กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า เมื่อวานนี้, 20:08
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 502
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 25,063 ครั้ง ใน 990 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า เมื่อวานนี้, 21:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,433
ได้ให้อนุโมทนา: 158,058
ได้รับอนุโมทนา 4,481,004 ครั้ง ใน 36,042 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับจากงานศพของหลวงพ่อพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ (พูลศักดิ์ ปญฺญาวุโธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขื่อนวชิราลงกรณ อดีตรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งไม่นึกว่าเขาจะลากงานยาวรวดเดียว ตั้งแต่การถวายน้ำสรงศพโดยคณะสงฆ์ ต่อด้วยญาติโยมทั้งหมด แล้วก็เป็นพิธีถวายน้ำสรงศพพระราชทาน จากนั้นเป็นพิธีบังสุกุลปิดศพ

ปกติแล้วเมื่อถึงช่วงนี้ก็จะพัก ไปสวดพระอภิธรรมถวายท่านตอนเวลาทุ่มครึ่ง แต่ด้วยความที่เจ้าภาพก็คือพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี และ พระมหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ. ๙ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านก็อยู่ในพิธีแล้ว ท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ ตลอดจนกระทั่งหัวหน้าส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็อยู่พร้อมหน้า จึงให้มีปรับตารางด้วยการสวดพระอภิธรรมถวายท่านไปเลย ทำให้
กระผม/อาตมภาพโดนลากงานยาวจนยาหมดฤทธิ์..! การที่ยาหมดฤทธิ์ทำให้เราต้องใช้สติประคับประคองตนเองมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ทำสิ่งต่าง ๆ ถูกต้องตามขั้นตอนที่พิธีกรเขากำหนด

จะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้กระผม/อาตมภาพเลิกฉันยามาหลายปีแล้ว เนื่องเพราะว่ายาบางอย่างออกฤทธิ์รุนแรงมาก แทบจะฆ่าเราตาย แต่ฆ่าเชื้อโรคไม่สำเร็จ บางอย่างฉันไปเม็ดเดียวเมาไป ๓๓ วัน..! แล้วยาตัวนี้มีการแตกตัวแบบที่เขาเรียกว่า "ฮาร์ฟไลฟ์" ก็คือพอครบจำนวนชั่วโมง ก็จะออกฤทธิ์แรงเท่าเดิมทุกวัน ในระหว่าง ๓๓ วันนั้นต้องใช้สติมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเพื่อไม่ให้ตัวเองเดินแล้วล้ม..!

ถ้าถามว่าเกินความสามารถของตัวเองหรือไม่ ? ก็ยังไม่เกินความสามารถ แต่ด้วยความที่ว่าฉันยามาหลายสิบปีแล้วไม่หาย
กระผม/อาตมภาพจึงประชดชีวิต เลิกฉันยาทั้งหมด ปรากฏว่าร่างกายดีขึ้นมาก..! แต่หลังจากที่มาลาเรียกำเริบหนัก ๆ หลายรอบ เพราะว่าพักผ่อนไม่พอ ก็โดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านดุเอาว่า "ถ้าไม่ฉันยาแบบนี้ เดี๋ยวร่างกายจะพังเสียก่อน..!" ความหมายของท่านก็คือมียาก็ฉันไป เพื่อรักษาธาตุขันธ์เอาไว้ทำงาน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า เมื่อวานนี้, 21:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,433
ได้ให้อนุโมทนา: 158,058
ได้รับอนุโมทนา 4,481,004 ครั้ง ใน 36,042 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ระยะหลังถ้าร่างกายแย่มาก ๆ กระผม/อาตมภาพก็จะฉันยาประคองร่างกายบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฉันตลอด เพียงแต่ว่าช่วงนี้ร่างกายค่อนข้างจะแย่ เมื่อต้องออกไปงานข้างนอกจึงฉันยาไปแต่เช้า ปรากฏว่าโดนลากงานแต่เช้ายันค่ำ ยาหมดฤทธิ์เสียก่อน จึงต้องตั้งสติ ทำหน้าที่ไปตามที่พิธีกรหรือว่าโฆษกเขาบอกกล่าวหรือว่านิมนต์ให้ทำ

ด้วยความที่ตำแหน่งของ
กระผม/อาตมภาพก็คือ ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถ้าว่าโดยตำแหน่งก็ใหญ่กว่าเจ้าคณะจังหวัดเสียอีก..! แต่โดยพฤตินัยนั้น สิ่งที่ทำกันอยู่ก็ต้องให้เจ้าคณะจังหวัดท่านออกหน้า แต่เขาก็เชิญหรือว่านิมนต์ให้กระผม/อาตมภาพทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องอาศัยสติประคองร่างกายเอาไว้ เพื่อไม่ให้งานของเขาผิดพลาด หรือว่าไม่ให้ล้มขายหน้าชาวบ้านเขา..!

ในเรื่องของงานศพนั้น มีบางสำนักท่านบอกว่า "สวดพระอภิธรรมไปทำไม ? สวดไปก็ตกนรก..! การทำบุญให้คนตายไม่ได้รับบุญ แถมทำให้คนตายตกนรกหนักขึ้นไปอีก..!" กระผม/อาตมภาพก็อยากทราบเหมือนกันว่าพวกเขาเอาความรู้นี้มาจากไหน ? เนื่องเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังกล่าวถึงการทำปุพพเปตพลี ก็คือการทำบุญอุทิศให้คนตายโดยเฉพาะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกไปก็คือ "ปัจจุบันนี้ผู้รู้มีมาก แต่ที่รู้จริงนั้นหายากเหลือเกิน"

เนื่องเพราะว่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเกินวิทยาศาสตร์ปัจจุบันไปมาก ปัจจุบันนี้แม้วิทยาศาสตร์จะทะนงตนว่า สามารถทำโน่นทำนี่ได้มากมาย จนแทบจะเป็นพระเจ้าเองอยู่แล้ว แต่ว่าก็ยังไล่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ทัน..!

ถ้าใครไปดูในอินทกสูตร จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงการกำเนิดมนุษย์ ตั้งแต่เป็นจุดปฏิสนธิเล็ก ๆ ขนาด ๑/๑๖ ของขนจามรี จนกระทั่งแต่ละ ๗ วันผ่านไปมีลักษณะอย่างไร พระองค์ท่านบอกไว้ชัดเจนทั้งหมด วิทยาศาสตร์เพิ่งจะตามทันเมื่อไม่นานนี้เอง แล้วเขาก็ยังสงสัยว่าในยุคนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้ได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า เมื่อวานนี้, 21:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,433
ได้ให้อนุโมทนา: 158,058
ได้รับอนุโมทนา 4,481,004 ครั้ง ใน 36,042 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนในเรื่องของโรคระบาดต่าง ๆ นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงเคยเล่าให้ฟังว่า ถึงเวลาชนหมู่มากที่เคยสร้างกรรมร่วมกันมาในอดีต ถึงวาระที่ผลกรรมนั้นจะสนอง ก็จะมีเทวดามาขีดเส้นกำหนดเขตว่า ตั้งแต่จุดนี้ถึงจุดนี้จะมีคนตายเพราะโรคระบาดชนิดนั้น แล้วถึงเวลาก็มีคนตายจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เทวดาท่านมาเอาชีวิตคน แต่เป็นเพราะว่าคนได้สร้างกรรมไว้ในอดีต ถึงเวลาที่กรรมนั้นจะส่งผลแล้ว..!

บุคคลที่มีทิพจักขุญาณท่านจะรู้เห็น บางทีท่านก็บอกวิธีแก้ไขเอาไว้ด้วย อย่างเช่นว่าการปั้นรูปคนเป็นตัวแทนของบุคคลในครอบครัว ถ้าเป็นโรคระบาดสัตว์ ก็ให้ปั้นรูปวัวรูปควายเป็นตัวแทนสัตว์ในบ้าน แล้วเอาไปสังเวยที่ทางสามแพร่ง ถ้าหากว่าใครทำแบบนั้นก็จะรอดจากเคราะห์กรรมครั้งนั้นไปได้

ถ้าถามว่าเป็นการโกงหรือไม่ ? ต้องบอกว่าไม่ใช่การโกง แต่เป็นเพราะบุคคลนั้นได้สร้างกรรมดีเอาไว้ด้วยเช่นกัน จึงทำให้สามารถเอากรรมดีนั้นมาป้องกันกรรมชั่วไม่ให้สนอง หรือไม่ให้เกิดผลได้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ถ้าหากว่าเราไม่รู้จริง พูดไปก็มีแต่ผิด..!

อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ เมื่อประมาณ ๒ - ๓ วันก่อน มีพระของเราหอบพระพุทธรูป ไปทุบประตูเรียกตอนที่
กระผม/อาตมภาพพักอยู่ บอกว่า "จะถวายหลวงพ่อ" โชคดีที่ผมป่วย ไม่มีแรงเตะท่าน..! คนเก่า ๆ เขาจะรู้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ แล้วไปเรียกกระผม/อาตมภาพที่กุฏิ มีสิทธิ์โดนแน่ ๆ..! เห็นแก่ว่าท่านเป็นพระใหม่ อาจจะไม่รู้เรื่อง แค่อยากได้บุญจนหน้ามืด ก็เลยไปทุบประตูเรียกตอนนั้น..!

จึงบอกว่า "รอให้ทางวัดมีงานภาวนาพระคาถาเงินล้าน แล้วค่อยเอาไปเข้าพิธี" ซึ่งถ้าท่านทั้งหลายรู้จักพินิจพิจารณา ก็คงจะไม่ไปรบกวนเวลานั้น หอบมาถวายตอนช่วงนี้ยังจะดีเสียกว่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า เมื่อวานนี้, 22:04
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,433
ได้ให้อนุโมทนา: 158,058
ได้รับอนุโมทนา 4,481,004 ครั้ง ใน 36,042 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนเพลนี้เอง มีพระใหม่ท่านมาถามว่า "หลวงพ่อครับ มันเป็นผลแท้หรือผลเทียมครับ ?" โคตรพ่อโคตรแม่มันถามแบบมันรู้คนเดียว ไม่มีหัวไม่มีท้าย อยู่ ๆ ก็โผล่กลางปล้องขึ้นมา..!

ด้วยความที่ป่วยจนไม่มีแรงจะเตะมัน ก็เลยบอกว่า "มึงไปถามคนอื่นไกล ๆ โน่นเลย" อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยบอกไว้แล้วว่า บุคคลบางคนเรียนมาความรู้สูงมาก แต่พูดแล้วคนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง เพราะว่าไม่ได้คิดถึงคนอื่นที่เขายังไม่รู้เรื่อง ประมาณว่าเรื่องนี้กูรู้แล้ว คนอื่นต้องรู้ด้วย..! จึงกลายเป็นพูดภาษามนุษย์ไม่รู้เรื่อง หวังว่าคงจะไม่มีแบบนี้อีก ไม่ว่าจะสอนใคร หรือว่าทำอะไร เราต้องนึกอยู่เสมอว่า "คนอื่นเขายังไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน"

ถ้าท่านทั้งหลายไปอ่านหนังสือเกี่ยวกับบันทึกการเดินทาง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเขียนเอาไว้ก่อนหน้านี้ ยังไม่ใช่ช่วงที่มาเล่าด้วยปาก คนอ่านเขาจะบอกว่า "อ่านแล้วเหมือนอย่างกับตามหลวงพ่อไปได้ทุกฝีก้าวเลย" คือสามารถที่จะรู้ได้หมดว่า สถานที่นั้นเป็นอย่างไร ? เหตุการณ์เป็นอย่างไร ?

ก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพจะคำนึงอยู่เสมอว่า เรื่องที่เล่าไปนั้นคนอื่นยังไม่รู้ ? เรารู้อย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้น เพื่อให้คนอื่นเขารู้ตามด้วย ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็ "ทะลุกลางปล้อง" แบบสำนวนโบราณ ไม่มีที่มาไม่มีที่ไป โผล่หัวขึ้นมาเฉย ๆ ไอ้ประเภทนี้ถ้าเป็นสมัยก่อนก็โผล่มาแล้วหัวขาด..! ขอให้ไปแก้ไขเสียใหม่ แล้วพูดภาษาที่มนุษย์เขารู้เรื่องด้วย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : วันนี้ เมื่อ 01:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:21



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว