กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 17:57
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 11,024
ได้ให้อนุโมทนา: 225,550
ได้รับอนุโมทนา 804,432 ครั้ง ใน 39,572 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า วันนี้, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,629
ได้ให้อนุโมทนา: 158,513
ได้รับอนุโมทนา 4,488,285 ครั้ง ใน 36,238 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ฝนกระหน่ำเป็นฟ้ารั่วทั้งคืน สร้างความลำบากให้กับพระภิกษุสามเณรที่ออกบิณฑบาตเป็นอย่างมาก

กระผม/อาตมภาพพาพระฝ่าฝนออกบิณฑบาตตามปกติ เพียงแต่ว่าตอนที่เดินข้ามลำรางสาธารณะทางด้านทิศใต้ของวัด เพื่อออกไปสู่ถนนใหญ่ ก่อนที่จะเดินเข้าเขตเทศบาลทองผาภูมิ บริเวณนั้นมีลักษณะเป็นป่าธรรมชาติ ถ้าไม่ได้กวาดสัก ๔ - ๕ วัน ก็จะมีหนามหล่นอยู่จำนวนไม่น้อย กระผม/อาตมภาพรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า พระทางด้านหลังออกอาการ "แหยง" ในการก้าวลงไปแต่ละก้าว จึงได้บอกกับท่านว่า "มีคาถาอะไรที่ช่วยให้อยู่ยงคงกระพันได้ ก็ภาวนาเอาไว้บ้างสิวะ..!" บางท่านก็เลยหัวเราะ..แหะ..แหะ..!

กระผม/อาตมภาพบอกว่า "การภาวนานั้น ไม่ว่าคุณจะใช้คำภาวนาว่าอะไรก็ตาม ถ้าจิตใจมุ่งมั่นไปในเรื่องใด ผลที่เกิดก็จะเป็นไปตามความมุ่งมั่นของจิต ตามพระบาลีที่ว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฐา มีใจประเสริฐสุด มโนมยา สำเร็จได้ก็ด้วยใจ เพียงแต่ว่าให้ "หน่วงจิต" คิดว่าสิ่งนั้นไม่ใช่หนาม แต่เป็นวัตถุอย่างประเภทหญ้าญี่ปุ่น ที่ได้รับการดูแลอย่างดี เดินแล้วนุ่มเท้าเป็นอย่างมาก หรือจะนึกว่าเป็นพรมปูพื้น หนา ๆ นุ่ม ๆ ไปด้วยก็ได้"

ถ้าเราทำในลักษณะนั้นก็จะเท่ากับเป็นการสะกดจิตตนเองส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นภัย และช่วยให้จิตมีกำลังคุ้มครองร่างกายได้ แต่ว่าการทำในลักษณะอย่างนี้ เรียกกันง่าย ๆ ว่า "ไสยศาสตร์" นั้น ถ้าหากว่าเลี้ยวกลับมาหา "พุทธศาสตร์" แล้วปล่อยวางไม่เป็น ก็จะลำบากมาก..!

เนื่องเพราะว่าไสยศาสตร์นั้นส่วนใหญ่แล้วต้อง "หน่วงจิต" ยึดเอารูปประเภทใดประเภทหนึ่งขึ้นมา นึกว่าเป็นอย่างนั้น พร้อมกับการภาวนาประกอบไปด้วย ในเมื่อยึดเสียจนชินแล้ว ถึงเวลาถ้าปล่อยวางไม่เป็น การจะเข้าถึงมรรคถึงผลก็จะลำบากมาก แต่ถ้าหากว่าก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปแล้ว เราก็สามารถที่จะปรับไสยศาสตร์กลับมาเป็นพุทธศาสตร์ได้

โบราณาจารย์ของเราส่วนใหญ่ที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณนั้น ส่วนใหญ่ก็เริ่มมากจากไสยศาสตร์ หลังจากนั้นครูบาอาจารย์ของท่านที่มีความฉลาด ก็ปรับเข้ามาหาพุทธศาสตร์ จนกระทั่งได้มรรคได้ผลไปตาม ๆ กัน

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า วันนี้, 01:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,629
ได้ให้อนุโมทนา: 158,513
ได้รับอนุโมทนา 4,488,285 ครั้ง ใน 36,238 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้แต่กระผม/อาตมภาพเอง สมัยที่ไปกราบหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงใหม่ ๆ ท่านก็บอกให้ภาวนาคาถาบทนั้นบทนี้ โดยมีกติกากำกับว่า "อย่างน้อยต้องภาวนาทรงอารมณ์ให้ได้ครั้งละ ๓๐ นาที ถ้ารักษาศีล ๕ ได้บริสุทธิ์ก็ยิ่งเกิดผลมาก ให้เวลา ๓ เดือน ไปทำให้สำเร็จ"

เมื่อกระผม/อาตมภาพทำสำเร็จ ไปกราบเรียนถวายรายงานว่า "ทำได้อย่างที่หลวงพ่อบอกแล้วครับ" ท่านก็จะชมว่า "เออ..ดี..ดี..ดี..ลูก ถ้าอย่างนั้นเอาคาถาบทนี้ไป บทนี้มีอานุภาพแบบนี้ ๆ ไปทำเหมือนเดิมนะ ภาวนาครั้งละไม่ต่ำกว่า ๓๐ นาที แล้วพยายามรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ให้เวลาแก ๓ เดือน"

กระผม/อาตมภาพเองส่วนใหญ่ทำไม่ถึง ๓ วันเสียด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะบทหลัง ๆ
เมื่อรู้ว่าวางกำลังใจอยู่ในระดับไหนแล้วพระคาถาจะเกิดผล ก็วางกำลังใจในระดับนั้น ส่วนใหญ่พอเริ่มทำก็เกิดผลแล้ว

ดังนั้น..ครูบาอาจารย์ที่มาสายนี้ ส่วนใหญ่เมื่อเจอกระผม/อาตมภาพ ก็มักจะมอบพระคาถาให้ โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงปู่สำราญ สมัยนั้นท่านเป็นพระครูวิชาญไชยคุณ เจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า เจ้าคณะอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ตอนหลัง ๆ เมื่อเกษียณจากตำแหน่งพระสังฆาธิการฝ่ายปกครองแล้ว ท่านก็ได้รับพระราชทานตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระมงคลไชยสิทธิ์ (สำราญ กาญจนาโภ ป.ธ. ๔)

กระผม/อาตมภาพยังไป "แซว" ท่านว่า "หลวงปู่ยังมีโอกาสได้เป็นพระราชาคณะกับเขาเหมือนกันนะครับ" ท่านบอกว่า "เฮ้ย..ข้าก็ทำความดีมาไม่น้อย ต้องอยู่ในพระเนตรพระกรรณบ้างแหละวะ..!" กระผม/อาตมภาพที่ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ ก็ยังแหย่ครูบาอาจารย์ต่อไปว่า "ครับ..มาเห็นตอน ๘๐ กว่าแล้ว ถ้าอยู่ไม่ถึง ๘๐ ก็ไม่ต้องเป็นพระราชาคณะกันพอดี..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า วันนี้, 01:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,629
ได้ให้อนุโมทนา: 158,513
ได้รับอนุโมทนา 4,488,285 ครั้ง ใน 36,238 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนใหญ่แล้วพระเดชพระคุณหลวงปู่สำราญ ซึ่งท่านเป็นเพื่อนคู่หูของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เมื่อกระผม/อาตมภาพไปถึง ท่านก็จะให้คาถาบทนั้นบทนี้มา เมื่อถึงเวลาท่านก็จะบอกว่า "ข้าให้เอ็งไปใช้" ก็คือบอกครั้งเดียวจบ แล้วก็เขกหัวเป็นการประสิทธิ์ประสาทให้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว..!

ส่วนใหญ่คนที่ได้รับก็มักจะลืมหมดตอนโดนเขกหัวนั่นเอง..! แต่กระผม/อาตมภาพนั้นมักจะไม่ลืม เนื่องเพราะว่าความจำดีประการหนึ่ง เมื่อจำแล้วสลักอยู่ในใจไม่ไปไหนอีกอย่างหนึ่ง ท่านจึงนิยมให้คาถาทุกครั้งที่ไปถึง

เพียงแต่ว่าเมื่อภายหลังมาฝึกมโนมยิทธิแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านก็ค่อย ๆ ปรับกำลังใจ ให้ก้าวเข้ามาหาความเป็นพระอริยเจ้าระดับโสดาบัน โดยให้เน้นในเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ และการใช้ปัญญา ว่าทำอย่างไรจึงจะค่อย ๆ ปลดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกไปได้

ทำให้อันดับแรกเลย กระผม/อาตมภาพที่ต้องเสียเวลาภาวนาพระคาถาเป็นร้อย ๆ บททุกวัน เพื่อเป็นการทบทวนให้เกิดความคล่องตัว เนื่องจากหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านเมตตาบอกว่า "เมื่อทำของเก่าคล่องตัวแล้ว ก่อนที่จะไปหาของใหม่ ก็ต้องทวนของเก่าเสียก่อน เมื่อมั่นใจแล้วค่อยไปเริ่มต้นของใหม่"

เมื่อมีพระคาถาหลายสิบจนถึงหลายร้อยบท กระผม/อาตมภาพก็ต้องมาเสียเวลาทวนของเก่าทุกบท ก่อนที่จะมาหาของใหม่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงค่อย ๆ ละ ค่อย ๆ วาง คัดเอาสุดยอดพระคาถาไว้ใช้งานแค่ไม่กี่บทเท่านั้น โดยเฉพาะหลัก ๆ เลยก็คือ อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง เนื่องเพราะว่าสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรา "หน่วงจิต" นึกถึงคุณพระรัตนตรัย ก็เท่ากับว่าเราก้าวเข้ามาหาทางพุทธศาสตร์ เป็นสิ่งที่สามารถกำหนดได้ง่ายที่สุด เรียกง่าย ๆ ว่า
ถึงจะยึดก็ให้ยึดในด้านดีเอาไว้ก่อน เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า วันนี้, 01:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,629
ได้ให้อนุโมทนา: 158,513
ได้รับอนุโมทนา 4,488,285 ครั้ง ใน 36,238 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นเมื่อซักซ้อมการปล่อยวางไปนาน ๆ จากการใช้มโนมยิทธิ ขึ้นไปกราบบรรดาพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณบนสวรรค์ทีละชั้น..ทีละชั้น บนรูปพรหมทีละชั้น..ทีละชั้น จนกระทั่งขึ้นไปกราบพระทั้งหมดบนพระนิพพาน

กระผม/อาตมภาพก็ไม่คิดว่าการที่ตนเองปล่อยวางนั้น จะปล่อยวางแม้กระทั่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ก็คือรู้สึกเหมือนกับ "จืด" หรือว่าเบื่อไปเอง จึงทำให้กำหนดใจมุ่งตรงไปกราบพระบนพระนิพพาน แล้วน้อมจิตอัญเชิญพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทั้งหมด มาบนวิมานบนพระนิพพาน แล้วน้อมจิตกราบท่านพร้อมกัน

กระผม/อาตมภาพทำอยู่อย่างนั้นเป็นปี ๆ มาก่อนหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านก็เล่าเรื่องการ "ชวนเทวดา นางฟ้า พรหมไปพระนิพพาน" เมื่อสอบถามแล้ว ท่านก็เมตตาเล่าว่า "ความจริงในเขตแดนความเป็นทิพย์นั้น เขาสามารถไปถึงที่ไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าโดยมารยาทแล้วจะไม่ไปสูงกว่าเขตของตน ยกเว้นในเขตที่ต่ำกว่า สามารถที่จะเข้าไปได้ ถ้าไม่มีใครเชิญ ก็จะอยู่เฉพาะเขตของตน หรือว่าลงไปสู่เขตที่ต่ำกว่า เมื่อได้รับการเชิญ ถึงจะขึ้นไปสู่เขตที่สูงกว่าของตนได้"

กระผม/อาตมภาพถึงได้เข้าใจว่า
การที่เราปล่อยวางจากไสยศาสตร์มาเป็นพุทธศาสตร์นั้น เมื่อค่อย ๆ วางลงไปเรื่อย ๆ การปล่อยวางจะกลายเป็นว่า บางอย่างถึงเราไม่คิดจะวาง ก็มีอารมณ์ใจที่จืดจางและวางไปเอง

จึงสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ในการปฏิบัติธรรมนั้น เมื่อเราเข้าถึง ศีล สมาธิ ปัญญา แล้ว ก็ให้พยายาม "ยึดหัวหาด" คืออารมณ์พระอริยเจ้า ก็คือ เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ อย่างน้อย ๆ ปัญญาต้องเห็นชัดว่า "เราต้องตายแน่นอน ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า วันนี้, 01:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,629
ได้ให้อนุโมทนา: 158,513
ได้รับอนุโมทนา 4,488,285 ครั้ง ใน 36,238 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เรายึดทั้งพระรัตนตรัย ยึดทั้งศีล ยึดทั้งพระนิพพาน นี่คือลักษณะของการเกาะความดีก่อน เหมือนกับเราขึ้นบันไดไปที่สูง ก็ต้องเกาะราวบันไดเพื่อความปลอดภัย แต่เมื่อเราเดินขึ้นไปจนสุดแล้ว บางคนไม่ทันรู้เสียด้วยซ้ำไป ว่าตนเองปล่อยมือจากราวบันไดตอนไหน

ดังนั้น..
ท่านทั้งหลายจึงต้องทบทวนในเรื่องของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ตามหลักไตรสิกขาเหล่านี้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก จะเบื่อจะหน่ายไม่ได้ ทำไปทุกวัน จนกระทั่งถ้าอารมณ์ใจเต็มเมื่อไร ก็จะคลายออกจากการยึดเกาะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอง เหมือนกับเราขึ้นถึงที่สุดแล้ว ปล่อยมือจากการยึดราวบันได บางคนก็รู้ตัวว่าปล่อยตอนไหน บางคนไม่ทันรู้ตัวว่าปล่อยวางตอนไหน ก้าวเข้าสู่อารมณ์ความเป็นพระอริยเจ้าไปตั้งนานแล้ว ถึงจะรู้ว่าตนเองเป็นแล้ว เป็นต้น

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน )
ยอดไผ่
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:15



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว