กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 04-01-2025, 17:11
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,946
ได้ให้อนุโมทนา: 225,209
ได้รับอนุโมทนา 800,461 ครั้ง ใน 39,365 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๘


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 05-01-2025, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพมีงานสำคัญก็คือ ไปกราบถวายมุทิตาสักการะพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ. ๘) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี เนื่องในวันทำบุญอายุวัฒนมงคล ๙๑ ปี

เมื่อไปถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้รออยู่ก่อนแล้ว จึงได้เข้าไปกราบถวายไทยธรรม โดยเฉพาะเหรียญพระร่วงเกราะเพชรของวัดบึงลาดสวาย ซึ่งสร้างโดยพระครูสมุห์อานนท์ อานนฺโท กระผม/อาตมภาพกราบเรียนย้ำกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านว่า "เป็นเหรียญทองคำนะครับ ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมก็มอบให้กับเขาไปได้เลย" พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคลยกเหรียญขึ้นใส่หัว แล้วหลังจากนั้นก็ถามสารทุกข์สุขดิบ

เหตุที่กระผม/อาตมภาพเข้านอกออกในได้นั้น เกิดจากเนิ่นนานมาแล้ว สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังเป็นพระสิรินันทเมธี อยู่ที่วัดดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้พบกันครั้งแรก พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านห่มจีวรสีแดง คำว่าสีแดงในที่นี้ก็คือสีเหลืองเจือแดงเข้มตามในพระธรรมวินัยนั่นเอง

เมื่อกราบเรียนถามพระเดชพระคุณท่านว่า "ทำไมถึงห่มจีวรสีนี้ขอรับ ?" ท่านบอกว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ. ๙) ซึ่งสมัยนั้นอยู่วัดยานนาวา เป็นพระมหาเถระที่พวกเราเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่งรูปหนึ่ง ท่านได้ประทานจีวรสีนี้ให้ จึงได้ถือห่มจีวรสีเหลืองเจือแดงเข้ม หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "สีแดงแบบครูบา" นี้มาโดยตลอด

จนกระทั่งท่านมาเป็นเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ปรากฏว่าท่านเปลี่ยนจากห่มจีวรสีเหลืองเจือแดงเข้มนี้มาเป็นจีวรสีพระราชนิยม กระผม/อาตมภาพกราบเรียนถามว่า "ทำไมหลวงพ่อเปลี่ยนจีวรเสียละครับ ?" ท่านบอกว่า "ไม่ได้..ตอนนี้ตำแหน่งของเราก็คือเจ้าคณะจังหวัด ทำอะไรบรรดาลูกคณะมักจะทำตาม ขืนไปห่มจีวรสีแดงแบบนั้นอีก เดี๋ยวเขาทำตามกันทั้งจังหวัดจะเดือดร้อนโดยใช่ที่ เราตัวคนเดียว เปลี่ยนตามส่วนรวมเขาดีกว่า"

ทำเอากระผม/อาตมภาพมานึกว่า เมื่อตอนที่มาอยู่วัดท่าขนุนใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพก็ยังห่มจีวรสีเหลืองแบบวัดท่าซุงอยู่ ครั้นมาอยู่ที่วัดราษฎร์ประชุมชนาราม หรือว่าวัดท่ามะขาม ก็ยังคงใช้จีวรสีเหลืองเป็นหลัก แต่เมื่อมาอยู่ทางวัดท่าขนุน ปรากฏว่าทั้งวัดและทั้งอำเภอ ยกเว้นวัดพุทโธภาวนา เขาห่มจีวรสีพระราชนิยมกันทั้งนั้น ถ้าหากว่าเราให้เขาเปลี่ยนตามเราคนเดียว ก็เดือดร้อนกันทั้งวัดเป็นอย่างน้อย กระผม/อาตมภาพจึงได้เปลี่ยนมาห่มจีวรสีพระราชนิยมแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2025 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 05-01-2025, 00:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาทุกระดับว่า คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมินั้น ห่มจีวรเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งอำเภอ ทั้งที่อำเภอทองผาภูมิเป็นอำเภอที่ใหญ่มาก มีพื้นที่เทียบเท่าจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ ๓ จังหวัดรวมกัน จึงทำให้หลวงพ่อพระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดพุทโธภาวนา เจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ท่านก็เปลี่ยนจากการห่มจีวรสีแดงครูบาตามสายครูบาอาจารย์ของท่าน ก็คือหลวงพ่อภาวนาพุทโธ (หลวงพ่อจำลอง) เปลี่ยนมาห่มสีพระราชนิยม จึงทำให้คณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ เมื่อเข้าประชุมที่ไหนก็ตาม ได้รับคำชมเชยจากผู้บังคับบัญชาเสมอว่า มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นอย่างยิ่ง

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคลนั้น ตำแหน่งปัจจุบันของท่านก็คือที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ กระผม/อาตมภาพสมัยนั้นเคยแอบดูกำลังใจพระบ่อย ๆ แม้ว่าจะไปพลาดท่าให้กับพระองค์ที่ ๑๐ จนท่านใช้คำว่า "แว่นตาแตก" ก็คือใช้ทิพจักขุญาณแล้วไม่สามารถที่จะดูได้ก็ตาม แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวก็อดไม่ได้ เมื่อถึงเวลากราบพระเถระรูปใดก็มักจะแอบดูกำลังใจของท่านเสมอ

ปรากฏว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไวมาก ทันทีที่รู้เห็นว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่เก็บตัวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ยอมเปิดเผยให้คนอื่นรู้ ท่านก็หันขวับมา ยกมือเขกหัวเปรี้ยงสนั่นเลย..! บอกว่า "รู้แล้วแกอย่าเที่ยวไปบอกใครนะ" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่รับปาก โดยที่ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านก็เห็นกระผม/อาตมภาพเป็นบุคคลผู้ไว้วางใจได้ ไปหาเมื่อไรก็สามารถเข้านอกออกในได้เสมอ

เมื่อท่านมาสร้างหลวงพ่ออู่ทององค์ใหญ่ ที่หน้าผามังกรบิน อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยที่มีสโลแกนว่า "หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน" เนื่องจากว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่บามิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน โดนทางด้านรัฐบาลตาลีบันทำลายไป ท่านจึงตั้งใจสร้างองค์นี้ขึ้นมาแทน เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของทางด้านพระพุทธศาสนาให้ชาวโลกได้รู้

โดยเฉพาะท่านได้ขอพื้นที่บริเวณเขาทำเทียม ซึ่งอดีตก็คือเหมืองในการระเบิดหินเพื่อที่จะโม่ปูน แล้วเมื่อโดนปิดไป ท่านก็ขอพื้นที่นั้นมาทำประโยชน์ด้วยการแกะสลักหน้าผาเป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทององค์ใหญ่มหึมา ตั้งชื่อให้ว่า พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ กระผม/อาตมภาพก็ยังร่วมสร้างกับท่านไป ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นท่านก็ยังมีโครงการที่จะเจาะถ้ำเพื่อให้พระภิกษุสามเณร สามารถที่จะทำสังฆกรรมบริเวณนั้นได้อีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2025 เมื่อ 03:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 05-01-2025, 01:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โครงการของท่านต้องบอกว่ายืดยาวออกไปเรื่อย ๆ โดยที่นำเพื่อนฝูงของกระผม/อาตมภาพท่านหนึ่ง ก็คือพระครูสุตาภรณ์พิสุทธิ์ (ชลอ เตชพโล ป.ธ.๔) ซึ่งตอนนั้นเป็นรองเจ้าอาวาสวัดไผ่โรงวัว เป็นเจ้าคณะตำบลบางตาเถร เขต ๒ มาให้ช่วยดูแลงานก่อสร้างที่นั่น

เมื่อกระผม/อาตมภาพถามว่า "ทำไมหลวงพ่อถึงได้คิดจะทำแต่งานใหญ่ ๆ ต่อเนื่องแบบนี้ครับ ?" ท่านบอกว่า "ข้ากำลังทดลองดูว่าในสมัยโบราณที่ในพระไตรปิฎกบันทึกเอาไว้ ว่าถ้าหากว่าบุคคลที่มีหลักธรรมอิทธิบาท ๔ สามารถที่จะอธิษฐานร่างกายอยู่ได้ถึง ๑ กัป ข้าไม่ได้คิดว่าจะอยู่ถึง ๑ กัปหรอก แต่คิดว่าถ้างานไม่หมด ข้าตั้งใจว่าจะไม่ตาย ดังนั้น..ถ้าอายุ ๑๒๐ ปีน่าจะเป็นไปได้" กระผม/อาตมภาพเองก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนา แต่ไม่ขอไปกับหลวงพ่อท่านหรอก..!

ปรากฏว่าอีกไม่กี่ปีต่อมา เมื่อท่านไปงานที่วัดท่าขนุน เดินเข้าไปในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย นั่งลงพักแบบเหนื่อยมาก ท่านบอกว่า "เล็ก..ดูท่าข้าจะอยู่ไม่ถึง ๑๒๐ ปีแล้วว่ะ..!" กระผม/อาตมภาพขำก็ขำ จึงได้กราบเรียนท่านว่า "ก็แล้วแต่หลวงพ่อเถอะครับ ถ้ากายสังขารไม่ไหว จะไปก็นิมนต์ได้เลย" แต่ปรากฏว่าหลังจากวิกฤตครั้งนั้นแล้ว ท่านก็ตั้งใจจะสร้างพระบรมธาตุเจดีย์จุฬามณี อยู่บนเหนือหลวงพ่ออู่ทอง ในลักษณะที่ว่าเหมือนกับเป็นมงกุฎ สวมถวายหลวงพ่ออู่ทององค์ใหญ่นั้น

กระผม/อาตมภาพเห็นว่า ถ้าหากว่าหลวงพ่อขืนทำอยู่ในลักษณะแบบนี้ ตายเสียก่อนก็ไม่เสร็จ เมื่อกราบเรียนถามท่านว่า "ราคาเท่าไรครับ ?" ท่านบอกว่า "๒ ล้านบาท" กระผม/อาตมภาพยังสะดุ้งเฮือก "เจดีย์ทั้งหลัง ๒ ล้านบาท สร้างไป ๓ วันพังหรือเปล่า ?!" ท่านก็ยังหัวเราะทั้งที่ป่วย บอกว่า "ลูกศิษย์เขาอาสาทำให้ เขาคิดแค่ต้นทุนเท่านั้น ไม่คิดเอากำไร เขาทำแข็งแรง..ข้ารับรอง"

กระผม/อาตมภาพจึงนำปัจจัย ๒ ล้านบาทไปถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน บอกว่า "หลวงพ่อไม่ต้องกังวลนะครับ ถ้าหากว่าแค่ ๒ ล้านบาท ผมรับผิดชอบแทน งานนี้จะได้ไม่คาใจหลวงพ่อ จะไปไหนก็นิมนต์ได้เลย ไม่มีห่วงแล้ว..!"

แต่เมื่อสร้างพระเจดีย์เสร็จ ท่านก็แข็งแรงวันแข็งแรงคืน จากที่เดินไม่ได้ก็เริ่มหัดเดินทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งท้ายที่สุดก็ทิ้ง "วอล์คเกอร์" หันมาถือไม้เท้าเดินได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ท่านผอมลงไปมาก ท่านเองก็ยังมีโครงการที่จะทำโน่นทำนี่อีกหลายอย่าง ทั้ง ๆ ที่ปีนี้ก็เจริญอายุมาถึง ๙๑ ปีแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2025 เมื่อ 03:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 05-01-2025, 01:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อกระผม/อาตมภาพถวายไทยธรรมแล้ว ปรากฏว่า นายพิริยะ ฉันทดิลก ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเข้ามากราบ หลวงพ่อท่านก็ยังเมตตาบอกว่า "ผู้ว่าใหม่..รู้จักกันไว้สิ" กระผม/อาตมภาพจึงได้กราบเรียนว่า "หลานผมเองครับ" ทำเอาทุกคนตะลึงกันหมด ท่านผู้ว่าจึงได้รายงานว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หลวงพ่อท่านก็ยังดีใจว่าเป็นเด็กสองพี่น้องเหมือนกัน

เนื่องเพราะว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเป็นคนอำเภอสองพี่น้อง ส่วนกระผม/อาตมภาพนั้นรกรากของตายายและแม่ ตลอดจนน้า ๆ ทุกคนก็เติบโตกันอยู่ที่ตลาดบางลี่ อำเภอสองพี่น้องนั่นเอง ทางบ้านยายถึงเวลาก็ไปกราบหลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน หลวงพ่อเหนี่ยง วัดอัมพวัน เมื่อพี่สาวคนโตแต่งงานมาอยู่ที่ตำบลทุ่งคอกกระผม/อาตมภาพก็ตามไปกราบหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก รับรสชาติไม้เรียวของหลวงพ่อแดงที่ดุนักดุหนามากันบ้าง..!

เมื่อโยมแม่แต่งกับโยมพ่อ มาอยู่ทางด้านจังหวัดนครปฐม ก็ไปกราบหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่น้อย วัดธรรมศาลา หลวงปู่เต๋ วัดสามง่าม เหล่านี้เป็นต้น

แล้วสมัยนั้นยังมีพระมหาเถระสุดยอดอีกรูปหนึ่ง ก็คือหลวงปู่แตง วัดดอนยอ อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม จึงรู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดีมาก ที่ว่ารกรากของทางด้านพ่อหรือแม่ก็ตาม มีแต่พระมหาเถระผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของวิปัสสนากรรมฐานกันรอบไปหมด โดยเฉพาะในเรื่องของคาถาอาคม อภิญญาสมาบัติ ท่านทั้งหลายเหล่านี้คล่องตัวจริง ๆ เมื่อได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมก็ยังไปกราบหลวงปู่มุ่ย วัดดอนไร่ หลวงปู่ดี วัดพระรูป เหล่านี้เป็นต้น

ในช่วงนั้นรู้สึกว่าจะเป็นยุคของดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่ง เพราะว่าทางด้านภาคเหนือนั้นก็มีหลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่ครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนกระทั่งหลวงปู่เปลี่ยน วัดอรัญญวิเวก หลวงปู่น้อย วัดบ้านปง ที่อยู่ก่อนจะถึงวัดของครูบาเทืองในปัจจุบันนี้ แล้วก็ยังมีหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ตลอดจนกระทั่งพระเถระรูปอื่น ๆ อีกมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2025 เมื่อ 03:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 05-01-2025, 01:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,545 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทางด้านภาคอีสานนั้น กระผม/อาตมภาพก็ติดหนับอยู่กับหลวงปู่ฝั้น วัดถ้ำขาม ซึ่งตอนหลังท่านมาสร้างวัดป่าอุดมสมพรเพิ่มเติม หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล ที่กราบทีไรก็เห็นท่านเป็นแม่ทุกที ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดจากบุญสัมพันธ์กรรมสัมพันธ์อะไร หรือแม้กระทั่งหลวงตาบัว กระผม/อาตมภาพก็ขอหวยมาแล้ว เพราะอยากทราบว่าพระสายวิสุทธิมรรค ท่านมีอภิญญาสมาบัติ มีทิพจักขุญาณหรือไม่ ? ซึ่งหลวงตาบัวท่านก็เมตตาให้หวยมา ๒ ตัว ออกตรงเป๊ะเลย เพราะรู้ว่ากระผม/อาตมภาพไม่เล่นหวย ขอเพราะอยากรู้เท่านั้น เป็นต้น

ในยุคที่ดอกไม้นานาพันธุ์บานสะพรั่งเหล่านั้น อยากจะบอกว่าท่านใดที่บุญดีก็ได้พบได้เห็น ไม่เหมือนกับยุคนี้สมัยนี้ ที่มีผู้ซึ่งกล่าวหาว่า "พระเถระผู้ที่มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่านั้นจะไปมีคุณความดีอะไร ?" เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพไม่ขอถกด้วย เนื่องเพราะว่ายังทำไม่ถึงระดับมรณภาพแล้วไม่เน่า ไม่สามารถที่จะบรรยายได้ว่า มีคุณความดีขนาดไหน หรือต่อให้บรรยายได้ ก็น่าจะใช้เวลากันเป็นวันเป็นคืนเป็นต้น

เมื่อกราบลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมพุทธิมงคล เดินทางกลับสู่ที่พักแล้ว ก็รอเวลาเพื่อที่จะไปหาหมอตามที่ได้นัดเอาไว้ต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-01-2025 เมื่อ 03:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:11



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว