค์มีทางไม่รู้จักไป นรกไร้ประตูกลับตะกายมาเอง" เนื่องเพราะว่าในตอนที่กำลังเกิดโทสะ ตำหนิด่าว่าคนอื่นจากมุมมองแคบ ๆ ของตนเองนั้น ถ้าตายลงไปช่วงนั้น ก็จะมีทุคติเป็นที่ไปอย่างแน่นอน..! บุคคลทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก ตอนเขาประกาศทริปไม่คิดที่จะไป แต่พอเห็นคนอื่นไปแล้ว กลับมาร่ำร้องอยากจะไปและต่อว่า ทำไมตนเองถึงไม่ได้ไปด้วย ? ในส่วนของการไปประเทศภูฏานนี้ก็เช่นกัน คุณนวลจันทร์ประกาศทริปไว้นานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจ ตอนนี้เต็มแล้ว ถ้าจะโวยวายเพื่อขอไปด้วยก็ไม่น่าสำเร็จอีกเช่นเคย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็ต้องเอาไฟนรกเผาใจตนเองไปอีกนาน..! กระผม/อาตมภาพก่อนหน้านี้เดินทางน้อยมาก เพราะว่าคนไม่ทราบกติกาว่า กระผม/อาตมภาพจะไม่จ่ายเงินสงฆ์หรือเงินส่วนตัวเพื่อการท่องเที่ยว ในเมื่อมีคนรู้มากเข้า และแย่งกันจ่ายให้ ระยะหลังจึงเดินทางมากขึ้น แล้วตอนนี้ตำแหน่งพระสังฆาธิการก็หมดสิ้นไป เหลือเพียงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็น "ตำแหน่งตกงาน" ในสายตาคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นงานประชุม งานคณะสงฆ์ต่าง ๆ ถ้าไม่ได้เกี่ยวเนื่องถึงก็ไม่ต้องไปยุ่งด้วย จึงทำให้มีเวลาเดินทางมากขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:08 |
#6
|
||||
|
||||
![]()
การเดินทางนั้นก็ไม่ได้เดินทางไปรื่นเริงบันเทิงใจเหมือนกับคนอื่น ๆ เนื่องเพราะว่าต้องภาวนาเพื่อที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับท่านทั้งหลายที่ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ ต้องทรงกำลังใจ ติดต่อกับบรรดาท่านที่เราไม่เห็นตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็คือการซักซ้อมกรรมฐานไปด้วยนั่นเอง เป็นที่น่าเสียดายว่า ในทริป "จันทราประดับผืนทราย" นั้น ทางเจ้าที่ซึ่งรักษาบริเวณทะเลสาบจันทร์เสี้ยว กลางทะเลทรายหมิงซาซาน ไม่อนุญาตให้เล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านให้ทุกคนฟัง จึงกลายเป็นเรื่องที่เหมือนกับขาดด้วนไปเฉย ๆ..!
ส่วน "ท่านอูฐ" หรือว่า "ท่านซาอุด" ลูกชายของ "ท่านมูฮัมหมัด หัวหน้าเผ่าทรายทอง" นั้น ในอดีตชาตินับพันปีแล้วเป็นเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพเอง ท่านเล่าว่าสมัยนั้นกระผม/อาตมภาพเป็น "หัวหน้าเผ่าอูฐขาว" ด้วยความที่ว่าหัวหน้าเผ่าคนเดิมตายในการรบ ตนเองที่เป็นลูกชายจึงต้องรับภาระขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนทางเผ่าทรายทองนั้น "ท่านหัวหน้ามูฮัมหมัด" ยังอยู่ แต่ด้วยความที่ว่าอายุไล่เลี่ยกัน จึงคบหากับ "ท่านซาอุด" มากกว่า แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเล่าได้ชัดเจนทั้งหมด แต่ว่าในส่วนที่แปลกก็คือว่า เมื่อขี่อูฐเดินในทะเลทรายหมิงซาซานนั้น เป็นตายเจ้าของอูฐก็ไม่ยอมมอบอูฐขาวตัวเดียวที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น อย่างไรเสียก็ต้องให้กระผม/อาตมภาพขึ้นไปนั่งอูฐตัวนั้น จะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้ว่าในโลกนี้มีอูฐสีขาว เพราะว่าเห็นแต่สีน้ำตาลหรือว่าน้ำตาลปนดำเท่านั้น เมื่อได้ยิน "ท่านซาอุด" พูดถึงในเรื่องของ "เผ่าอูฐขาว" ก็ยังงง ๆ อยู่ คิดว่าเผ่านี้มีอูฐมาก แล้วคนแต่งตัวสีขาว เพื่อป้องกันอากาศร้อนหรืออย่างไร ? พอมาเจออูฐสีขาวเข้าจริง ๆ ก็ได้แต่นั่งงง แต่ว่าเมื่อขึ้นหลังไปแล้ว กลับเกิดความคุ้นเคยมาก สามารถที่จะปล่อยมือเพื่อถ่ายรูปได้ โดยไม่ต้องเกาะกันชนิดแขนแทบเป็นตะคริวแบบคนอื่น..! มิหนำซ้ำเมื่ออูฐยังไม่ทันจะนั่ง ยังสามารถที่จะทิ้งตัวลงมาได้ ไม่เหมือนคนอื่นเขา ก็แปลว่าความคุ้นเคยในอดีตนั้นส่งผลมาถึงในปัจจุบันด้วย..! แต่เรื่องพวกนี้ในเมื่อ "เล่าได้แค่ที่เล่า" ก็คือ "เขาอนุญาตเท่าไรก็บอกได้เท่านั้น" ก็เลยทำให้บางเรื่องเหมือนกับขาดหายไป หรือว่าเจตนาปกปิด แต่ไม่ใช่ เพราะว่าท่านทั้งหลายที่ฝึกทิพจักขุญาณได้อย่างแท้จริงนั้น จะประสบกับปัญหาใหญ่ที่ว่าบางเรื่องเรารู้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่เขาให้บอกแค่ ๑ แค่ ๒ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เก็บเรื่องเอาไว้ บางทีก็อกจะแตกตายเหมือนกัน..! แต่ว่าเรื่องพวกนี้เขาบอกอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้นเท่านั้น ไม่เช่นนั้นถ้าใครไปฝ่าฝืนแล้วโดนลงโทษ ท่านทั้งหลายก็จะซาบซึ้งเองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง ? จึงต้องขออภัยในบางเรื่องที่พูดให้ชัดเจนไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องภาวะศึก ภาวะสงคราม ซึ่งพูดได้แค่ที่เคยบอกไปเท่านั้น สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 02:13 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 21 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 18 คน ) | |
ชุณหพงศ์, เผือกน้อย, รับโชค |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|