#1
|
||||
|
||||
![]() เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๘
|
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพออกจากที่พัก มุ่งตรงไปยังจังหวัดจันทบุรีตั้งแต่ตี ๓ เรื่องของการเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีนั้น ถือเป็นภาระที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ เนื่องเพราะว่ากระผม/อาตมภาพได้รับนิมนต์จากครอบครัวบุญรังษีให้ไปรับสังฆทานทุกปี
สาเหตุมาจากสมัยที่ออกจากวัดท่าซุงมาใหม่ ๆ เพื่อนรุ่นน้องก็คือหลวงลุงสุนทร (พระสุนทร สุธมฺมสุเมโธ) ที่ท่านบวชทีหลังก็จริง แต่อายุมากกว่า ท่านไปเยี่ยมเยียนกระผม/อาตมภาพที่ทองผาภูมิ เมื่อเห็นว่าเป็นช่วงที่กระผม/อาตมภาพว่างจากการก่อสร้างพอดี จึงชวนให้ไปเยี่ยมบ้านท่านที่กิ่งอำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นอำเภอเขาคิชฌกูฏไปแล้ว หลังจากที่ไปเยี่ยมสวนผลไม้ ซึ่งป้าหญิง ภรรยาของหลวงลุงสุนทรสมัยก่อนบวชดูแลอยู่ พร้อมกับลูกชายทั้งสองคน หลวงลุงท่านก็นิมนต์กระผม/อาตมภาพให้ไปเยี่ยมเพื่อนของท่าน ก็คือคุณเชิญ บุญรังษี ที่บ้านตำบลบางกะจะ เนื่องเพราะว่าเป็นเพื่อนนักปฏิบัติธรรมมาด้วยกันหลายสิบปี เมื่อหลวงลุงแยกตนเองไปบวชที่วัดท่าซุง แล้วคิดถึงเพื่อน ก็อยากจะไปเยี่ยมเยือนบ้าง ปรากฏว่าเมื่อไปถึงบ้านบางกะจะ คุณเชิญ บุญรังษีได้สอบถามปัญหาการปฏิบัติธรรมที่ติดขัดมา ๓๐ กว่าปีแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าหลวงลุงสุนทรท่านตอบไม่ได้ หรือว่าให้เกียรติกระผม/อาตมภาพที่เป็นรุ่นพี่ จึงบอกว่า "ให้หลวงพี่ของผมตอบปัญหานี้ดีกว่า" เมื่อกระผม/อาตมภาพตอบปัญหาชี้แจงอย่างแจ่มแจ้งแล้ว คุณเชิญ บุญรังษีก็เกิดปีติเป็นอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าเป็นผู้ที่รักในการปฏิบัติ แต่เหมือนกับเดินไปถึงทางตัน ไม่สามารถที่จะไปต่อได้มาหลายสิบปีแล้ว เมื่อมีผู้มาชี้ช่องบอกทางให้ ก็ดีอกดีใจ ถึงขนาดออกปากนิมนต์กระผม/อาตมภาพให้มารับสังฆทานทุกปี บอกว่าถึงตนเองเสียชีวิตไปแล้วก็จะสั่งให้ลูกหลานนิมนต์ต่อไป กระผม/อาตมภาพจึงมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปยังจังหวัดจันทบุรีทุกปี โดยที่ครอบครัวของพี่ชายคนโตของกระผม/อาตมภาพเอง ซึ่งติดตามโยมพ่อมาจากเมืองจีน ก็อยู่ที่จันทบุรีมาจนกระทั่งแตกลูกแตกหลานเต็มไปหมดเช่นกัน ช่วงที่พี่ชายคนโตยังมีชีวิตอยู่ กระผม/อาตมภาพมาถึงก็แวะไปเยี่ยมยามอยู่บ่อย ๆ แต่พอพี่สะใภ้ใหญ่และพี่ชายใหญ่เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ บรรดาลูกหลานได้แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง กระผม/อาตมภาพจึงไม่ได้แวะไปเยี่ยมอีก ยกเว้นว่าแวะไปที่บ้านหลวงลุงสุนทร และบ้านของคุณชาญยุทธ บุญรังษี ผู้เป็นลูกชายของคุณเชิญ บุญรังษี ซึ่งได้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2025 เมื่อ 01:07 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
![]()
สำหรับวันนี้ เมื่อไปถึงบ้านที่แถวตำบลกระทิง ก็แวะไปเยี่ยมป้าหญิงเสียก่อน ป้าหญิงนั้นก็คือคุณจินตนา นวรัตน ณ อยุธยา จะว่าไปแล้วก็มีฐานานุศักดิ์ที่หม่อมราชวงศ์หญิง แต่ด้วยความที่ว่ามาแต่งงานกับสามัญชน ลูกชายทั้งสองคนจึงไม่สามารถสืบฐานันดรหม่อมหลวงได้ กลายเป็นบุคคลธรรมดา ป้าหญิงเองก็ทำตัวเรียบง่ายเหมือนอย่างกับแม่บ้านต่างจังหวัด ต้อนรับขับสู้ด้วยดีทุกครั้งที่ไปถึง
ครั้งนี้กระผม/อาตมภาพไปถึงก็ถือโอกาสเข้าบ้านไปนั่งรอ เนื่องเพราะว่าป้าหญิงปีนี้ก็อายุ ๙๑ ปีแล้ว คนแก่ต้องให้พักผ่อนมากหน่อย เมื่อรออยู่พักใหญ่ ยังไม่มีทีท่าว่าคนแก่จะตื่น กระผม/อาตมภาพจึงชวนหมาที่บ้านป้าหญิงไปเดินดูสวนผลไม้กันเสียก่อน กระผม/อาตมภาพมีวาสนาบารมีกับหมาเป็นอันมาก ไปที่ไหนก็ตามสามารถผูกมิตรกับหมาได้เกือบทุกตัว ปกติแล้วถ้าหมาวิ่งมา คนแปลกหน้าก็มักจะโดนกัด แต่ของกระผม/อาตมภาพ ส่วนใหญ่หมาวิ่งมาแสดงความรู้จัก บอกให้นำทางก็นำได้เป็นอย่างดีเสียด้วย..! แม้กระทั่งที่วัดท่าขนุนซึ่งมีหมาอยู่เกือบ ๒๐๐ ตัว แยกออกเป็นกลุ่ม ๆ อยู่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้างทั่วทั้งวัด เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่าแม้จะไม่คุ้นเคย ไม่ได้เลี้ยงดู ไม่ได้ให้อาหาร แต่พอเดินไปถึง หมาทุกตัวกลับรู้ว่ากระผม/อาตมภาพคือเจ้าอาวาส ซึ่งถ้าในสายตาหมาก็คือ "จ่าฝูง" ก็จะเข้ามาแสดงความสนิทสนมคุ้นเคยด้วยทุกที่ไป เป็นเรื่องที่ดูแล้วก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า หมาเขามีสัญชาตญาณรู้ได้จนถึงขนาดนี้ เมื่อกลับจากการเที่ยวสวนมา ถือวิสาสะนั่งรออยู่พักใหญ่ ป้าหญิงก็ตื่นขึ้นมา ครั้นล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนผ้าผ่อนแล้วก็ออกมาคุยด้วย ตลอดจนกระทั่งขอถวายสังฆทานด้วย เพียงแต่ว่าปีนี้ไม่มีผลไม้ถวาย เนื่องเพราะว่านอกจากจะโดนช้างลงสวนแล้ว ก็ยังมีพายุที่ทำให้บรรดาทุเรียนตกร่วงเป็นอันมาก เมื่อคุยกันจนประมาณ ๘ โมงครึ่ง กระผม/อาตมภาพก็บอกลา เดินทางไปยังตำบลพลอยแหวน อำเภอท่าใหม่ เพื่อไปบ้านของคุณชาญยุทธ บุญรังษี ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็นกอบกฤตมาในไม่นานนี้เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2025 เมื่อ 01:09 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นไปถึง ปรากฏว่าทั้งคุณกอบกฤตและคุณมณฑาผู้เป็นภรรยา ได้จัดเตรียมข้าวปลาอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว ครั้นกระผม/อาตมภาพเจิมรถยนต์ สวดมนต์ ทำน้ำมนต์พรมให้ทั่วบ้าน ก็ทำการถวายภัตตาหารเพลในตอนไม่ถึง ๑๐ โมงดี เนื่องเพราะทราบว่ากระผม/อาตมภาพต้องใช้เวลาเดินทางกลับอีกหลายชั่วโมง ถ้าสามารถกลับได้เร็วหน่อย ก็จะเป็นคุณแก่ตัวเอง
กระผม/อาตมภาพไม่สามารถที่จะฉันทุเรียนได้เหมือนกับคนอื่นเขา จึงได้เหน็บเอาญาติโยมตามไปเป็น "ตัวกินทุเรียน" แทน ตนเองก็ฉันไปแค่คำเดียว เนื่องเพราะว่าเมื่อเจอทุเรียนเข้าไป ก็มักจะความดันขึ้น ปวดหัว ทรมานไป ๒ - ๓ วัน แต่ที่ไปฉันก็เพื่อเป็นกำลังใจให้ญาติโยมเท่านั้นเอง..! ส่วนข้าวปลาอาหารนั้น พี่มณฑาเป็นคนทำ ด้วยฝีมือแบบชาวบ้านที่กระผม/อาตมภาพชอบมาก อย่างเช่นว่าต้มข่าไก่ใส่ใบเหลียง เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งก็คือปูทะเล หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ปูดำ" ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั้นเป็นคนที่เบื่อในการแกะปูที่สุด พี่มณฑาจัดการแกะก้ามปูไว้ให้เรียบร้อย ก็เลยเสียกิริยา ฉันไปคนเดียว ๔ ก้ามใหญ่..! ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพฉันอาหาร ก็คือตักอย่างละ ๑ คำ ถ้ายังไม่อิ่มก็ค่อยตักวนใหม่ ปกติแล้วถ้าตักอาหารซ้ำสอง ก็จะดูใจตัวเองว่า "เป็นการฉันเพราะว่าอยาก หรือว่าฉันเพราะร่างกายยังต้องการอยู่" แต่ว่างวดนี้ที่เสียกิริยาก็เพราะว่าปัจจุบันนี้ เด็กรุ่นเก่า ๆ ที่เคยกินปูทะเลมา ปัจจุบันเห็นเหลือแต่ปูม้า เพราะว่าปูทะเลราคา "แพงจนจับไม่ติด" นี่ขนาดพรรคพวกกัน แถมยังบอกว่าเอามาทำบุญถวายพระ เขายังคิดแบบกันเองกิโลกรัมละ ๓๕๐ บาท ปูทะเล ๓ กิโลกรัมก็เล่นไปเสียพันกว่าบาท..! กระผม/อาตมภาพก็เลยฉันเพื่อที่เอาใจญาติโยมด้วย ขณะเดียวกันก็ฉันเพราะว่าไม่ได้เจอมานานแล้วด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2025 เมื่อ 01:11 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
![]()
ครั้นอิ่มหนำสำราญแล้วก็ได้บอกลาทางเจ้าของบ้าน นัดแนะกันว่า "ปีหน้าถ้ายังมาไหวก็จะมาอีก" คุณชาญยุทธหรือคุณกอบกฤตในปัจจุบัน ซึ่งอายุเท่ากัน ก็เข้าใจทันทีประสาคนแก่ด้วยกันว่า ทำไมถึงต้องกล่าวอย่างนี้
เนื่องเพราะว่าอายุ ๖๖ เต็ม ย่าง ๖๗ ปีเข้าไปแล้ว ถ้าหากว่าดูแลสังขารไม่ดี ไม่แน่เหมือนกันว่าภายในเดือนสองเดือนก็อาจจะไม่ไหวแล้ว อย่าว่าแต่ต้องรอถึงปีหน้า ดังนั้น..การนัดแนะจึงไม่สามารถที่จะกล่าวเป็นคำขาดได้ นอกจากจะบอกว่า "ถ้ามาไหวก็จะมา" หรือบางทีถ้าไม่เกรงใจก็จะบอกว่า "ถ้ายังไม่ตายก็จะมา..!" คนที่ฟังแล้วรับได้ก็สนุกสนานเฮฮากันไป แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ก็อาจจะฟังว่าเป็นอัปมงคลไปได้เหมือนกัน..! กระผม/อาตมภาพเดินทางฝ่ารถติด ซึ่งในปัจจุบันนี้ คนขับรถได้มีมาก แต่คนขับรถเป็นนั้นไม่มี ต่างคนต่างเอารถขึ้นถนนมา แล้วก็ขับตามใจตนเอง โดยเฉพาะที่แย่ที่สุดก็คือรถช้าแล้วขับชิดขวา เพราะได้รับการสั่งสอนมาว่าชิดขวาแล้วจะปลอดภัย คนเก่ง ๆ เขาจะแซงซ้ายไปเอง ก็เลยกลายเป็นตัวกีดขวางทางจราจร ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน หาทางไปกันเอง เพราะว่ายกไฟแล้วก็ไม่รับรู้ บีบแตรไล่ก็ไม่รับรู้ ถ้าขืนทำต่อมาก ๆ เขาอาจจะหยุดแล้วลงมาชักปืนยิง หรือชัดมีดแทงเอาก็ได้..! ก็เลยต้องใช้ความพยายาม กว่าที่จะหลุดผ่านออกมาได้ก็เหนื่อยใจเต็มที สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2025 เมื่อ 01:13 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|