กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-04-2025, 19:44
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 28-04-2025, 00:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,271 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ พสกนิกรชาวไทยยังคงชื่นชมกับการเสด็จเยือนประเทศภูฏานอย่างเป็นทางการ ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ พระบรมราชินี แต่ต่างชาติเขาแตกตื่นกันหมด..! ที่ทั้งสองพระองค์ทรงเครื่องบินพระที่นั่งด้วยพระองค์เอง แล้วลงสนามบินพาโร ที่ได้ชื่อว่าเป็นสนามบินอันตรายที่สุดในโลก..!

เนื่องเพราะว่ามาตรฐานสนามบินนั้นอย่างน้อยความยาวรันเวย์ต้องมีถึง ๒,๘๐๐ เมตร สนามบินพาโร
นอกจากความยาวรันเวย์ไม่ถึงแล้ว ยังล้อมรอบด้วยภูเขาแทบทุกด้าน แค่สนามบินตรีภูวันของเนปาล เครื่องบินไทยยังเคยไปชนภูเขา ระเบิดตายยกลำมาแล้ว..!

แต่ด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีประสบการณ์ขับเครื่องบินมาแล้วทุกประเภท แม้กระทั่งเครื่องบินโดยสาร ก็ขับนำพาคณะไปแสวงบุญที่ประเทศอินเดียด้วยพระองค์เองมาแล้ว ดังนั้น..การลงสนามบินที่พาโร ซึ่งไม่มีหอเรดาร์ในการช่วยนำทาง ในสายตาคนอื่นที่เห็นว่าอันตรายสุด ๆ สำหรับพระองค์ท่านแล้วกลับเป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย

ความสัมพันธ์ของประเทศภูฏานกับไทยนั้น ต้องบอกว่าเป็นไปอย่างดียิ่ง อันดับแรกเลยก็คือ มีระบอบกษัตริย์เหมือนกัน อันดับที่ ๒ ก็คือ นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน และอันดับที่ ๓ ก็คือ กษัตริย์ภูฏานนำเอาหลักเกษตรทฤษฎีใหม่และเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราไปใช้ เมื่อทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเยือนภูฏานอย่างเป็นทางการ แล้วพระองค์ท่านเสด็จไป ก็ถือว่าเป็นการเยือนต่างประเทศ เป็นประเทศแรกในสมัยรัชกาลที่ ๑๐ เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ที่สุดยอดมาก

วันนี้ส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึง ต้องขอเจริญพรอนุโมทนาคุณสิริกุล อาจมังกร ไม่ทราบเหมือนกันว่าจำชื่อนามสกุลผิดหรือเปล่า ? ซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โอนเงินมาร่วมบุญกับทางวัดท่าขนุน ๓ แสนบาทไทย ส่วนเงินจำนวน ๑ ล้านบาทที่กระผม/อาตมภาพเคยหาเจ้าของไม่ได้นั้น ความจริงก็คือเงินที่ทางผู้รับเหมาก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน รับปากเอาไว้ตอนเซ็นสัญญาว่า จะร่วมบุญกับทางวัดท่าขนุน ๑ ล้านบาท ก็แปลว่าจากยอด ๑๕๕ ล้านบาท เราก็จ่ายแค่ ๑๕๔ ล้านบาท..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2025 เมื่อ 01:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 28-04-2025, 00:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,271 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางอย่างบางทีญาติโยมก็ทำแบบที่ไม่บอกไม่กล่าว ทำให้พระของเราต้องเดือดร้อน เนื่องจากว่าพระมีราคาแค่ ๙๙ สตางค์ เรื่องของบัญชีเงินทองต่าง ๆ จึงต้องระมัดระวังตัวสุดขีด พลาดเมื่อไรจะไม่เหลือความเป็นพระเอาไว้ คราวนี้ ๙๙ สตางค์มาเจอ ๑ ล้านบาทเข้า ก็เป็นอันว่า "พูดไม่ออกบอกไม่ถูก" กว่าที่จะหาเจ้าของเจอก็ทำเอากังวลจนแทบจะนอนไม่หลับ..!

อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ ญาติโยมบางท่านชอบ "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" ทำอะไรอยู่ในลักษณะเมตตาต่อพระ แต่โง่ไปหน่อย..! อย่างกระผม/อาตมภาพบอกว่า พกรูปหล่อท้าวเวสสุวรรณไปต่างประเทศ ก็คือรูปหล่อเล็ก ๆ ประมาณข้อนิ้วก้อยเท่านั้น ที่ปรารภว่าความจริงอยากได้รูปหล่อท้าวธตรฐมากกว่า เพราะสนิทสนมกับเป็นการส่วนตัว ญาติโยมก็เมตตามาก ส่งรูปหล่อท้าวธตรฐสูง ๒ ฟุตมาให้..! แล้วมึงจะให้กูเลี่ยมขึ้นคอไปต่างประเทศอย่างไร ? บุคคลบางประเภท "ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอาไปกระเดียด" ยังไม่พอ ยังไม่มีความเป็นวัวปนอยู่บ้างเลย..! จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้นอยู่กับพระอยู่เสมอ

เรื่องพวกนี้ถ้าท่านทั้งหลายยังเจริญอายุกาลพรรษาไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอมากขึ้นไปเรื่อย แล้วก็อย่างที่กระผม/อาตมภาพต้องมานั่งถอนใจ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า สุทนฺโต วต ทเมถ อตฺตา หิ กิร ทุทฺทโม เพราะว่ายากสอนยากกันได้ขนาดนั้นจริง ๆ ถ้าถึงขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกพระโอษฐ์มา ก็แปลว่าเป็นของที่เที่ยงแท้แน่นอนไปแล้วว่า ร้อยละ ๙๐ ต้องเป็นอย่างนั้น..!

สำหรับวันนี้มาใช้เวลาที่เหลือเล็กน้อยมา "เล่าความหลัง" กันต่อไป ในสมัยนั้น การคมนาคมส่วนใหญ่นิยมทางเรือ แต่ด้วยความที่บ้านของโยมพ่อนั้นห่างจากแม่น้ำลำคลองมาก จึงต้องอาศัยรถเป็นหลัก แล้วรถตอนแรกก็เป็นรถเมล์โครงไม้ หัวโต ๆ ที่จะต้องใช้เครื่องมือไปหมุนตรงหัวเครื่อง เพื่อที่จะให้จุดติด ความเร็วก็น่าจะไม่เกิน ๓๐ - ๔๐ กิโลเมตร/ชั่วโมง พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าใครวิ่งเร็ว ๆ ก็แซงรถได้เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2025 เมื่อ 01:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 28-04-2025, 00:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,271 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถนนหนทางก็ไม่ใช่ถนนมาลัยแมน ซึ่งตัดจากอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ผ่านอำเภอกำแพงแสน ออกไปทางด้านอำเภออู่ทองของจังหวัดสุพรรณบุรี หากแต่ว่าเป็นถนนที่วิ่งตรงไปยังจังหวัดราชบุรี คืออำเภอบ้านโป่งเสียก่อน แล้วค่อยวกอ้อมมาอำเภอท่ามะกาของจังหวัดกาญจนบุรี จากนั้นก็ผ่านอำเภอพนมทวนไปออกอำเภออู่ทอง ถ้าเปรียบกับอายุของกระผม/อาตมภาพเอง ถนนสายมาลัยแมนจึงเป็นถนนที่ตัดได้ไม่นาน พูดง่าย ๆ ว่าแทบจะโตมากับถนนเลย และสามารถลัดเส้นทางได้มากเป็นพิเศษ เพราะว่าไม่ต้องอ้อมไปเข้าจังหวัดราชบุรีและจังหวัดกาญจนบุรีก่อน

เมื่อความเจริญเริ่มเข้ามา รถต่าง ๆ ก็มากขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรถบรรทุก ๖ ล้อบ้าง ๑๐ ล้อบ้าง เขาถือว่าเป็นรถใช้งาน บรรดารถบรรทุกเล็กนั้นต้องบอกว่าเกิดช้ามาก รุ่นแรกที่เกิดขึ้นเลยก็คือรถดัทสัน (DATSAN) ไม่เคยได้ยินล่ะสิ..! เครื่อง ๑,๒๐๐ ซีซี หลังจากที่รถดัทสันพัฒนาตัวเองมา ๒ - ๓ รุ่น ก็มีรถมาสดา (MAZDA) เครื่อง ๑,๓๐๐ ซีซีขึ้นมา หลังจากนั้นแล้ว กระบะยี่ห้ออื่น ๆ ถึงได้ตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นไดฮัตสุ (DAIHATSU) ไม่ใช่รถกระป๋องเล็ก ๆ แบบปัจจุบัน แต่ว่าเป็นรถกระบะขนาด ๑ ตันเหมือนกัน แล้วรถโตโยตา (TOYOTA) รถอีซูซุ
(ISUZU) ก็ออกไล่กันมา

ส่วนทางด้านรถยนต์ส่วนบุคคลนั้น ไปนิยมรถอเมริกันคันเท่าบ้านเท่าตึก อย่างยี่ห้อดอตจ์ (DODGE) บ้าง โฮลเดน คิงส์วูด (HOLDEN KINGSWOOD) บ้าง โอลสโมบิล คัสลาส (OLDMOBILE CATLASS) บ้าง หรือไม่ก็แวเรียนท์ รีกัล (CHRYSLER VALIANT REGAL) แต่ละคันเฉพาะบังโคลนหน้ายาวประมาณ ๒ เมตร..! คือสมัยก่อนเขาจะใช้ตัวถังด้านหน้ารวมทั้งเครื่องยนต์ด้วย เป็นเครื่องป้องกันอันตรายที่จะมาถึงตัวคนขับรถ ดังนั้น..แต่ละคันจึงเป็นรถที่ยาวและใหญ่มาก จะมีที่เล็กหน่อย อย่างพวกดอตจ์ (DODGE) หรือว่ามอริส (MORRIS) ก็ไม่เคยได้ยินอีก

รถยนต์สมัยนั้นแข็งแรงมาก ขนาดเด็ก ๆ อายุ ๘ ขวบ ๑๐ ขวบ ขึ้นไปกระโดดโลดเต้นบนฝากระโปรงรถเก๋งแล้วไม่มีรอยบุบ..! ถ้าเอามาชนกับรถสมัยนี้ก็รับประกันได้ว่าไม่มีอะไรบุบสลาย แต่ว่ารถสมัยใหม่พังกระจายแน่นอน..! อย่างที่ได้บอกกล่าวไปในครั้งก่อน ๆ ว่า สมัยก่อนเขาสร้างรถขึ้นมา หรือว่าสร้างสินค้าขึ้นมา เพราะว่าต้องการชื่อเสียง ทุกอย่างจึงต้องคุณภาพสุดยอดเอาไว้ก่อน ใช้กันไปชั่วลูกชั่วหลาน..ประมาณนั้น..!

อีกส่วนหนึ่งเป็นพวกนิยมไพร หรือชอบการผจญภัย ก็จะใช้รถจี๊ปหน้ากบซึ่งเป็นรถสงคราม แล้วก็รถแลนด์โรเวอร์ ซึ่งเป็นรถที่สร้างได้ดีมาก ๆ เพราะว่าตัวถังเป็นอลูมิเนียม ไม่ผุ ดังนั้น..ถ้าใครมีรถแลนด์โรเวอร์รุ่นเก่า ๆ ให้สังเกตไว้ด้วยว่าทำไมรถของเราไม่ผุเสียที ? เพราะว่าตัวถังไม่ใช่เหล็ก แต่เป็นอลูมิเนียม พวกขานิยมไพรก็จะชอบใช้รถจี๊ปหน้ากบ หรือว่ารถแลนด์โรเวอร์ในการบุกป่าล่าสัตว์ ซึ่งในยุคนั้นสมัยนั้นก็แทบจะไม่มีกฎหมายอะไรมาห้ามเลย เพราะว่าสัตว์ป่ายังชุกชุมมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 28-04-2025 เมื่อ 13:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 28-04-2025, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,271 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนการเดินทางทางน้ำทางเรือนั้น ได้ยินแต่ผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟัง ก็คือการนั่งเรือจากสุพรรณบุรี ตั้งแต่ประตูน้ำโพธิ์พระยา ลงมานครชัยศรี แล้วก็ออกไปสมุทรสาคร

สิ่งที่ตนเองเห็นนั้นก็ตอนที่ไปบ้านป้า ซึ่งบ้านตั้งอยู่ริมแม่น้ำสวนแตง แม่น้ำสวนแตงสมัยก่อนใหญ่โตมโหฬารมาก เพราะว่ามีการขุดลอกกันทุกปี เนื่องเพราะว่าต้องให้เรือบรรทุกข้าววิ่งผ่านได้ ถ้าอยากรู้ว่าเรือบรรทุกข้าวลำใหญ่ขนาดไหน ให้ไปดูที่วัดพุทธพรหมยาน เรือ ๒ ลำที่เขาเอามาทำเป็นห้องพักของรีสอร์ทนั่นแหละ..! นั่นคือเรือบรรทุกข้าว มาตอนหลังมีเรือบรรทุกทราย ซึ่งอยู่ในลักษณะท้องแบนเพิ่มเติมขึ้นมา ลากจูงด้วยเรือโยง หรือไม่ก็ใช้เรือโยงลากจูงแพไม้ไผ่เพื่อเอาไปจำหน่าย ซึ่งสมัยนั้นไม้ไผ่ที่เอามาจำหน่าย ส่วนใหญ่ก็ส่งเข้าโรงงานทำก้านธูป ทำตะเกียบ

แล้วเด็ก ๆ ก็ซนมาก ชอบเกาะเรือโยง บางคนดวงซวย ๆ ขึ้นมาจมน้ำตายไปเลยก็มี..! อย่างเช่นว่าเกาะเรือโยงแพไม้ไผ่ แล้วก็ดำน้ำแข่งกันว่าใครจะพ้นแพก่อน ปราฏว่าลงไปแล้วหลงทิศ แทนที่จะดำยาวเพื่อไปออกท้ายแพ ก็กลายเป็นวนอยู่ข้างใต้แพ จนขาดอากาศหายใจตายไปเลย ซึ่งเรื่องเล่นซนเหล่านี้เป็นเรื่องของเด็ก ๆ ทุกยุคทุกสมัย เด็ก ๆ มักจะเล่นเอาสนุกโดยไม่ได้คิดถึงอันตราย ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างที่จะดูแลกันยาก..!

แต่ว่าสมัยก่อนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ค่อนข้างจะเข้มงวด ตอนที่กระผม/อาตมภาพเรียนอยู่ชั้น ป. ๕ ปั่นจักรยานกลับบ้าน ผ่านสระน้ำใหญ่ ๓ คนเพื่อนฝูงกันก็ลงไปเล่นน้ำ ปรากฏว่าคุณครูที่กลับบ้านผ่านมาเห็นเข้า เรียกไปตีด้วยแขนงไม้สน หรือกิ่งสนนั่นแหละ ๓ ทีแตก ๖ รอย..! เพราะว่าท่านเองเห็นว่า
ถ้าเรามัวแต่เล่นอยู่อันตรายจะเกิดขึ้น ไม่รู้จะจมน้ำตายตอนไหน ? แต่เด็ก ๆ ไม่รับรู้ เอาแต่สนุกอย่างเดียว..!

ดังนั้น..พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ค่อนข้างจะเข้มงวด จึงทำให้เด็กไม่กล้าออกนอกลู่นอกทางมาก แล้วยิ่งได้ไปวัด มีหลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ช่วยแนะนำสั่งสอนให้ จึงทำให้เด็กสมัยเก่า ๆ นั้น ต้องบอกว่าเป็นเด็กดี อยู่ในกรอบเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่อยู่นอกกรอบไปจะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-04-2025 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว