กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 28-04-2025, 17:34
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,996 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-04-2025, 23:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,211 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันซ่อมสุขภาพของกระผม/อาตมภาพ เมื่อไปพบหมอแล้ว มีความรู้สึกว่า "ถ้าไม่มาหาหมอก็ไม่มีโรค พอมาหาหมอทีไรก็ได้โรคไปทุกที" พูดแบบนี้บางทีคุณหมออาจจะน้อยใจเอาก็ได้

แต่ความจริงก็คือสภาพร่างกายของกระผม/อาตมภาพนั้น ชำรุดทรุดโทรมไปตามปกติของคนแก่ ระยะประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา มีอาการเจ็บหัวไหล่ขวาและข้อศอกซ้ายค่อนข้างที่จะมาก ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะนอนผิดท่า หรือว่าเส้นเอ็นอักเสบ แต่ปรากฏว่าหมอพิจารณาแล้ว สั่งจ่ายน้ำมันปลา ๓ บวกมาให้ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าที่คนอื่นเขากินแล้วมีคุณภาพ ๑ ส่วน ที่กระผม/อาตมภาพได้รับมาแต่ละเม็ด จะมีคุณภาพเหนือกว่าเขาอีก ๓ เท่า..!

ตลอดจนกระทั่งแคลเซียมและวิตามินต่าง ๆ โดยที่บอกว่าร่างกายชำรุดทรุดโทรมมาก..ต้องเสริม ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะออกอาการเหมือนอย่างกับเครื่องยนต์เก่าเดินไม่เต็มสูบแบบนี้ หลังจากที่ฉันยาของคุณหมอลงไปประมาณไม่ถึง ๕ ชั่วโมง หัวไหล่ขวาที่เจ็บมากและไม่สามารถจะยกขึ้นสุดได้ กลายเป็นยกขึ้นได้ปกติ ตอนนี้ก็เหลือเพียงข้อศอกซ้ายเท่านั้น

เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ กระผม/อาตมภาพนั้นแอนตี้ยาบำรุงทุกชนิด โดยเฉพาะที่น้องจูน (นางสาวกฤติกา มาโนช) สมาชิกสภาเทศบาลทองผาภูมิ ที่เมตตาซื้อถวายให้แบบโน้นบ้าง แบบนี้บ้าง อย่างโน้นฉันแล้วดีอย่างนั้น อย่างนี้ฉันแล้วดีอย่างนั้น ตลอดจนกระทั่งที่ท่านอื่น ๆ ส่งมา มอบให้บรรดาพระและแม่ชีผู้ชราภายในวัดรับไปแทน..!

เพราะกระผม/อาตมภาพนั้นมีความระแวงชนิดผู้ที่ไม่ประมาท ก็คือฉัน "ยาโด๊ป" มาก ๆ แล้ว จะไปคิดว่าตนเองแก่แล้วไม่ "คึก" ถ้าเกิด "คึก" ขึ้นมาจะอยู่ยาก ดังนั้น..จึงไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เป็น "ยาโด๊ป" หรือว่ายาบำรุงเลย แม้กระทั่งในส่วนของพวกยาชูกำลังต่าง ๆ สารพัดยี่ห้อ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้แตะต้อง รังนกที่คุณยายล้วน (นางล้วน หวลประไพ) ถวายให้ทุกวันที่ออกบิณฑบาต ก็รับมาแล้วมอบให้ส่วนกลางไปแบ่งสันปันส่วนกัน

ทั้ง ๆ ที่ทุกคนหวังดีปรารถนาดี แต่กระผม/อาตมภาพที่เคยทรมานกับ รัก โลภ โกรธ หลง มาหลายปี เมื่อสามารถที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ได้ อะไรที่อาจจะไปสะกิดให้ รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบ จึงไม่พยายามไปแตะต้อง
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่รู้ว่าร่างกายคนแก่ชำรุดไปขนาดนี้แล้ว ในเมื่อหมอสั่งมาก็ต้องฉัน แต่ว่ายาตัวนี้น่าจะมีผลข้างเคียงทำให้อ้วนมาก เพราะว่าเป็นน้ำมันปลา แต่ละเม็ดเท่านิ้วชี้เห็นจะได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-04-2025, 23:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,211 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพจึงได้แต่ปลงอายุสังขารว่า ในเมื่อร่างกายจะต้องเปลี่ยนแปลง ก็คงต้องเปลี่ยนแปลง คล้าย ๆ กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ที่ก่อนหน้านี้ท่านก็มีรูปร่างผอมบาง คล้ายคลึงกับกระผม/อาตมภาพนี้เอง

แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่ง "ท่านย่า" มาสั่งให้ฉันหมูสามชั้นรวนเค็มทุกวัน จนกระทั่งร่างกายอ้วนใหญ่ขึ้นมา ท่านบอกว่า "ช่วงที่วาระกรรมส่งผล จะทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยหนักมาก ถ้าหากว่าไม่อ้วน ก็ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะสู้โรคได้" พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจึงต้องฉันอาหารและยาตามหมอสั่ง และตาม "ผู้ที่มองไม่เห็นตัว" สั่ง จนกระทั่งกลายเป็นอ้วนใหญ่อย่างที่เห็นอยู่ จนกระทั่งมรณภาพ..!

กระผม/อาตมภาพไม่ได้กลัวอ้วน เพียงแต่ทราบว่าถ้าหากว่าอ้วน สารพัดโรคต่าง ๆ ก็จะตามมา ประกอบกับที่ตนเองนั้นทำงานมากกว่าอาหารที่ฉันลงไป จนป่านนี้แล้ว น้ำหนักตัวก็ยังอยู่ที่ ๖๑ - ๖๒ กิโลกรัม แล้วแต่ว่าช่วงนั้นป่วยมากป่วยน้อย ทั้ง ๆ ที่ความสูงของกระผม/อาตมภาพคือ ๑๗๒ เซ็นติเมตร น้ำหนักมาตรฐานจะต้องอยู่ที่ ๗๒ กิโลกรัม..!

ในเมื่อหมอสั่ง ตาม "คิลาโนวาท" ที่หลวงปู่สมเด็จฯ วัดเทพศิรินทราวาส ก็คือพระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร อดีตองค์สังฆนายกผู้ปกครองคณะสงฆ์ไทย ท่านได้ให้เอาไว้ว่า "บุคคลผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องไม่ดื้อกับหมอ" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องรับยามา เพราะฉันไปแล้วเห็นว่าดีกับตัวเองจริง ๆ ไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องทนเจ็บอยู่ทุกวี่ทุกวัน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-04-2025, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,211 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สำหรับวันนี้ มาว่ากล่าวถึงเรื่อง "เล่าความหลัง" กันต่อ เมื่อวานได้กล่าวถึงเรือข้าว เรือทราย ซึ่งใช้ในการบรรทุกข้าวเปลือก และบรรทุกทรายสำหรับการก่อสร้าง แม่น้ำสวนแตงในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีนั้น ในช่วงที่กระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ กว้างใหญ่มาก เพราะว่าต้องขุดลอกเพื่อให้เรือข้าววิ่งได้ เนื่องเพราะว่าสุพรรณบุรีเป็นอู่ข้าวอู่น้ำแห่งหนึ่งของประเทศไทย

แต่ว่าในปัจจุบันนี้ตื้นเขินเสียจนแทบจะกระโดดข้ามได้อยู่แล้ว เพราะว่าเมื่อมีทางรถยนต์ และการรถยนต์ใช้ในการขนส่ง มีความคล่องตัวมากกว่า จึงทำให้บรรดาการขนส่งทางน้ำที่เชื่องช้า ไม่ทันใจ ค่อย ๆ หมดไป กลายเป็นการขนส่งทางบกโดยรถยนต์แทน

การขนส่งทางน้ำนั้นเป็นการกำเนิดภาษิตคำว่า "ช้าเป็นเรือเกลือ" เนื่องเพราะไม่ว่าจะเป็นเรือข้าว เรือทราย หรือว่าเรือเกลือนั้น บรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก กินน้ำลึกมาก แต่ลากจูงด้วยเรือโยงเล็ก ๆ เท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ไปได้ช้า แล้วมาคิดถึงที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านเปรียบบุคคลบางประเภท ที่ฝึกกรรมฐานแล้วได้ยากได้เย็นหนักหนา ว่าเป็นการ "เข็นเรือทรายบนบก"..!

เราท่านลองนึกดูว่าในน้ำยังไปช้าขนาดนั้น เพราะน้ำหนักมากมายมหาศาล แล้วไปเข็นบนบก โอกาสที่จะไปได้นั้นมีหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่าโบราณช่างเข้าใจเปรียบเทียบ อะไรที่เชื่องช้าไม่ทันใจ เขาก็จะใช้คำว่า "ช้าเป็นเรือเกลือ" ไปเลย

อีกอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของการเดินทาง - การหากินทางน้ำนั้น แม้แต่วัดท่าขนุนสมัยก่อนก็ยังเป็นท่าน้ำสำหรับบุคคลขึ้นลง และมีต้นขนุนอยู่หลายต้น จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพมาเป็นเจ้าอาวาสแล้ว ถึงได้ช่วยปรับปรุงศาลาท่าน้ำ ซึ่งมีป้ายวัดท่าขนุน หันเข้าหาแม่น้ำแควน้อยอยู่ กลายเป็นศาลเจ้าที่ ซึ่งปัจจุบันนี้ลูกปุ๊ก (นางสาวสุมาลี ตีรเลิศพานิช) อาศัยเป็นที่พักอยู่

เพราะกระผม/อาตมภาพถือนโยบายที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ ก็คือการสร้างศาลเป็นการเคารพต่อเทวดา เมื่ออัญเชิญท่านขึ้นศาลแล้วก็ให้ขออนุญาตท่านใช้งานศาลนั้นด้วย ดังนั้น..หลวงพ่อท่านจึงให้สร้างศาลอยู่ในลักษณะเป็นกุฏิหลังใหญ่ไปเลย แบ่งสันปันส่วนในเขตที่จะตั้งสิ่งแสดงออกซึ่งความเคารพต่อเจ้าที่ ส่วนที่เหลือ เราก็ได้ใช้งานตามปกติ ตัวศาลก็ไม่ทรุดโทรม การใช้ประโยชน์ก็จะได้มีมากขึ้นไป
อีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 28-04-2025, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,211 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของสิ่งของที่ใช้ในการทุ่นแรงการขนส่งต่าง ๆ นั้น แต่เดิมก็มี "เกวียน" เป็นหลัก ซึ่งต้องชื่นชมว่าบรรพบุรุษของเรานั้น ช่างคิดค้นสิ่งทุ่นแรงต่าง ๆ ขึ้นมาได้ และจัดสร้างขึ้นมาอย่างประณีตทีเดียว โดยเฉพาะเกวียนบางหลังนั้น มีการจักหวาย สานประทุนเกวียนกันแดดกันฝนเป็นอย่างดีอีกด้วย ดูแล้วน่าชื่นชมแทนเจ้าของเกวียนเป็นอย่างมาก และวัวเทียมเกวียนแต่ละตัว ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เลี้ยงดูจนอ้วนท้วนสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะใช้งาน

เส้นทางไหนที่เป็นทางเกวียนของหมู่บ้าน หรือว่าทางเกวียนระหว่างตำบล ส่วนใหญ่แล้วถ้าเกวียนแล่นลงไปแล้วก็แปลว่าต้องวิ่งต่อไปยันสุดปลายทางเลย เนื่องเพราะว่าดินตรงนั้นโดนล้อเกวียนบดจนลึกเป็นศอก ทำให้ล้อเกวียนเมื่อลงไปแล้ว เท่ากับโดนบังคับให้อยู่กับที่ ไม่สามารถที่จะหลุดจากร่องได้ ต้องวิ่งไปเรื่อยเปื่อย ต่อให้เจ้าของไม่บังคับวัว วัวก็ไม่สามารถที่จะลากเกวียนออกนอกลู่นอกทางได้

เครื่องทุ่นแรงอีกอย่างเรียกว่า "ระแทะ" เกวียนนั้นใช้เทียมด้วยวัวคู่ แต่ระแทะนี้ใช้เทียมด้วยวัวหรือควายตัวเดียว หรือที่กระผม/อาตมภาพเคยเห็นของต่างประเทศ เขาใช้เทียมล่อ หรือว่าเทียมด้วยม้าก็มี ระแทะนั้นจะมีคานยาวออกมาแล้วก็ผูกเอาไว้กับเชือก ในส่วนที่จะใช้สำหรับบังคับ ก็จะมีลักษณะเหมือนกับแอก สวมกับด้านหลังของวัวหรือว่าล่อนั้น แล้วก็มีผ้าหนา ๆ รองรับ มีเชือกผูกโยง เพื่อที่จะลากไปได้

นอกจากเกวียนและระแทะแล้ว ภายหลังยังมี "รถสาลี่" ขึ้นมาด้วย ซึ่งก็คือรถสองล้อ ลักษณะทรงคล้ายเกวียนแต่เตี้ยมาก แล้วก็มีไม้ต่อยื่นออกมา พร้อมกับคานขวาง ให้เราใช้เข็นสิ่งของต่าง ๆ ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการบรรทุกน้ำ บรรทุกฟืน บรรทุกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ บางแห่งเรียกว่า "รถยู้" ก็คือรถสำหรับเข็นของ แต่ว่าบางแห่งเรียกว่า "รถสาลี่" แล้วส่วนใหญ่ก็ได้ยินว่ารถสาลี่กันทั้งนั้น มีผู้รู้สันนิษฐานว่ามาจากภาษาอังกฤษว่า Trolley ก็คือรถเข็นนั่นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 28-04-2025, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,377
ได้ให้อนุโมทนา: 157,932
ได้รับอนุโมทนา 4,479,211 ครั้ง ใน 35,986 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เนื่องจากสมัยก่อนนั้น พวกเราเห็นว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาของผู้เจริญแล้ว ดังนั้น..ในสมัยของรัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ จึงมีการใช้ภาษาอังกฤษทับศัพท์หลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่มีในเมืองไทย แต่ว่ามาเรียกตามแบบลิ้นของคนไทย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คำว่า "โทรเลข" ซึ่งภาษาอังกฤษว่า Telegraph มาถึงเมืองไทยก็เลยกลายเป็น "ตะแล็ปแก๊ป" เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้น..ถ้าหากว่ารถเข็น Trolley กลายเป็นรถสาลี่ ก็น่าจะพอฟังขึ้น ในภายหลังสิ่งทุ่นแรงต่าง ๆ เหล่านี้มีการใช้น้อยลง จนแทบจะต้อง "ยกขึ้นหิ้ง" หรือ เข้าพิพิธภัณฑ์ คนรุ่นหลังถึงจะได้ดูได้เห็นกัน

โดยเฉพาะเมื่อมาใช้รถยนต์แล้ว หลายท่านคงไม่ทราบว่าคนไทยเคยสร้างรถของตนเอง ซึ่งมีอยู่สองยี่ห้อด้วยกัน ยี่ห้อแรกเรียกว่า "รถสิงห์สยาม" ยี่ห้อที่สองเรียกว่า "รถพลายน้อย" ซึ่งสิงห์และพลายก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นช้างและสิงห์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็น่าที่จะสามารถทำให้คนนิยมได้

แต่เนื่องจากว่าฝีมือการสร้างใหม่ ๆ นั้น รถออกมาลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมมากกว่า..! จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยม ใช้อยู่ไม่นานก็สูญหายไปเฉย ๆ แม้แต่ยุคหลังของเราก็มีรถกระบะที่สร้างขึ้นมา ในลักษณะแข่งขันกับพวกรถกระบะสายหลัก ชื่อว่า VMC ซึ่งอยู่ในระยะที่ไม่นานมานี้เอง ถ้าค้นหาข้อมูลก็น่าพอจะมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้รับความนิยม ท้ายที่สุดก็สูญหายไปจากยุทธจักรอีกเช่นกัน..!

ดังนั้น..ในเรื่องของบรรดาเรื่องทุ่นแรงต่าง ๆ ที่บรรพบุรุษของเราสร้างเอาไว้ จนกลายเป็นภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นบ้านหรือว่าท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นเรือ เป็นเกวียน เป็นระแทะ เป็นรถเข็น ปัจจุบันนี้แทบจะไม่เห็นใครเขาใช้งานกันอีกแล้ว ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "สัพเพ สังขารา อนิจจา สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นหาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้" อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้จริง ๆ ก็คือ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2025 เมื่อ 01:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว